บทที่ 16 ต่อปากต่อคำ
บทที่ 16 ต่อปากต่อคำ
ในระหว่างที่สองฝ่ายกำลังเผชิญหน้ากันก็มีผู้เล่นอีกกลุ่มที่ได้ยินข่าวและรีบเดินเข้ามาจากระยะไกล ต่อมาหนึ่งในผู้เล่นกลุ่มนั้นก็พูดขึ้นมาอย่างหยิ่งผยองว่า
“มีคนขายอุปกรณ์งั้นเหรอ? ฉันบอกแล้วว่าในเกมจะต้องมีคนเอาอุปกรณ์มาขายเพื่อแลกกับเงินแน่ ๆ หยู่เว่ย! หลานอวี่! ครั้งนี้ฉันจะต้องซื้ออุปกรณ์พวกนั้นให้ได้ ไม่ว่าจะต้องจ่ายเท่าไหร่แต่พวกเราจะต้องมีอุปกรณ์ดี ๆ มาใช้งานกัน”
แน่นอนว่าคนที่พูดอะไรแบบนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นใดเลยนอกเสียจากเจิ้งหยวน ผู้ซึ่งมีความมั่นใจในตัวเองอย่างแปลกประหลาด และคนกลุ่มนี้ก็คือสมาชิกของหนานปิงสตูดิโอที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากการเก็บเลเวลในถ้ำแมงมุม
อย่างไรก็ตามทั้งเซี่ยหยู่เว่ยและหลานอวี่ก็ไม่มีใครสนใจเจิ้งหยวนเลยสักนิด โดยในตอนนี้พวกเธอกำลังสนใจกลุ่มผู้เล่นที่รวมตัวอยู่ทางด้านหน้า ซึ่งในระหว่างนั้นเซี่ยหยู่เว่ยก็พูดขึ้นมาด้วยความกระวนกระวายใจว่า
“ทั้งฉงป้ากับฉือมู่ก็อยู่ที่นี่ด้วย พวกเราคงแย่งชิงอุปกรณ์จากพวกเขาไม่ได้หรอก”
“อะไรนะ?” เมื่อได้ยินชื่อของหัวหน้ากิลด์ทั้งสอง มันก็ทำให้เจิ้งหยวนเงียบเสียงลงไปในทันที เพราะเมื่อเทียบนักธุรกิจทั้งสองเป็นเหมือนกับปลาฉลามในมหาสมุทรใหญ่แล้ว ธุรกิจบ้านของเขาก็เป็นเหมือนเพียงแค่กุ้งตัวเล็ก ๆ ที่ไม่อาจเทียบเคียงกับมหาเศรษฐีทั้งสองได้
“ถ้างั้นพวกเราไม่ต้องเข้าไปดีกว่าไหม? ถึงยังไงเราก็สู้พวกเขาสองคนไม่ได้หรอก” เจิ้งหยวนกล่าว
จางจื่อโป๋ขมวดคิ้วและพูดว่า “ไหน ๆ ก็มาแล้วพวกเราลองเข้าไปดูกันหน่อยเถอะ ถึงยังไงพวกเราก็ต้องลงไปชั้นที่ 3 หากเราไม่มีอุปกรณ์อะไรเพิ่มเติม การฟาร์มหลังจากนี้คงจะยากลำบากมากกว่าเดิมแน่ ๆ”
เซี่ยหยู่เว่ยกัดฟันและพูดว่า “จะไปกลัวอะไร ถึงยังไงที่นี่มันก็แค่เกม”
“แต่ว่า... จะเอาจริง ๆ เหรอ?” เจิ้งหยวนยังคงไม่กล้าอยู่เหมือนเดิม
“ถ้านายกลัวก็อยู่ตรงนี้ เดี๋ยวฉันจะไปเอง” เซี่ยหยู่เว่ยพูดอย่างเด็ดขาด
