บทที่ 150 ตามใจเถอะ
บทที่ 150 ตามใจเถอะ
เฉินเฉิงมองโทรศัพท์ในมือ
เพิ่งจะตีสองกว่า ๆ
เขาจึงล้มตัวลงนอนต่อ
หลับยาวไปจนถึงแปดโมงเช้า
เมื่อเขาตื่นขึ้นมา รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย
เฉินเฉิงนวดขมับเบา ๆ แล้วใส่เสื้อผ้าภายใต้ผ้าห่ม
อากาศวันนี้หนาวเย็นมาก อุณหภูมิลดลงไปถึงลบเจ็ดแปดองศาแล้ว
หากไม่สวมเสื้อผ้าในผ้าห่มจะรู้สึกหนาวมาก
หลังจากที่ล้างหน้าและทานข้าวที่บ้านเสร็จแล้ว เฉินเฉิงก็ออกไปโรงเรียน
เมื่อมาถึงประตูโรงเรียน เขาพบเห็นนักเรียนหลายคนสะพายกระเป๋าหนังสือ
ท่ามกลางแสงอาทิตย์อ่อน ๆ ในเช้าวันฤดูหนาว ทุกคนต่างสวมเสื้อผ้าชุดใหม่สวยงามสดใส มีทั้งยิ้มแย้มและสนุกสนานขณะพูดคุยกับเพื่อนเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่บ้านในช่วงวันหยุด
เช่น ได้รับเงินอั่งเปาเท่าไหร่
หรือไม่ก็ อั่งเปาถูกแม่เก็บไป บอกว่าจะเก็บไว้ให้
หรือบางทีก็มีเรื่องว่า ญาติคนไหนที่ใจป้ำให้เงินก้อนใหญ่
ช่วงเวลาที่ได้อยู่บ้าน ส่วนมากเฉินเฉิงต้องใช้เวลากับผู้ใหญ่ ซึ่งความคิดและจิตใจของเขาก็เหมือนคนวัยกลางคนอยู่แล้ว จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ทำให้ดูหม่นหมองมากขึ้นเล็กน้อย
เมื่อเทียบกับโลกและชีวิตของผู้ใหญ่แล้ว
เฉินเฉิงกลับชอบชีวิตมัธยมปลายที่สดใสและบริสุทธิ์แบบนี้มากกว่า
ยิ่งอายุมากขึ้น ยิ่งชอบสิ่งที่มีชีวิตชีวาและเปล่งประกาย
ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด มันก็เจิดจ้าที่สุดเมื่อเต็มไปด้วยพลังชีวิต
ขณะที่เฉินเฉิงกำลังยืนคิดอยู่ เขารู้สึกว่ามีใครบางคนตบไหล่ของเขาเบา ๆ
เขาหันกลับไป แต่ก็ไม่เห็นใคร
ก้มลงมองก็พบว่าโจวหยวนกำลังนั่งยอง ๆ อยู่ข้างล่าง
โจวหยวนยืนขึ้นแล้วทักทายอย่างร่าเริงว่า “เฉินเฉิง สวัสดีปีใหม่!”
“สวัสดีปีใหม่” เฉินเฉิงตอบกลับยิ้ม ๆ
โจวหยวนพูดต่อว่า “ปีนี้ได้อั่งเปาเยอะไหม? เกินหมื่นหรือเปล่า?”
