บทที่ 21 : ปฏิทรรศน์ของแฟร์มี
บทที่ 21 : ปฏิทรรศน์ของแฟร์มี
อัลเฟรดใช้เวลาหลายนาทีกว่าจะสงบสติอารมณ์ลง เพราะลู่หย่วนหมิงเอ่ยถามคำถามหนึ่ง
“แล้วคุณคิดว่าสิ่งที่เห็นเมื่อครู่มันคืออะไรล่ะ?”
อัลเฟรดตกตะลึงเงียบ ไม่สามารถตอบได้ และหลังจากนั้นไม่นานก็เริ่มร้องไห้ออกมา
เมื่ออัลเฟรดค่อย ๆ สงบลง ลู่หย่วนหมิงก็เรียกคนในกลุ่มเข้ามา...
เขายังคงรู้สึกแปลกใจที่คนผิวขาวเหล่านี้ รวมถึงคนผิวดำ และคนผิวน้ำตาล ที่แต่ละคนไม่ยอมกัน แม้จะมีอาวุธและความรุนแรงเป็นตัวกลาง แต่เมื่อเข้ามาอยู่ในกลุ่มนี้ พวกเขาก็ยอมรับคำสั่งจากคนที่อ้างตัวว่าเป็นสาวกของเขา และปัจจุบันนอกจากสาวกคนแรก ๆ แล้ว ชาร์ลี คือคนเดียวที่เป็นข้อยกเว้น
ในตอนนี้ ลู่หย่วนหมิงนำสาวกและชาร์ลี มาเผชิญหน้ากับอัลเฟรดในห้องนิรภัย
อัลเฟรดกำลังนั่งกินขนมปังและน้ำแร่ไปพร้อมกัน เผลอแป๊บเดียวก็หมดไปแล้วทั้งขนมปังสองชิ้นและน้ำแร่ทั้งขวด เขาจึงตบหน้าอกตัวเองเบา ๆ พูดอย่างเหนื่อยใจว่า "เกือบตายเพราะความหิวแล้ว... ไอ้พวก MXG มันช่างเลวทราม! พวกมันควรจะสร้างกำแพงให้แข็งแรงตั้งแต่แรก!"
เอ็ดเวิร์ดยิ้มละมุนละไมกล่าว "คุณอัลเฟรด ต้องการอะไรเพิ่มอีกไหม?"
อัลเฟรดตอบปฏิเสธพลางส่ายหัว "ไม่แล้ว สิ่งของเหล่านี้ล้วนหาได้ยาก... งั้นตอนนี้ พวกคุณยอมบอกเล่าเรื่องแผนการหลอกลวงเมื่อครู่นี้กับผมได้แล้วใช่ไหม? ให้ผมเดาหน่อยละกัน... พวกคุณออกไปนอกเมือง! แล้วก็กลับมาได้โดยปลอดภัย! นอกจากนี้ ยังโชคดีที่ไปเจอสุสานของอารยธรรมอื่น เข้าไปค้นหาเครื่องมือที่ใช้ได้ในโลกแห่งสสารมืดใช่ไหม!?"
ข้อมูลในคำพูดของอัลเฟรดมากเกินไปจนทุกคนหน้ามึนงง พวกเขาหันไปมองลู่หย่วนหมิง ลู่หย่วนหมิงก็งงไม่แพ้กัน ยกมือขึ้นท่าทางงุนงง เขาก็ไม่เข้าใจว่าอัลเฟรดหมายถึงอะไร
ท่าทางของทุกคนในสายตาของอัลเฟรดกลับกลายเป็นการหลอกลวง เขารู้สึกไม่พอใจ จึงหันไปต่อว่าเอ็ดเวิร์ดทันที "คุณ! คุณเป็นเพื่อนสนิทของผมนะ มีความสัมพันธ์กันมายาวนานกว่าสามสิบปีแล้ว คุณจะมาปิดบังและหลอกลวงผมไม่ได้!"