เพื่อที่จะให้การฟาร์มหลังจากนี้เป็นไปอย่างรวดเร็ว เซี่ยหยู่เว่ยจึงตัดสินใจที่จะลองต่อสู้ดูแม้ว่ามันจะหมายถึงการเผชิญหน้ากับฉือมู่และฉงป้าก็ตาม
“พวกเราจะไปกับเธอเอง” หลานอวี่กล่าวอย่างมุ่งมั่น
เซี่ยหยู่เว่ยพยักหน้าก่อนที่เธอจะพาทีมไปยังจุดศูนย์กลางของฝูงชน แต่ในระหว่างที่เธอกำลังจะถามราคาอุปกรณ์ หญิงสาวก็ต้องหยุดชะงักเมื่อได้เห็นว่าเจ้าของแผงลอยแท้ที่จริงแล้วคือลู่หยาง
“เอ๊ะ... ทำไมถึงเป็นคุณได้” หลานอวี่อุทานอย่างสงสัย
ลู่หยางเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะพูดเลียนแบบน้ำเสียงของหญิงสาว
“เอ๊ะ… แล้วทำไมจะเป็นฉันไม่ได้ล่ะ”
หลานอวี่กระพริบตา 2-3 ครั้งก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าการที่ลู่หยางมาตั้งแผงขายของมันก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร เพราะในเมื่ออีกฝ่ายคือผู้เล่นชั้นยอด มันก็มีโอกาสที่ลู่หยางจะหาอุปกรณ์ดี ๆ ได้มากกว่าคนอื่น
“นั่นสินะ” หลานอวี่กล่าวพร้อมกับพยักหน้า
เซี่ยหยู่เว่ยเดินไปข้างหน้าลู่หยาง ก่อนที่เธอจะพูดว่า
“ขอบคุณที่แนะนำสถานที่เก็บเลเวลดี ๆ ให้ พวกเราสตูดิโอหนานปิงได้จดจำบุญคุณของคุณเอาไว้แล้ว ต่อไปถ้ามีอะไรที่คุณต้องการความช่วยเหลือพวกเราจะพยายามหยิบยื่นความช่วยเหลือให้กับคุณอย่างเต็มที่”
ลู่หยางไม่ค่อยชอบน้ำเสียงที่ทำตัวเหนือกว่าของเซี่ยหยู่เว่ยมากนัก เขาจึงพูดว่า
“เรื่องแค่นั้นเอง พวกเธอไม่ต้องไปใส่ใจมันหรอก”
“ถ้าอย่างนั้นนายจะยอมขายอุปกรณ์ให้กับฉันไหม?” เซี่ยหยู่เว่ยพูดเข้าประเด็นในทันที
“ใจเย็นแม่สาวน้อย” ทั้งฉือมู่และฉงป้าต่างก็พูดขึ้นมาพร้อมกัน
“ไม่ว่าจะทำอะไรเราก็ควรจะต้องเข้าคิวนะ ทำไมเด็ก ๆ สมัยนี้ถึงไม่รู้จักเคารพผู้อาวุโสบ้างเลย” ฉือมู่กล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“ของพวกนี้ฉันเหมาหมดแล้ว เธอไปหาของที่อื่นเถอะ” ฉงป้าพูดอย่างหยิ่งผยอง
เมื่อทั้งคู่พูดจบลงบรรยากาศก็กลับมาอึมครึมอีกครั้ง โดยเฉพาะลูกน้องของฉือมู่และฉงป้าต่างก็มองไปยังเซี่ยหยู่เว่ยด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ซึ่งเหตุการณ์นี้ก็ทำให้ผู้เล่นโดยรอบต่างก็กังวลไปตาม ๆ กัน
“พวกเขาจะตีกันไหม?”