เมื่อพูดจบ เขาก็หัวเราะอย่างมีความสุข “ปีนี้มีญาติหลายคนที่ไปอยู่ต่างจังหวัดกลับมา ทั้งน้าและป้าต่างให้เงินอั่งเปาคนละพัน รวม ๆ แล้วปีนี้ได้หมื่นบาทพอดีเลย”
“มีเงินแบบนี้ก็สบายแล้ว เทอมนี้ฉันต้องสุขสบายแน่ ๆ” โจวหยวนพูดอย่างร่าเริง
“นายคิดว่าฉันต้องพึ่งเงินอั่งเปาในการใช้ชีวิตหรือ?” เฉินเฉิงยิ้มและถามกลับ
โจวหยวนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดอย่างเซ็ง ๆ ว่า “ลืมไปเลยว่าเฉินเฉิง ตอนนี้เป็นนักเขียนดังแล้ว เมื่อสองวันก่อน ฉันยังเห็นข่าวของนายในอินเทอร์เน็ตเลย นักเขียนอัจฉริยะยุค 90 ที่มีรายได้จากเรื่อง ‘อันเฉิง’ เกินล้าน”
“คนเทียบกับคนแล้วแทบจะเป็นบ้า ล้านหนึ่งนะ เงินขนาดนั้น” โจวหยวนกล่าว
“ตั้งใจเรียนเข้าไว้ ความรู้เปลี่ยนชะตาชีวิตได้” เฉินเฉิงพูดพร้อมกับตบไหล่โจวหยวนเบา ๆ
“จริง ๆ แล้วนะเฉินเฉิง ผลการเรียนของนายเมื่อเทอมก่อนทำให้ฉันได้ข้อคิด ปีนี้ฉันไปอินเทอร์เน็ตคาเฟ่แค่ครั้งเดียว ที่เหลือก็ใช้เวลาไปกับการทบทวน” โจวหยวนกล่าว
พูดจบ เขาหยิบบุหรี่ออกจากกระเป๋าแล้วส่งให้เฉินเฉิง
เฉินเฉิงรับบุหรี่มา แต่ยังไม่สูบ
ประตูโรงเรียนคนพลุกพล่าน ถ้านักเรียนเห็นก็ไม่เป็นไร เพราะไม่มีใครกล้ารายงานเขา แต่ถ้าอาจารย์เห็น ก็จะโดนดุเป็นแน่
เดี๋ยวเข้ามุมที่อาจารย์มองไม่เห็นค่อยสูบก็ได้
อันที่จริงแล้ว ห้องน้ำเป็นที่ที่นักเรียนชอบสูบบุหรี่กันมากที่สุดในโรงเรียน
แต่เฉินเฉิงไม่ชอบสูบบุหรี่ในห้องน้ำ
เพราะกลิ่นมันไม่ค่อยดี
แต่บังเอิญจังหวะนั้นเอง เจียงลู่ซีกำลังขี่จักรยานผ่านมาและเห็นภาพนั้นพอดี
เจียงลู่ซีลงจากจักรยาน แล้วจูงจักรยานเดินเข้ามาใกล้
“เฉินเฉิง” เสียงเรียบเย็นแต่ไพเราะดังขึ้นจากระยะไกล
เสียงนี้ ครั้งหนึ่งเคยแปลกหู แต่ตอนนี้กลายเป็นเสียงที่คุ้นเคยอย่างที่สุด
สำหรับคนอื่นอาจไม่คุ้นเสียงเจ้าของเสียงนี้เท่าไหร่
แต่เฉินเฉิงได้ยินเสียงนี้มานับไม่ถ้วนเมื่อครึ่งหลังของปีที่ผ่านมา
เฉินเฉิงหันกลับไป มองเห็นภาพที่เคยปรากฏในฝันเมื่อคืน
ถ้าเจียงลู่ซีในฝันเป็นภาพที่คลุมเครือราวกับหมอกควัน
ตอนนี้เจียงลู่ซีก็เป็นตัวจริงที่ชัดเจนที่สุด
ดวงตาเรียบนิ่งแต่แฝงไว้ด้วยความโกรธเล็กน้อย
ใบหน้าที่สวยงามใต้แสงอรุณในยามเช้า
เพราะเพิ่งขี่จักรยานมาตลอดทาง แม้จะสวมผ้าพันคอที่เขาเคยมอบให้เธอ แต่ใบหน้ากลับไม่ได้ใส่หน้ากาก จมูกที่โด่งและสวยงามของเธอจึงขึ้นสีแดงน้อย ๆ จากลมหนาวที่เย็นเจี๊ยบ
เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่ ยังคงเป็นชุดธรรมดา ๆ ที่เห็นบ่อย ๆ เมื่อปีที่ผ่านมา
เรียบง่าย แต่สะอาด
เหมือนตัวเธอเอง
ในโรงเรียนมัธยมอันเฉิง เฉินเฉิงอยู่ที่ไหน สายตาก็จะจับจ้องไปที่นั่น
และยิ่งมีเจียงลู่ซีอยู่ด้วย ความสนใจยิ่งมากขึ้นไปอีก
และตอนนี้ นักเรียนหลายคนในโรงเรียนรู้กันว่า
เฉินเฉิงกับเจียงลู่ซีมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา
หากคนอื่นไม่รู้ว่า ‘อันเฉิง’ ตัวละครลู่ซีคือใคร นักเรียนมัธยมอันเฉิงทุกคนย่อมรู้แน่นอนว่า ลู่ซีคือนักเรียนหญิงที่เจิดจรัสที่สุดในบรรดานักเรียนหญิงทั้งหมดของโรงเรียนนี้
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีข่าวลือเรื่องที่เฉินเฉิงเคยช่วยเจียงลู่ซีหลายครั้ง ทั้งสองมักจะเดินไปด้วยกันในโรงเรียนบ่อยครั้ง และเมื่อหนังสือ ‘อันเฉิง’ ถูกเผยแพร่ออกมา
เฉินเฉิง, เฉินชิง, เจียงลู่ซี
กลายเป็นที่พูดถึงในฐานะรักสามเส้าของนักเรียนหลายคน
จริง ๆ แล้วนักเรียนหลายคนตั้งตารอ ‘อันเฉิง’ ภาคสอง
เพราะพวกเขาต่างอยากรู้ว่า ในหนังสือ เฉินเฉิงจะเลือกใครในที่สุด?