บาทหลวงเอ็ดเวิร์ดหัวเราะเบา ๆ ราวกับรู้สึกขมขื่น มือขวาชูขึ้น วาดเครื่องหมายกางเขนบนอก ก่อนจะหันไปหาอัลเฟรดด้วยสายตาจริงจัง
“คุณอัลเฟรด ผมขอสัญญา ด้วยความเชื่อของผม ด้วยพระบิดาในสวรรค์ ด้วยพระเยซูคริสต์ ด้วยเมสสิยาห์เป็นพยาน คำพูดของผม เป็นสิ่งที่ผมได้เห็นด้วยตาตัวเอง และเป็นความจริงแท้ ผู้ที่อยู่ข้างกายผม คือ เมสสิยาห์ในยุคแห่งกาลอวสาน และยังเป็น...”
อัลเฟรดยกมือขึ้น ตัดบทบาทหลวงเอ็ดเวิร์ดทันที
“เรื่องความเชื่อและศาสนา เราได้พูดคุยกันมานานหลายปี คุณเองก็รู้นิว่า ตระกูลของผมเป็นคนปฏิรูปศาสนา และผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ไปโบสถ์ทุกสัปดาห์ แต่สำหรับเรื่องเทพเจ้า ผมมีข้อสรุปแล้ว เทพเจ้ามีอยู่ในจิตใจ ความเชื่อก็เช่นกัน มันทำให้เรามีศีลธรรม มีจุดหมาย ไม่มีอะไรผิด แต่ตอนนี้ เรากำลังพูดถึงการดำรงอยู่ของมนุษย์ทั้งโลก และอารยธรรมของมนุษย์!”
“คุณเด็กเอเชียคนนั่นน่ะ รู้นะว่าคุณเป็นแค่คนหน้าม้าที่พวกเขาผลักออกมา แต่คนตัดสินใจคงไม่ใช่ตัวคุณหรอกนะ เอ่อ คงเพราะคุณสูงใหญ่ ดูอันตรายและน่ากลัว เลยเลือกคุณมานั่นแหละ แต่ตอนนี้ ขอให้คุณไปเรียกคนที่อยู่เบื้องหลังคุณออกมาคุยเรื่องนี้กับผมดี ๆ ผมไม่ได้ล้อเล่น เรื่องนี้เกี่ยวกับอนาคตของมนุษยชาติและอารยธรรม” อัลเฟรดเอ่ยกับลู่หย่วนหมิงตรง ๆ
ลู่หย่วนหมิงหัวเราะแห้ง ๆ ห้ามสาวกที่กำลังจะโมโหและชาร์ลีที่กำลังจะชักปืน เขาเดินเข้าไปอีกสองก้าวแล้วเอ่ย "นี่คุณ ผมขอแนะนำตัว ผมลู่หย่วนหมิง เป็นชาวจีน ไม่ใช่เอเชีย แต่คือชาวจีน"
อัลเฟรดถึงกับอึ้งไป แล้วเอ่ยโดยไม่ทันคิด "คนไม่มีทะเบียน...ไม่เป็นไร กรีนการ์ดจัดการง่าย ขอแค่คุณ..."
พูดไปพูดมา อัลเฟรดหัวเราะแห้ง ๆ "ตอนนี้ก็ไม่ต้องแยกแยะอะไรแล้ว คุณพูดต่อเถอะ"
ลู่หย่วนหมิงจึงเล่าเรื่องราวของตัวเอง ความสามารถของตัวเอง ทุกอย่างที่เขาเคยบอกบาทหลวงเอ็ดเวิร์ด เขากล่าวกับอัลเฟรดทั้งหมด
ยิ่งอัลเฟรดฟัง ยิ่งหน้าตาแปลก ๆ เมื่อเขาฟังจบ เขาก็เอ่ยทันที "เป็นไปไม่ได้ คุณโกหก มันเป็นไปไม่ได้ เรื่องข้ามเวลาเกิดขึ้นจริง คุณบอกว่าโลกเดิมของคุณอยู่ตอนไหน?"
