บทที่ 62 คัมภีร์เชื่อมโยงจิตฟ้า-มนุษย์: บทจักรพรรดิเขียว
###
หลังจากจัดการศัตรูจนหมดสิ้นแล้ว มู่หลินไม่รอช้า เขารีบสั่งการร่างกระดาษที่เหลือให้ตรงไปยังทางเข้าห้องใต้ดินทันที
เมื่อเขาไปถึง เสียง “ฟึบ” ดังขึ้น ท่ามกลางการแปรเปลี่ยนของภาพรอบข้าง เงาร่างของฉู่หลิงหลัวก็ปรากฏขึ้นมา
นี่คือหนึ่งในวิชาของเธอที่เรียกว่า “เชื่อมโยงฟ้า-มนุษย์”
คัมภีร์เชื่อมโยงจิตฟ้า-มนุษย์: บทจักรพรรดิเขียว เป็นคัมภีร์ระดับสวรรค์ชั้นกลาง มีความสามารถมากมายหลายอย่าง
ความสามารถแรกคือพรสวรรค์ในการควบคุมพืชพันธุ์
จักรพรรดิเขียวเป็นราชาแห่งพืชพรรณบนโลก ด้วยนามแห่งจักรพรรดิเขียว ฉู่หลิงหลัวจึงสามารถควบคุมพืชพันธุ์ทั้งหลายได้
ด้วยความสามารถนี้ยังสามารถแปรรูปเป็นวิชาต่าง ๆ ได้ เช่น วิชาฟื้นฟู วิชาชำระล้าง และวิชาคืนชีวิต เป็นต้น
ด้วยคัมภีร์นี้ ฉู่หลิงหลัวสามารถเร่งการเจริญเติบโตของพืชพันธุ์ อีกทั้งยังสามารถดึงเอาพลังชีวิตจากพืชมาเก็บสะสมไว้ในร่างกายเพื่อนำมาใช้รักษาผู้อื่นได้
กระบวนการดึงพลังนี้ไม่กระทบต่อการเจริญเติบโตของพืช หากทำในปริมาณที่เหมาะสม พืชจะยิ่งเจริญงอกงามเหมือนการตัดแต่งต้นไม้ที่ทำให้มันแข็งแรงขึ้น
นอกจากควบคุมพืชพันธุ์แล้ว เธอยังมีความสามารถในการสัมผัสถึงธรรมชาติ ด้วยการเชื่อมโยงกับพืชพันธุ์ทั้งหลาย ฉู่หลิงหลัวสามารถสัมผัสถึงสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับธรรมชาติรอบตัวได้
ส่วนวิชาเชื่อมโยงฟ้า-มนุษย์นั้น ถือเป็นวิชาเชิงลึกของคัมภีร์นี้
พืชพันธุ์ถือเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปในโลก เมื่อร่ายมนตราลับนี้ ฉู่หลิงหลัวสามารถผนึกพลังของตัวเองเข้ากับพืชพันธุ์ ทำให้สามารถซ่อนตัวได้ดุจไร้ตัวตน
ในช่วงแรก วิชานี้จะสามารถปกปิดเพียงกลิ่นอายพลัง แต่ด้วยพรสวรรค์แห่งรากวิญญาณล้ำเลิศ จิตใจบริสุทธิ์ รวมถึงจี้หยกแห่งใจสงบ ชาช่วยบำเพ็ญ และภาพสัจธรรมที่เสริมพลัง ทำให้ฉู่หลิงหลัวพัฒนาวิชาเชื่อมโยงฟ้า-มนุษย์จนถึงขั้นที่สาม
ขณะนี้ ไม่เพียงกลิ่นอายพลังจะถูกปิดซ่อนไว้ แต่ร่างกายของเธอก็ถูกอำพรางด้วยการผนึกเข้ากับพืชพันธุ์จนมองไม่เห็น
หากไม่ตรวจสอบอย่างละเอียด แม้แต่มู่หลินก็ยังไม่อาจหาตัวเธอเจอ