“ไม่หรอกมั้ง ที่นี่เป็นเซฟโซนนะ แต่ถ้าเกิดมันมีเรื่องขึ้นมาจริง ๆ สตูดิโอหนานปิงคงเจ็บหนักแน่ ๆ”
“บางทีมันอาจจะมีการซุ่มโจมตีนอกเซฟโซนก็ได้”
“ถ้าสองกิลด์ใหญ่รวมตัวกัน กองกำลังของพวกเขาน่าจะมีประมาณ 60,000-70,000 คน”
“น่ากลัวฉิบหาย”
คำพูดของผู้เล่นรอบข้างทำให้ฉงป้ากับฉือมู่พอใจมาก ซึ่งในระหว่างที่ทั้งคู่กำลังคิดว่าเซี่ยหยู่เว่ยกำลังกลัวอิทธิพลของพวกเขา ในทันใดนั้นมุมปากของหญิงสาวกลับยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
“ฉือมู่! ฉงป้า! ผู้อาวุโสอย่างพวกคุณจะรวมกำลังกันรังแกสาวน้อยอย่างฉันคนนี้งั้นเหรอ?” เซี่ยหยู่เว่ยพูดพร้อมกับชี้นิ้วไปยังหัวหน้าทั้งสองด้วยท่าทางที่ไม่ตื่นเต้นเลยสักนิด
“...” ฉือมู่
“...” ฉงป้า
“โลกเปลี่ยนไปขนาดนี้แล้วงั้นเหรอ? ทำไมหนุ่มสาวสมัยนี้ถึงปากคอเราะรายจัง” ฉือมู่คิดในใจ เพราะถ้าหากพวกเขาคุยกันด้วยเหตุผลชายชราก็มีความมั่นใจว่าเขาสามารถหาเหตุผลมาโต้เถียงเซี่ยหยู่เว่ยได้ถึง 8 ชั่วโมง โดยมีเหตุผลไม่ซ้ำกันเลยแม้แต่ข้อเดียว เพราะท้ายที่สุดเขาก็คือชายชราที่เคยพาบริษัทผ่านพ้นวิกฤตระดับโลกมาแล้วถึงสามครั้งในช่วงชีวิตของตัวเอง
ทางด้านฉงป้าก็ไม่ธรรมดา เพราะเขาได้เติบโตขึ้นมาจากครอบครัวที่ยากจนก่อนที่จะกัดฟันสู้จนมีบริษัทมูลค่าหลายแสนล้านเครดิต และสามารถนำบริษัทเข้าตลาดหุ้นได้ด้วยกำลังของตัวเอง ประสบการณ์ของชายคนนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะจินตนาการถึง
อย่างไรก็ตามเซี่ยหยู่เว่ยกลับทนรับแรงกดดันของพวกเขาได้ และยังใช้มารยาหญิงต่อหน้าพวกเขาอีกด้วยทำให้ทั้งคู่ต่างก็เสียหน้าไปพักหนึ่ง ซึ่งในระหว่างนั้นลู่หยางก็แอบชื่นชมว่าเซี่ยหยู่เว่ยเป็นคนที่มีความฉลาดหลักแหลมพอสมควร
ในชาติก่อนมีจิตรกรวาดภาพหัวหน้ากิลด์ชาวจีนที่ได้เข้าร่วมสงครามเวิลด์โดมิเนชั่น ซึ่งถือเป็นสงครามครั้งใหญ่ของเกมและในภาพนั้นก็มีผู้เล่นคนสำคัญ 16 คนโดยมีทั้งฉงป้า, ฉือมู่และเซี่ยหยู่เว่ยรวมอยู่
เมื่อได้เห็นผู้เล่นทั้งสามเหมือนกับจะมีกระแสไฟฟ้าส่งออกมาจากแววตา มันก็ทำให้ลู่หยางเกิดอารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจ
เมื่อชีวิตก่อนเขาไม่มีโอกาสได้เข้าร่วมสงครามอะไรแบบนี้เลย แต่ในชีวิตนี้เหล่าผู้มีอำนาจต่างก็ต้องรวมตัวกันมาขอร้องให้เขาขายอุปกรณ์เหล่านี้ให้
“เอาล่ะพอกันได้แล้ว พวกคุณอย่ามาทะเลาะกันเลย ฉันไม่สนหรอกว่าพวกคุณจะมีความสัมพันธ์กันยังไง อุปกรณ์พวกนี้อยู่กับฉัน ฉันจะขายหรือไม่ขาย จะขายมันให้กับใครมันก็เป็นเรื่องของฉันไม่ใช่เรื่องที่พวกคุณจะต้องมาช่วยตัดสินใจ” ลู่หยางกล่าว
เซี่ยหยู่เว่ย, ฉือมู่และฉงป้าต่างก็หันมามองลู่หยางพร้อม ๆ กัน ก่อนที่พวกเขาจะยิงคำถามเป็นเสียงเดียวกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“แล้วนายจะขายยังไง?”