“ปี 2023 เดือน 7 ผมกลายเป็นคนอยู่ในสภาพผัก แล้วผมก็อยู่ในความมืดมิด ทรมานอย่างน้อย 5-6 เดือน เวลาผ่านไปนานแค่ไหน ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าข้ามมิติมาวันไหน” ลู่หย่วนหมิงพูดอย่างจริงใจ
“ไม่...รอแป๊บ นะ ปี 2023 เดือน 7 5-6 เดือนต่อมา...”
อัลเฟรดแสดงสีหน้าหนักแน่น แล้วเขามองลู่หย่วนหมิงอย่างละเอียด ลู่หย่วนหมิงก็จ้องมองกลับมาด้วยสายตาที่บริสุทธิ์ อัลเฟรดจึงรีบบอกต่อ “งั้น...คุณลู่ คุณกลับไปโลกมนุษย์คราวหน้า ผมขอไปดูด้วยตัวเองได้ไหม?”
“ได้สิ” ลู่หย่วนหมิงยิ้มเล็กน้อย
ขณะนั้นบาทหลวงเอ็ดเวิร์ด เดินเข้ามา “คุณอัลเฟรดถึงเวลาที่คุณจะมาไขข้อข้องใจของเราแล้วใช่มั้ย หรือคุณคิดว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นความลับของชาติ บอกออกไปแล้วจะทำให้เกิดความวุ่นวายในสังคมอะไรทำนองนั้น ยังคงปิดปากเงียบอยู่ตรงนี้”
อัลเฟรดจึงส่ายหัว “ที่นี่มีคนแค่ร้อยกว่าคน จะเกิดความวุ่นวายอะไรได้...นั่นมันเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนมกราคม ปี 2024 ผมจำได้ว่าตอนที่รู้ข่าว ก็วันที่ 31 มกราคมแล้ว...”
ลู่หย่วนหมิงได้ยินดังนั้นก็ตกใจเล็กน้อย เขาสัมผัสได้โดยสัญชาตญาณว่าสิ่งที่อัลเฟรดจะพูดต่อจากนี้มีความสำคัญต่อเขามาก
“เครื่องตรวจจับซูเปอร์คามิโอกะในญี่ปุ่น พวกเขามาเจอกับสสารมืด” อัลเฟรดกล่าวต่อ
อัลเฟรดเห็นทุกคนแสดงสีหน้าสงสัย เขาจึงไม่แยแสกับเรื่องนั้นและกล่าวต่อว่า “ก่อนหน้านี้ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ต่อมาไปดูข้อมูลในภายหลังจึงรู้ว่ามันถูกวางไว้ในเหมืองลึกลงไปใต้ดินหนึ่งพันเมตร เป็นเครื่องวิทยาศาสตร์ มีน้ำบริสุทธิ์อยู่ห้าหมื่นตัน แล้วก็มีเครื่องมือสังเกตการณ์ที่ทันสมัยมากมาย นี่คือเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่ใช้สำหรับตรวจจับนิวทริโน แต่ในช่วงปลายเดือนมกราคมปี 2024 นักวิจัยที่นั่นรายงานว่าพวกเขามีแนวโน้มที่จะพบสสารมืด”
“เดี๋ยวก่อน” คนหัวสูงรีบยกมือขึ้น “คุณอัลเฟรดขออนุญาต สสารมืด นั้นเท่าที่ผมรู้ ถึงตอนนี้มันก็ยังเป็นแค่เพียงทฤษฎีที่คาดการณ์ว่ามีอยู่ ใช่ไหม? คุณสมบัติของสสารมืดที่เรารู้กันมีอยู่สองสามข้อ หนึ่ง นอกจากแรงโน้มถ่วงแล้ว สสารมืดแทบจะไม่เกิดปฏิกิริยากับแรงอื่น ๆ และแทบจะไม่เกิดปฏิกิริยากับโฟตอน สอง สสารมืดมีความเสถียรสูง ถึงขั้นถูกมองว่าไม่เสื่อมสลาย ไม่สลายตัว ไม่เปลี่ยนแปลง สองข้อนี้ได้บ่งบอกว่า สสารมืดนั้นแทบจะไม่ใช่สิ่งที่วิทยาศาสตร์ในปัจจุบันจะสามารถสำรวจได้ นั่นหมายถึงมันเหมือนกับมังกรในโรงรถ ถึงแม้จะมีสสารมืดถูกเครื่องตรวจจับซูเปอร์คามิโอกะจับได้ พวกเขาก็ไม่มีทางที่จะค้นพบมันได้เลย”
อัลเฟรดยิ้มอย่างขื่นขม “จริงอยู่ที่ควรจะเป็นแบบนั้น แต่ว่านักวิจัยที่นั่น ค้นพบสสารมืดเนื่องจากอุบัติเหตุ และยังค้นพบบางสิ่งที่สามารถโต้ตอบกับสสารมืดได้...”