อันที่จริง การซ่อนตัวคือความสามารถในขั้นที่สองของวิชานี้ ส่วนขั้นที่สามคือการปกปิดพื้นที่รอบข้างให้หายลับไปทั้งบริเวณ
ขณะนี้ การต่อสู้ระหว่างเจ้าของโรงเตี๊ยมฟู่จีและนักรบผ้าคลุมเหลืองสองคนกำลังดุเดือด เจ้าของโรงเตี๊ยมยังตะโกนเรียกพนักงานให้มาช่วยหลายครั้ง
แต่เสียงเรียกนั้นไร้การตอบสนองใด ๆ เพราะความสามารถขั้นที่สามของวิชาเชื่อมโยงฟ้า-มนุษย์ของฉู่หลิงหลัวทำให้เสียงการต่อสู้และเสียงตะโกนนั้นถูกปิดกั้นไว้ทั้งหมด
“โชคดีที่มีเจ้าอยู่ ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่สามารถลวงล่อศัตรูมาฆ่าทีละคนได้”
เมื่อได้ยินคำนี้ ฉู่หลิงหลัวก็เขินอายและส่ายหน้าเล็กน้อย “ชัดเจนว่าพี่มู่หลินนั้นเก่งกว่าต่างหาก เจ้าสามารถใช้ร่างกระดาษลวงล่อศัตรู…พี่มู่ วิชาพับกระดาษสายสำนักประตูวิญญาณทั้งแปดทรงพลังถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
มู่หลินยิ้มพลางตอบเมื่อเห็นสีหน้าสงสัยของฉู่หลิงหลัว “ไม่น่าจะเป็นไปได้หรอก ถึงข้าจะพูดออกมามันอาจจะฟังดูหยิ่งไปสักหน่อย แต่ข้าก็ต้องบอกว่าข้ามีความพิเศษ”
นี่ไม่ใช่คำโกหก เพราะช่างพับกระดาษทั่วไปย่อมไม่มีฝีมือพับกระดาษระดับปรมาจารย์ อีกทั้งยังไร้ฝีมือวาดภาพและการคัดลายมือระดับชั้นครู
หากไร้ความสามารถด้านการสื่อจิตให้เป็นภาพ ล้วงลึกผ่านกระดาษได้เช่นมู่หลินแล้ว ช่างพับกระดาษทั่วไปย่อมไม่อาจพับร่างกระดาษขึ้นมาลวงล่อศัตรูได้เช่นเขา และยังมีโอกาสถูกจับได้สูงถึงแปดหรือเก้าในสิบ
แผนนี้สำเร็จได้เพราะเขาเป็นผู้ใช้เวทระดับสูงและร่ายเวทยามค่ำคืน จึงมีโอกาสสำเร็จเพิ่มอีกเล็กน้อย
หากช่างพับกระดาษอื่นมีระดับพลังเท่าเขาแล้ว ร่างกระดาษของพวกนั้นย่อมดูขาวซีดเป็นกระดาษธรรมดา ซึ่งแม้แต่คนทั่วไปก็ยังดูออกว่าเป็นของปลอม
“ตูม!”
ขณะทั้งสองพูดคุยกัน การต่อสู้ในห้องใต้ดินก็ได้ข้อสรุป
ในฐานะปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุดในชั้นที่สามของหอคอยมายาสวรรค์ เจ้าของโรงเตี๊ยมฟู่จีถึงแม้จะบาดเจ็บจากการถูกลอบโจมตี แต่ด้วยมีดเลาะกระดูก เขาก็ยังจัดการนักรบผ้าคลุมเหลืองทั้งสองจนแหลกละเอียดได้
หลังจากนั้น เจ้าของโรงเตี๊ยมฟู่จีกำลังเดือดดาล ก่อนจะระเบิดเสียงตะโกนโกรธเกรี้ยวทันทีเมื่อยังไม่ทันจะออกจากห้องใต้ดิน
“ไอ้พวกบ้า พวกเจ้าหายหัวไปไหนกันหมด ข้าเรียกตั้งหลายครั้ง ทำไมไม่ตอบ…หืม?”