เพราะหากสอดคล้องกับความจริงแล้ว นี่อาจเป็นตัวเลือกสุดท้ายของเฉินเฉิงด้วยเช่นกัน
แม้ว่าในตอนนี้ ดูเหมือนว่าโอกาสของเฉินชิงใน ‘อันเฉิง’ จะมีมากกว่า
เพราะเรื่องราวในช่วงครึ่งแรกของหนังสือเป็นเรื่องจริง แต่ช่วงครึ่งหลังเป็นการแต่งขึ้น
และในหนังสือ ช่วงชีวิตมัธยมปลายทั้งหมดของเฉินเฉิง เขาหลงรักเฉินชิง
จนกระทั่งแม่ของเฉินเฉิงป่วยหนัก เขาขอยืมเงินจากเฉินชิงแต่เธอไม่ให้ยืม
แต่เรื่องก็แค่เรื่อง ในความเป็นจริงเฉินเฉิงที่ตอนนี้มีรายได้จาก ‘อันเฉิง’ มากขนาดนี้แล้ว คงไม่มีวันที่จะขาดเงินในการรักษาแม่ และถึงจะเป็น
เพียงแค่หนึ่งแสนบาทก็คงไม่ทำให้เฉินชิงในชีวิตจริงปฏิเสธคำขอของเขาได้
บางที ในช่วงเปิดเทอมของปีที่ผ่านมา เฉินชิงอาจไม่ได้ชอบเฉินเฉิง
แต่ตอนนี้ เฉินชิงยังจะกล้าบอกว่าไม่ชอบเฉินเฉิงอยู่อีกไหม?
ตอนนี้ในโรงเรียนมัธยมอันเฉิง นอกจากเจียงลู่ซีแล้ว คงไม่มีนักเรียนหญิงคนไหนที่ปฏิเสธเฉินเฉิงได้อีกแล้วใช่ไหม?
ถ้าจะบอกว่า เจียงลู่ซีใช้เวลาสองปีเพื่อแสดงให้ผู้ชายทุกคนในโรงเรียนได้เห็นถึงผลลัพธ์ของการพยายามและความงามที่หาที่เปรียบไม่ได้ งั้นเฉินเฉิงก็ใช้เวลาแค่ครึ่งปี เพื่อแสดงให้ผู้หญิงทุกคนในโรงเรียนได้เห็นถึงผลสำเร็จและชื่อเสียงของเขาเช่นกัน
อนาคตของเจียงลู่ซีแน่นอนว่าจะต้องเจิดจรัส
แต่แสงของเฉินเฉิงในตอนนี้กลับสว่างจ้าจนทุกคนไม่อาจละสายตาได้
เมื่อเห็นเจียงลู่ซีจูงจักรยานเดินเข้ามาใกล้
โจวหยวนหัวเราะพลางพูดว่า “เฉินเฉิง ฉันนึกขึ้นได้ว่ามีธุระ ขอตัวก่อนนะ”
โจวหยวนจึงเดินจากไปอย่างรู้ใจ
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” เฉินเฉิงยิ้มขณะมองสาวน้อยตรงหน้า
เจียงลู่ซีจอดจักรยานไว้ตรงหน้าเขา แล้วยื่นมือออกมา
“อะไร?” เฉินเฉิงถามอย่างไม่เข้าใจเมื่อเห็นเธอยื่นมือมา
“บุหรี่” เจียงลู่ซีจ้องมองเขาอย่างสงบนิ่งแล้วพูด
“ดูเหมือนครั้งก่อนเธอจะบอกไว้ว่า ห้ามสูบในโรงเรียน แต่สูบนอกโรงเรียนได้ ตอนนี้ฉันยังไม่ได้เข้าโรงเรียนนี่นะ เธอในฐานะหัวหน้าห้องคงยังควบคุมฉันไม่ได้” เฉินเฉิงพูดยิ้ม ๆ
เจียงลู่ซีชะงัก แล้วถามว่า “ฉันเคยพูดเหรอ? เหมือนไม่เคยพูดนะ”
“พูดแล้ว” เฉินเฉิงยืนยัน