“อะไรกัน?!” คนหัวสูงรีบถามด้วยความสนใจ
อัลเฟรดนึกย้อนอดีตพลางเล่า “ในช่วงปลายเดือนมกราคม ปี 2024 มีคนญี่ปุ่นราวสามสิบคน ตกลงใจที่จะฆ่าตัวตายพร้อมกันในพื้นที่กลางแจ้ง ซึ่งที่แห่งนั้นอยู่ไม่ไกลจากเครื่องตรวจจับซูเปอร์คามิโอกะ แล้วนักวิจัยก็ได้เห็นวิญญาณเป็นครั้งแรก และเขาก็รู้เป็นครั้งแรกเช่นกันว่าวิญญาณ ไม่สิ ควรจะพูดว่าวิญญาณที่มีปัญญาชีวิตเท่านั้น ที่สามารถทำปฏิกิริยาโต้ตอบกับสสารมืดได้”
อัลเฟรดหยุดพูดชั่วครู่ รอให้ทุกคนซึมซับข้อมูลก่อนที่จะเอ่ยต่อ “พวกคุณรู้หรือไม่ว่านี่เป็นการค้นพบที่น่าทึ่งเพียงใด? ไม่ต้องพูดถึงสสารมืด แต่การค้นพบนี้เพียงอย่างเดียวก็ถือเป็นการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ของศตวรรษแล้ว หากเป็นความจริง นั่นจะสามารถผลักดันวิทยาศาสตร์ซึ่งหยุดชะงักมาครึ่งศตวรรษให้ก้าวกระโดดไปข้างหน้าได้อย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น มันคือจิตวิญญาณ พวกคุณรู้หรือไม่ว่าทั่วโลกมีมหาเศรษฐีมากมายกำลังใกล้ความตาย? พวกคุณรู้หรือไม่ว่าผู้มีอำนาจมากมายปรารถนาชีวิตยืนยาวหรือแม้กระทั่งความเป็นอมตะ? พวกคุณรู้หรือไม่ว่าเมื่อมนุษย์ได้พบกับความตายที่เลี่ยงไม่ได้ มนุษย์มีความหวังเพียงใดที่จะรู้ว่าโลกหลังความตายเป็นเช่นไร?”
“ดังนั้น ในช่วงปลายเดือนมกราคม ค.ศ. 2024 มนุษย์จึงนำเครื่องตรวจจับซูเปอร์คามิโอกะทั้งเครื่องกลับไปยังสหรัฐอเมริกาโดยไม่ได้ดัดแปลงอะไรเพิ่มเติม วางไว้ในฐานลับใต้ดินที่นิวยอร์ก เพื่อศึกษาทั้งสสารมืดและจิตวิญญาณด้วยวิธีต่าง ๆ”
พูดถึงตรงนี้ อัลเฟรดตกลงไปในภวังค์บางอย่าง เงียบไปนาน ก่อนจะถามขึ้นอย่างฉับพลัน “ทุกคน คุณคิดว่าจิตวิญญาณนั้นมีอยู่จริงหรือไม่?”