เสียงตะโกนยังไม่ทันจบ เจ้าของโรงเตี๊ยมฟู่จีก็พบว่าลูกน้องทุกคนยืนเรียงอยู่ข้างหลังมู่หลินอย่างเงียบเชียบ
เมื่อมันปรากฏตัว เหล่าพนักงานก็หันมองมันด้วยสายตาประหลาด
ถึงตอนนี้ เจ้าของโรงเตี๊ยมฟู่จีก็ย่อมเข้าใจได้ทันทีว่าลูกน้องของมันถูกศัตรูควบคุมไว้หมดแล้ว
เมื่อรู้ว่าตนตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย มันก็ไม่รอช้าและคิดจะหลบกลับไปยังห้องใต้ดินทันที
แต่โชคร้ายที่มันสายเกินไปแล้ว
โดยไม่ต้องให้มู่หลินลงมือ ฉู่หลิงหลัวโบกมือเพียงครั้ง รากเถาวัลย์ก็พุ่งขึ้นมาจากดินปิดทางเข้าห้องใต้ดินไว้แน่นหนา
ในขณะเดียวกัน มู่หลินส่งสัญญาณเพียงนิดเดียว ร่างกระดาษของเขาก็พุ่งเข้าโจมตีศัตรูอย่างไม่กลัวตาย
“โฮ่!”
เมื่อหนีไม่ได้ การต่อสู้อันดุเดือดจึงเกิดขึ้นที่ทางเข้าห้องใต้ดิน
มู่หลินขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเจ้าของโรงเตี๊ยมฟู่จีแข็งแกร่งเกินคาด แม้จะมีร่างกระดาษจำนวนมากแต่ก็ยังไม่สามารถจัดการมันได้ในทันที
โชคดีที่มู่หลินไม่ได้มีแค่ร่างกระดาษเท่านั้น
“ฟู่…!”
มู่หลิน
เป่าลงบนกระดาษพับรูปดาบแผ่นหนึ่งทันที ดาบยาวที่เปล่งกลิ่นอายแห่งความวิบัติก็ปรากฏขึ้นในหอคอยมายาสวรรค์อีกครั้ง
ร่างกระดาษของเขายังคงทำหน้าที่เบี่ยงเบนความสนใจ ขณะที่มู่หลินส่งดาบอาถรรพ์เข้าฟาดฟันร่างของเจ้าของโรงเตี๊ยมฟู่จีจากมุมลึกลับอย่างต่อเนื่อง
ครั้งแรก ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม…ทุกครั้งที่ฟาดฟัน แม้บาดแผลจะไม่ได้ร้ายแรง แต่ร่องรอยอาถรรพ์บนดาบนั้นกลับสร้างความทรมานแก่เจ้าของโรงเตี๊ยมฟู่จีจนถึงขีดสุด
พลังอาถรรพ์ที่กัดกร่อนร่างกายของมันทำให้พลังของมันลดลงเรื่อย ๆ
การต่อสู้กับร่างกระดาษจึงเริ่มเลวร้ายลงเรื่อย ๆ สำหรับมัน
แม้เจ้าของโรงเตี๊ยมฟู่จีจะคิดใช้กลยุทธ์ ‘จับตัวจอมทัพก่อน’ หวังจะจัดการมู่หลินก่อนเป็นอันดับแรก
แต่ด้วยความไม่เกรงกลัวตายของร่างกระดาษเหล่านั้น มันจึงไม่สามารถเข้าใกล้มู่หลินได้เลย
ด้วยวิธีการเช่นนี้ มู่หลินก็สามารถจัดการมันลงได้ในที่สุด
ทว่าหลังจากที่มันสิ้นใจลง สิ่งที่ทำให้มู่หลินแปลกใจก็คือ การทดสอบในชั้นที่สามของหอคอยมายาสวรรค์กลับยังไม่สิ้นสุด
ในทางกลับกัน เสียงกระซิบลึกลับแว่วเข้ามาในจิตใจของเขา
“จงศรัทธาต่อเจ้านายของข้า ถวายตนแด่เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ จอมตะกละจะมอบทุกสิ่งแก่เจ้า…”
คำกล่าวแปลกประหลาดนี้ไม่ใช่เสียงของคนเดียว แต่เหมือนมีเสียงนับหมื่นนับพันเสียงซ้อนทับกันอย่างน่าขนลุก ทว่าแฝงด้วยความศักดิ์สิทธิ์บางอย่าง
เสียงกระซิบซ้อนทับนับพันหมื่นทำให้มู่หลินเกือบหลงทาง
โชคดีที่ในช่วงเวลาสำคัญนั้น แสงประทีปแห่งเจตจำนงหยิ่งยโสก็ส่องสว่างขึ้นในจิตใจของมู่หลิน
แสงนั้นปลุกความหยิ่งทะนงในตัวเขาขึ้นมาและขับไล่เสียงกระซิบอันเย้ายวนออกไป
“ข้าคือผู้กำหนดชะตาชีวิตตนเอง ไม่มีฟ้าใดมากำหนดข้าได้!”