“ผมจะไม่เปลี่ยนราคาแต่จะให้พวกคุณประมูลราคากันเอง ใครให้ราคาสูงสุดก็เอาของไปเลย” ลู่หยางตอบ
“มีดราคา 2 เหรียญทอง, หมวกเกราะราคา 3 เหรียญทอง, ดาบสองมือราคา 10 เหรียญทอง, ธนูยาวราคา 10 เหรียญทอง, โล่ราคา 20 เหรียญทอง…”
ทั้งสามต่างก็จ้องมองไปยังลู่หยางด้วยแววตาอันว่างเปล่า เพราะถ้าหากพวกเขามีเงินมากขนาดนั้น ป่านนี้พวกเขาก็คงกว้านซื้ออุปกรณ์ทั้งหมดไปแล้ว ทุกคนจะมัวเสียเวลายืนต่อปากต่อคำกันตรงนี้อยู่ทำไม
“น้องชาย ราคาที่นายตั้งมันสูงเกินไป พวกเราซื้อไม่ไหวหรอก ช่วยลดราคากันหน่อยได้ไหมแล้วถือว่าหลังจากนี้พวกเราคือมิตรสหายที่ดีต่อกัน” ฉือมู่กล่าวอย่างสุภาพ
ฉงป้าขมวดคิ้วและพูดว่า “น้องชาย ตอนนี้พวกเรายังไม่มีเหรียญทองมากมายขนาดนั้นจริง ๆ เราพอจะหาอย่างอื่นมาแลกแทนได้ไหม?”
ลู่หยางรอข้อเสนอนี้อยู่พอดี ซึ่งในก่อนหน้านี้สาเหตุที่เขาตั้งราคาสูงขนาดนั้นนั่นก็เพราะเขารู้อยู่แล้วว่าทุกคนสู้ราคาไม่ไหว เขาจึงจงใจวางแผนให้ทุกคนเสนอเงื่อนไขนี้ขึ้นมาเอง
ทำไมลู่หยางจะต้องทำเรื่องให้มันยุ่งยากขนาดนี้ด้วย?
นั่นก็เพราะว่าเขามีหัวใจแห่งเทพอสูร และการที่จะอัปเกรดอุปกรณ์ชิ้นนี้ได้เขาก็จำเป็นจะต้องเพิ่มค่าความสนิทสนมกับเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ก่อน และภารกิจที่จะเพิ่มความสนิทสนมก็จำเป็นจะต้องใช้วัตถุดิบเป็นจำนวนมาก
หากลู่หยางต้องไปหาวัตถุดิบเหล่านั้นเอง กว่าที่เขาจะรวบรวมพวกมันได้จนครบ ผู้เล่นคนอื่นก็คงจะมีเลเวล 15 ไปจนหมดแล้ว เขาจึงจำเป็นจะต้องคิดหาวิธีให้ผู้เล่นคนอื่นมาช่วยจัดการเรื่องนี้ให้กับเขา
“ในเมื่อพวกคุณมีความจริงใจขนาดนี้ ฉันก็ตกลงยอมรับเงื่อนไขของพวกคุณ นี่คือรายการไอเท็มที่ฉันต้องการ หากใครหาวัตถุดิบพวกนี้มาให้ฉันได้ก่อน ฉันก็จะขายอุปกรณ์ให้กับคนคนนั้นแหละ” ลูหยางกล่าว