บาทหลวงเอ็ดเวิร์ดกล่าว “ตอนนี้เรามีหลักฐานแล้ว ดังนั้นผมจึงไม่ต้องสงสัยอีกต่อไป”
"ผมเห็นด้วยกับทุกคน" คนหัวสูงยิ้มบาง ๆ แต่เขามองลู่หย่วนหมิง แล้วเอ่ยขึ้น "แต่ส่วนตัวผมคิดว่า การมีอยู่ของวิญญาณนั้นไม่สมเหตุสมผล ตั้งแต่แรกมนุษย์สามารถคิดได้เพราะมีสมองเป็นเครื่องมือในการคิด ไม่ว่า 'ตัวตน' ของผมจะมาจากไหน ผมก็ไม่มีเครื่องมือทางชีววิทยาอย่างสมอง ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ยักษ์เพื่อคิด มนุษย์จะคิดไม่ได้เลยถ้าไม่มีสมอง และเมื่อกลายเป็นวิญญาณไป เครื่องมือในการคิดอยู่ที่ไหน? แล้วพลังงานที่ใช้ในการคิดมาจากไหน? นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลย"
อัลเฟรดหัวเราะเบา ๆ "ความคิดของคุณเหมือนกับที่ ดร.ถังเจ๋ออันพูดเลย"
"ถังเจ๋ออัน... คุณหมายถึงคนที่ปรากฏตัวเพียงชั่วครู่เมื่อสิบปีก่อน คนที่บอกว่ามีไอคิว 260 ซึ่งเป็นสถิติที่ไม่มีใครเคยทำได้มาก่อน? เขาน่าจะตายจากอุบัติเหตุรถยนต์ใช่ไหม?" คนหัวสูงถามด้วยความสงสัย
รอยยิ้มของอัลเฟรดหายไป เขาไอเบา ๆ "เรากำลังพูดถึงวิญญาณ... ดังนั้นจากทฤษฎีแล้ว วิญญาณไม่ควรมีอยู่ เว้นแต่ว่าในขณะที่คนตาย ข้อมูลทั้งหมดจะถูกสร้างขึ้นใหม่ด้วยอนุภาคพื้นฐานที่มนุษย์ยังไม่เคยพบและไม่สามารถตรวจสอบได้ และอนุภาคพื้นฐานนี้ไม่ควรเป็นเพียงชนิดเดียว แต่ต้องคล้ายกับอนุภาคพื้นฐานที่มนุษย์รู้จักอย่าง โลกแห่งอนุภาคพื้นฐาน หรือแม้กระทั่ง สสารมืด เช่นนั้น วิญญาณซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ในทฤษฎีเท่านั้นจึงจะปรากฏได้..."
“ดังนั้น เมื่อคนตาย ผีก็จะออกจากร่าง แล้วเดินทางจากโลกแห่งสสาร เข้าสู่โลกแห่งสสารมืด โลกแห่งสสารมืดนี้ไม่ใช่โลกหลังความตายงั้นเหรอ?” คนหัวสูงถามอย่างครุ่นคิด
“ไม่!”