“แต่นี่คือประตูโรงเรียน ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียนสิ!” เจียงลู่ซีพูดอย่างจริงจัง “ไม่เชื่อไปถามคุณลุงที่เฝ้าประตูโรงเรียนดูสิ ว่าบริเวณหน้าประตูโรงเรียนนี้ พวกเราต้องมาทำความสะอาดไหม”
“ยอมเธอแล้ว” เฉินเฉิงส่งบุหรี่ไปให้เธอ
“ไม่ใช่ว่าฉันชนะ แต่เรื่องนี้มันก็ต้องเป็นแบบนี้อยู่แล้ว” เจียงลู่ซีรับบุหรี่มาแล้วพูด
“ไม่เป็นไร ครั้งหน้าฉันแอบสูบลับหลังเธอก็ได้ ขอแค่เธอไม่เห็นก็พอ” เฉินเฉิงพูดด้วยรอยยิ้ม
เจียงลู่ซีเม้มปากเล็กน้อย ไม่ตอบกลับ
นักเรียนที่อยู่รอบ ๆ ต่างตกใจเมื่อเห็นเจียงลู่ซียื่นมือขอบุหรี่จากเฉินเฉิง และยิ่งตกใจมากขึ้นเมื่อเห็นเฉินเฉิงยอมส่งบุหรี่ให้เธอแต่โดยดี
แม้แต่อาจารย์ยังห้ามเฉินเฉิงไม่ได้
แต่เจียงลู่ซีขอบุหรี่จากเขา เขากลับยอมให้
นี่คือเฉินเฉิงคนเดิมที่เย่อหยิ่งและหยิ่งผยองคนนั้นจริง ๆ หรือ?
เจียงลู่ซีจูงจักรยานเดินไปพร้อมเฉินเฉิงมุ่งหน้าเข้าโรงเรียน
เฉินเฉิงเดินอยู่ทางขวาของเธอและถามว่า “วันหยุดเป็นยังไงบ้าง?”
“ก็ดี” เจียงลู่ซีตอบ
“การบ้านวิชาเคมีที่ฉันให้ไว้ทำเสร็จหรือยัง?” เธอถาม
“อืม เสร็จแล้ว” เฉินเฉิงตอบ
“ว่าแต่ วันนี้พอเลิกเรียนตอนเช้าแล้ว ไปบ้านฉันหน่อยนะ จะได้เซ็นสัญญาของเทอมนี้” เฉินเฉิงพูดต่อ “แน่นอน ถ้าเธอไม่อยากช่วย หรืออยากให้ฉันตกสอบเข้ามหาวิทยาลัย ก็ไม่ต้องเซ็น”
“นายไปหาหลี่เหยียนหรือไม่ก็เฉินชิง หรืออาจไปหาเจียงซินเจี๋ยก็ได้นี่ พวกเธอเรียนเก่งกันทุกคน และคงยินดีที่จะช่วยสอนนาย” เจียงลู่ซีตอบ
“เจียงซินเจี๋ย?” เฉินเฉิงชะงัก
เขาแทบจะลืมชื่อคนนี้ไปแล้ว
ตอนนี้พอเจียงลู่ซีพูดขึ้น เขาจึงนึกออก
เจียงซินเจี๋ยเป็นนักเรียนห้องเจ็ด ตอน ม.4 กับ ม.5 เคยชอบเขา ครั้งหนึ่งเคยส่งจดหมายรักให้เขาด้วย แต่ตอนนั้นเขาชอบเฉินชิง เลยปฏิเสธเธอไป
“ใช่ เธอเคยส่งจดหมายรักให้นาย ถ้านายให้เธอช่วยสอน เธอคงยินดีมากแน่ ๆ” เจียงลู่ซีตอบ
“แล้วถ้าฉันบอกว่าฉันอยากให้เธอช่วยติวให้ล่ะ?” เฉินเฉิงถาม
“ก็ได้” เจียงลู่ซีตอบทันที
เฉินเฉิงรู้สึกประหลาดใจที่เธอตอบรับง่าย ๆ
เจียงลู่ซีดูจะพูดง่ายขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
“แต่ไม่ต้องทำสัญญา และไม่ต้องให้ค่าเรียนด้วย” เจียงลู่ซีมองเขาและพูด “นายช่วยฉันไว้เยอะมากเมื่อปีที่แล้ว แล้วเราก็เป็นเพื่อนกัน ฉันคงรับค่าเรียนไม่ได้หรอก”