“ไม่มีใครสามารถทำให้ข้าศรัทธา!”
มู่หลินอาศัยความเย่อหยิ่งของตนเองขับไล่เสียงกระซิบออกไปได้
ด้านฉู่หลิงหลัว เสียงดนตรีแผ่วเบาของเธอช่วยชำระจิตใจทำให้เธอไม่หลงในเสียงกระซิบเช่นกัน
“ฟู่…”
เมื่อทั้งสองคนสามารถต่อต้านเสียงกระซิบนั้นได้สำเร็จ ยังไม่ทันที่มู่หลินจะทำอะไรต่อไป บรรยากาศของชั้นที่สามในหอคอยมายาสวรรค์ก็ค่อย ๆ เลือนหายไป
พวกเขาจึงถูกขับออกมาจากหอคอยโดยสมบูรณ์
“ผ่านไปได้อย่างนี้เลยเหรอ…ก็ดีแล้ว หมูปีศาจที่แผงขายนั้นแปลกประหลาด ไม่ใช่ปีศาจหรืออสูร มันมีเพียงความสามารถตามกฎของหอคอย แต่ขาดสติปัญญา ตราบใดที่ไม่ทำลายกฎ มันจะไม่โจมตี”
“โดยปกติแล้ว พวกเราที่สามารถขับไล่เสียงล่อลวงออกไปได้ หลังจากสังเกตความแปลกประหลาดนั้นแล้ว ย่อมต้องแจ้งเหตุการณ์นี้ให้กับสำนักปราบปีศาจ จากนั้นก็จะมีผู้แข็งแกร่งกว่ามาจัดการ ภารกิจของเราก็ถือว่าสิ้นสุด”
“ฟึบ…”
ในแสงขาววาบ พวกเขากลับมายังโลกภายนอกอีกครั้ง
ด้วยการกินอาหารมื้อนั้น ทำให้พวกเขาใช้เวลาในชั้นนี้ไปไม่น้อย
สิ่งที่ทำให้มู่หลินต้องเลิกคิ้วเล็กน้อยก็คือ เมื่อแสงขาวจางลง ไม่ใช่เพียงพวกเขาเท่านั้นที่ออกมา แต่จิงเย่หมิงและพวกพ้องที่เข้าไปพร้อมกันก็ออกมาด้วย
เพียงแต่ เมื่อเทียบกับมู่หลินและฉู่หลิงหลัวที่ออกมาโดยไร้ร่องรอยความผิดปกติ ทีมของจิงเย่หมิงกลับดูน่าเวทนา
จิงเย่หมิงที่เป็นผู้นำทีม หน้าซีดเผือด ส่วนคนอื่น ๆ ก็ดูเหมือนจะยังไม่หายจากความหวาดกลัว
เมื่อมองไปยังหอคอยมายาสวรรค์ มู่หลินก็พบว่า บนชั้นที่สามของหอคอยนั้นไม่มีชื่อของพวกเขาปรากฏอยู่
นั่นหมายความว่า พวกเขา—ล้มเหลวในการทดสอบ
“???”