อัลเฟรดหัวเราะเยาะ เย้ยหยัน “ผ่านทางสสารมืด ดร.เขาค้นพบว่า ก่อนเดือนมกราคม ปี 2024 บนโลกใบนี้ไม่มีสสารมืด! ทุกคนที่ตาย ก็ตายไปอย่างนั้น ถึงจะมีวิญญาณ ก็จะสลายหายไปทันทีที่ออกจากร่าง ไม่มีเหลือ มีเพียงเมื่อผ่านสสารมืด ใกล้เคียงกับบริเวณรอบข้างภายในรัศมี 10,000 เมตร วิญญาณจึงจะปรากฏขึ้น และเข้าสู่ระดับของสสารมืด”
ทุกคนสบตากัน ไม่เข้าใจว่าทำไมอัลเฟรดถึงยิ้มเยาะ แต่ในแววตานั้นกลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัว อัลเฟรดจึงพูดต่อ
“จากการศึกษาสสารมืด เขาพบว่า สสารมืดไม่ได้เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณโดยตรง แต่เกี่ยวข้องกับจิตสำนึก ผ่านการดำรงอยู่ของสสารมืด เขาสามารถไขความลับของปรากฏการณ์การสังเกตการณ์ในกลศาสตร์ควอนตัม ซึ่งเป็นที่มาของการเลี้ยวเบนของคลื่นสองช่อง รวมไปถึงการไขปริศนาอื่น ๆ อีกมากมาย ในขณะเดียวกัน เศรษฐีหลายคนก็เริ่มลงทุนอย่างลับ ๆ เพราะต่างหวังว่าเมื่อตายไปจะสามารถปลดปล่อยจิตวิญญาณเข้าสู่โลกของสสารมืดได้ ทุกอย่างกำลังไปในทิศทางที่ดี ภายในเวลาเพียงหนึ่งปี เขาตั้งใจจะทำสิ่งยิ่งใหญ่เพื่อให้สหรัฐอเมริกาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง แต่แล้วสสารมืดก็ขยายขนาดขึ้น ในเวลาเดียวกัน เขาพบร่องรอยของสสารมืดในนิวยอร์กหลายแห่ง จากนั้นก็พบในหลายเมืองของสหรัฐอเมริกา แล้วก็ทั่วโลก และสิ่งเหล่านั้นก็เริ่มปรากฏตัวขึ้น…”
ลู่หย่วนหมิงถามทันที “จนมันแพร่ออกไปเหมือนคำสาปเหรอ? แล้วพวกสัตว์ประหลาดที่ฆ่าไม่ตายล่ะ?”
อัลเฟรดเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า แล้วเขาก็ถามขึ้นอย่างกะทันหัน “พวกคุณน่าจะรู้จักปฏิทรรศน์ของแฟร์มีกันใช่ไหม?”
ในห้องนั้น มีเพียงลู่หย่วนหมิง คนหัวสูง บาทหลวงเอ็ดเวิร์ด หมอคาธูน และมาร์ธาผู้เป็นครู เท่านั้นที่พยักหน้ารับ ส่วนคนอื่น ๆ ต่างมองหน้ากันด้วยความงุนงง
[ปฏิทรรศน์ของแฟร์มี คือ ความขัดแย้งที่ว่า แม้จักรวาลจะกว้างใหญ่ มีดาวเคราะห์มากมายที่อาจมีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญา แต่เรากลับไม่พบหลักฐานใดๆ ของพวกเขาเลย เหมือนกับว่ามนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ ซึ่งขัดกับความน่าจะเป็นอย่างมาก]
ลู่หย่วนหมิงเอ่ยขึ้นว่า "ใช่ที่เป็นทฤษฎีถามว่าทำไมสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาอื่นถึงยังไม่ถูกค้นพบใช่ไหม?"
"ใช่ แบบนี้แหละ" อัลเฟรดตอบด้วยความงุนงง "จักรวาลถือกำเนิดมาแล้วนานมาก ร้อยสามสิบกว่าพันล้านปี ในช่วงเวลานั้น มนุษย์ใช้เวลาเพียงไม่กี่พันปีก็พัฒนาถึงขั้นสามารถส่งยานอวกาศได้ แล้วทำไมพวกมนุษย์ต่างดาวที่เกิดก่อนมนุษย์หลายร้อยล้านปี หลายหมื่นล้านปีอย่างพวกเขา ถึงยังไม่มาเยือนโลกของเราล่ะ?"