เจียงลู่ซีกล่าวต่อ “แถมตอนแข่งฉันก็ได้ทุนการศึกษา บวกกับเงินที่ได้จากการสอนพิเศษนายก็มีพอให้ใช้กับยายไปได้อีกนาน ถึงจะถึงช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัย ฉันก็จะได้เงินทุนอีกก้อน และรัฐบาลก็จะมีทุนให้ด้วย ถ้าฉันได้โควต้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยหัวชิงหรือปักกิ่ง พอช่วงปิดเทอมหน้าร้อนฉันก็จะทำงานพิเศษอีก คงไม่ขาดเงินอะไรนักหรอก”
“ฉันช่วยนายได้ แต่ขอไม่รับค่าจ้างแล้วกัน” เจียงลู่ซีกล่าว
“ไม่ได้” เฉินเฉิงปฏิเสธทันที
เทอมก่อนเขาจ่ายให้เธอชั่วโมงละยี่สิบไปแล้ว แต่เทอมนี้เขาตั้งใจเพิ่มเป็นชั่วโมงละร้อยบาท และไม่รับค่าจ้างก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้
เฉินเฉิงอยากตอบแทนบุญคุณ
แต่ยิ่งตอบแทน ความรู้สึกเป็นหนี้กลับยิ่งเพิ่มขึ้น
“ด้วยคะแนนระดับนี้ เธอควรจะได้ชั่วโมงละสามร้อยบาทด้วยซ้ำ ถึงรู้ว่าเธอไม่รับ แต่ชั่วโมงละร้อยก็ต้องได้อยู่ดี” เฉินเฉิงกล่าว
“งั้นหาคนอื่นเถอะ ฉันไม่สอนแล้ว” เจียงลู่ซีตอบ
“อืม ก็ไม่เป็นไร ถ้าคะแนนตกก็ช่างมัน สอบไม่ติดก็ไม่เป็นไร ดูสิ ฉันอยู่ถึง ม.6 แล้วนะ” เฉินเฉิงพูด
เจียงลู่ซี: “…”
“เท่าเดิม ชั่วโมงละยี่สิบ” เจียงลู่ซีพูดขึ้น
“ไม่ได้ ร้อยนึง” เฉินเฉิงยืนยัน
“งั้นไม่สอนแล้ว หาคนอื่นเถอะ” เจียงลู่ซีจอดจักรยานแล้วพูด
“แล้วจอดทำไมล่ะ?” เฉินเฉิงถาม
“กลัวเพื่อนคนอื่นเข้าใจผิด ไม่อยากเดินไปพร้อมนาย” เจียงลู่ซีพูด
เธอดูจะโกรธขึ้นมาเล็กน้อย
เธอยอมลดเหลือยี่สิบบาทต่อชั่วโมงแล้ว ถือเป็นการลดความตั้งใจเดิมของเธอไปเยอะแล้ว
ที่จริงเธอตัดสินใจแล้ว ถ้าเฉินเฉิงยังขอให้เธอเป็นติวเตอร์ เธอยินดีช่วย เพราะเฉินเฉิงคงจะต้องการคนมาคอยกำกับให้เขาตั้งใจเรียน
และถ้าเขาไปให้เฉินชิงหรือนักเรียนหญิงคนอื่นช่วยติว
เจียงลู่ซีกลัวว่าพวกเธอจะไม่ตั้งใจพอ
อืม เธอก็แค่กลัวว่าเฉินเฉิงจะสอบไม่ติด
เขาจะได้ไปเรียนมหาวิทยาลัยดี ๆ กับคนอื่นก็ได้เหมือนกัน
แต่ไม่ว่าจะยังไง ก็ไม่ขอรับค่าเรียนแล้วกัน
ปีที่แล้วเฉินเฉิงช่วยเธอไว้มาก
การช่วยเขาถักเสื้อกันหนาวมันไม่พอใช้หนี้เลยด้วยซ้ำ
อีกอย่าง พวกเขาก็เป็นเพื่อนกัน
ไหนเลยจะเรียกเงินจากเพื่อนในการช่วยติวหนังสือกันได้
ถ้ารับเงินก็คงไม่เรียกว่าเพื่อนแล้ว
ดังนั้น เจียงลู่ซีไม่มีทางรับเงินแน่นอน
แต่เมื่ออยู่ด้วยกันช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เธอได้เรียนรู้ว่าเฉินเฉิงเป็นคนยังไง
เขาจะให้เงินเธอเแน่ ๆ
เพราะฉะนั้นสิ้นปีที่ผ่านมา เจียงลู่ซีจึงแนะนำให้เขาไปหาคนอื่น
ในตอนนั้นเธอก็คิดเช่นนั้นจริง ๆ
แบบนี้ ทุกคนก็ไม่ต้องลำบากใจ
แต่เจียงลู่ซีก็รู้ว่าผู้หญิงพวกนั้นคงจะสอนเฉินเฉิงได้ไม่ดีพอ
ดังนั้นเธอจึงต้องพูดออกมาแบบนั้น
แต่เขายังยืนกรานจะให้เงินเธอ
จะว่าไปฟังคำพูดเขาว่า “สอบไม่ติดก็ช่างมัน” เธอรู้สึกอยากให้เขาตกลงกันง่าย ๆ
เหมือนเมื่อปีที่แล้ว ชั่วโมงละยี่สิบ เธอก็ยอมติวให้ได้แล้ว
แต่เขาจะให้ตั้งร้อยบาท
ให้ร้อย ให้หัวเธอน่ะสิ
ให้ตายเถอะ
เอาเป็นว่า ตามใจเถอะ
ถ้าเธอจะกลัวเพื่อนเข้าใจผิด จริง ๆ แล้วปีที่แล้วเธอคงไม่ยอมไปติวตอนกลางคืน หรือไปห้องเก็บน้ำเพื่อรับน้ำกับเขาบ่อย ๆ หรอก
หากไม่นับการปั่นจักรยานกับเขา ซึ่งเธอเห็นว่ามันใกล้ชิดเกินไปแล้ว เธอไม่กลัวเพื่อนคนอื่นจะเข้าใจผิดหรอก
เธอแค่โกรธ
แต่ว่ายี่สิบบาทต่อชั่วโมง ในสถานะของเธอตอนนี้ก็น้อยเกินไปแล้ว
แต่เธอเป็นคนดื้อ
ถ้าเขาจ่ายจริง ๆ เธอคงจะไม่รับ
“ตกลง ยี่สิบก็ยี่สิบ แต่ทุกครั้งวันเสาร์กับวันอาทิตย์มื้อกลางวันต้องฉันจ่าย เธอตอนนี้ไม่เหมือนปีที่แล้วแล้วนะ ปีที่แล้วเธอยังเป็นแค่นักเรียนมัธยมอันเฉิง แต่ตอนนี้เธอเป็นว่าที่นักศึกษาที่ได้โควตาเข้าหัวชิงแล้วนะ ถ้าแค่นี้เธอยังไม่ตกลง งั้นไม่สอนก็ไม่เป็นไร” เฉินเฉิงกล่าว
เจียงลู่ซีมองหน้าเฉินเฉิงที่เริ่มจะดูเย็นชาแล้ว เธอย่นจมูกและพูดว่า “ก็ได้”
เจียงลู่ซีจูงจักรยานขึ้นมาอีกครั้งและพูดว่า “ไปเถอะ”
“คราวนี้ไม่กลัวเพื่อนคนอื่นเห็นแล้วเข้าใจผิดหรือ?” เฉินเฉิงหัวเราะเบา ๆ ถามขึ้น
“ฉันทำอะไรผิดล่ะ เราไม่ได้ทำอะไรเสียหาย มีอะไรจะเข้าใจผิดได้?” เจียงลู่ซีถามอย่างไม่เข้าใจ
เฉินเฉิงมองใบหน้าด้านข้างที่สวยงามดุจนางฟ้าของเธออย่างเงียบ ๆ
เขานึกถึงคำถามของสาวน้อยจาก ‘ฮั่นสุ่ยหลางหาน’ ที่เคยถามจางอู๋จี
หากฉันถามแล้วกลับตอบว่ามีอะไรต้องละอายล่ะ?