"คำตอบได้ปรากฏออกมาแล้ว เพราะว่าอารยธรรมที่มีสติปัญญาทุกอารยธรรม ในกระบวนการพัฒนา เมื่อจำนวนความตายเพิ่มขึ้น สสารมืดจะปรากฏมากขึ้นบนดาวเคราะห์ของพวกเขา เมื่อถึงจุดวิกฤติ ดาวเคราะห์ทั้งดวง รวมถึงดาวเคราะห์ที่ถูกยึดครองโดยรอบ หรือแม้แต่เศษซากของเผ่าพันธุ์ที่พยายามหนีไปบนยานอวกาศ จะถูกดึงเข้าไปในมิติแห่งความสสารมืดด้วยแรงดึงดูดจากจิตวิญญาณ"
“แล้วการดึงดูดนี้ก็ดึงทุกสิ่งที่เรารู้จักไปด้วย ไม่รู้ว่าพวกคุณเคยอ่านหนังสือเรื่อง Three-Body Problem หรือเปล่า ผมชอบมาก มันเป็นนิยายวิทยาศาสตร์จากประเทศจีน เรื่องนี้พูดถึงอาวุธของอารยธรรมต่างดาว ชื่อว่า ฟอยล์สองทิศทาง มันสามารถลดมิติของจักรวาลสามมิติให้เหลือสองมิติ การลดมิติแบบนี้เป็นการลดมิติแบบถาวร และจะแพร่กระจายไปทั่วจักรวาลด้วยความเร็วแสง น่าเสียดายที่เขาเจอ ‘ฟอยล์สองทิศทาง’ ซึ่งเป็นสิ่งที่อารยธรรมทุกแห่งต้องเผชิญ ความรุนแรงจากการลดมิติอันเกิดจากความตาย ก็แพร่กระจายไปทั่วจักรวาลด้วยความเร็วแสงเช่นกัน”
ทุกคนอึ้งไป แม้แต่คนที่ไม่รู้เรื่องวิทยาศาสตร์ก็รู้สึกเย็นวาบไปทั่วร่าง ในขณะนั้น คนหัวสูงก็ตะโกนขึ้นมาว่า “สรุปจะสื่อง่าย ๆ ก็คือจักรวาลที่ว่างเปล่าและหลุมดำขนาดใหญ่ !?”
อัลเฟรดตะลึง ไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า “ใช่ ด็อกเตอร์ถังเจ๋ออันก็พูดคำเหล่านี้เหมือนกัน”
คนหัวสูงรีบอธิบายลู่หย่วนหมิงทันที ซึ่งยังไม่เข้าใจเรื่องนี้ดีนัก "การกำเนิดของจักรวาลเขามีสมมติฐานอยู่หลายข้อในปัจจุบัน แต่สมมติฐานที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคือ บิ๊กแบง และไม่ว่าจะตามสมมติฐานใด จักรวาลถ้าเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ดวงดาวและกาแล็กซีในจักรวาลย่อมจะกระจายตัวตามกฎธรรมชาติ แม้ว่าจะไม่ถึงกับกระจายอย่างสม่ำเสมอ แต่ก็ไม่น่าจะมีบริเวณหนาแน่นมากหรือว่างเปล่ามากขนาดนั้น แต่ในความเป็นจริง จักรวาลมันมีบริเวณที่เรียกว่าหลุมดำอยู่ และที่เรียกว่าพื้นที่ว่างขนาดยักษ์อยู่ ซึ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่ผมจำได้คือเกินกว่าสิบแสนล้านปีแสง เป็นพื้นที่ว่างเปล่า ไม่มีดวงดาวอยู่เลย สถานการณ์แบบนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เลย เว้นแต่..."
ลู่หย่วนหมิงรับช่วงต่อจากคนหัวสูง "เว้นแต่ว่าตรงนั้นกลายเป็นสสารมืดไปหมดแล้วใช่ไหม?"
อัลเฟรดรอให้ทุกคนเงียบลงแล้วจึงพูดขึ้น "และนี่ก็คือชะตากรรมของมนุษย์เรา อารยธรรมมนุษย์ และโลกทั้งใบ ระบบสุริยะ และกาแล็กซีทางช้างเผือกในอนาคต นับตั้งแต่โลกตกลงสู่โลกแห่งสสารมืด ทุกสิ่งทุกอย่าง..."
"หายไป สูญสิ้น มนุษย์ล้มตาย อารยธรรมมนุษย์ล่มสลาย และแล้ว... จักรวาลก็จะดับสูญไปพร้อมกัน"