บทที่ 130: นี่เป็นการประลอง เลิกเสแสร้งได้แล้ว
“ให้สัตว์ต่อสู้กัน… นั่นหมายความว่าอย่างไร?” ขณะนี้ใบหน้าของหลัวเซียวเซียวไร้สีเลือด “คุณหนู พวกเขาจะให้เจ้าตัวโตกับเสือ…”
“น่าจะเป็นเช่นนั้น” มู่ไป๋ไป่กัดริมฝีปากแน่น “พี่จวินเฉา เราควรทำอย่างไรกันดี สถานการณ์ดูเหมือนจะแตกต่างจากที่เราคิดเอาไว้”
เสิ่นจวินเฉาเองก็วางถ้วยชาในมือลงและไปยืนอยู่ข้างหน้าต่าง “ข้ารู้สึกว่าศาลาหมื่นอสูรตอนนี้ดูจะแตกต่างไปจากครั้งสุดท้ายที่ข้ามาที่นี่ ที่แท้เป็นเพราะเปลี่ยนเถ้าแก่นี่เอง”
“ดูเหมือนว่าวันนี้เราจะไม่สามารถช่วยเจ้าตัวโตด้วยวิธีตามปกติได้อีกแล้ว”
“เจ้าไม่ต้องกังวล พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าจะไปส่งสัญญาณให้คนของข้าเข้ามาพาตัวเจ้าตัวโตไป”
“แต่พี่จวินเฉา… มันสายเกินไปแล้ว” มู่ไป๋ไป่พูดขณะมองลงไปด้านล่าง ยามนี้ชายหนุ่มในชุดงดงามกำลังสั่งคนให้เปิดกรงเหล็กทั้ง 2 ออกแล้ว
บนชั้น 2 ซึ่งก่อนหน้านี้เงียบมากจู่ ๆ ก็มีเสียงตะโกนโห่ร้องมากมายทำให้บรรยากาศภายในนั้นเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง
มู่ไป๋ไป่ไม่เข้าใจว่าการเฝ้าดูสัตว์ฆ่ากันเองมันตื่นเต้นอย่างไร
เธอรู้สึกว่ามันทั้งโหดร้ายและเป็นการทารุณกรรมสัตว์เพียงเท่านั้น
“พี่จวินเฉา ข้าต้องลงไปก่อนแล้ว!” คนตัวเล็กเม้มปากแน่นก่อนจะหันกลับไปพูดว่า “เจ้าตัวโตได้รับบาดเจ็บขนาดนั้น มันไม่มีทางเอาชนะเสือตัวนั้นได้แน่นอน”
หากเธอรอให้เสิ่นจวินเฉาเรียกคนของเขามาช่วย หมาป่าสีเทาอาจจะถูกเสือที่เป็นคู่ต่อสู้ฆ่าไปแล้ว
“ข้าจะไปกับท่าน!” จื่อเฟิงไปยืนข้างมู่ไป๋ไป่
หลัวเซียวเซียวตอนแรกรู้สึกลังเล แต่นางก็ยังคงหยิบมีดสั้นที่นำติดตัวตลอดออกมา แล้วไปยืนอยู่ข้างหลังองค์หญิงหก
“นี่พวกเจ้า…” เสิ่นจวินเฉาขมวดคิ้วแน่น “แม้ว่าพวกเจ้าจะลงไปตอนนี้ แล้วพวกเจ้าจะทำอะไรได้?”
“สัตว์ป่าพวกนั้นได้รับบาดเจ็บจนคลั่ง มันจำใครไม่ได้หรอก”
“เจ้าตัวโตจะจำข้าได้” มู่ไป๋ไป่ปีนขึ้นไปบนหลังของจื่อเฟิงและยิ้มซุกซนให้กับอีกฝ่าย “ข้าจะขวางไม่ให้พวกมันฆ่ากันเองได้แน่นอน”
“พี่จวินเฉาอาจจะไม่รู้ แต่ทักษะการคุยกับสัตว์ของข้ายอดเยี่ยมมาก”
แน่นอนว่าเด็กชายทำหน้าไม่เชื่อ เขาต้องการจะโน้มน้าวพวกนางต่อไป แต่ในจังหวะนั้นจื่อเฟิงได้ก้าวขึ้นไปยืนบนขอบหน้าต่างและกระโดดลงจากชั้น 2 พร้อมกับมู่ไป๋ไป่และหลัวเซียวเซียวเรียบร้อยแล้ว
“ไป๋ไป่!” เสิ่นจวินเฉาแทบลืมหายใจทันทีที่เห็นฉากตรงหน้า ในไม่ช้าเขาก็โล่งใจเมื่อเห็นว่าทั้ง 3 คนลงจอดบนพื้นอย่างปลอดภัย จากนั้นเขาก็สบถในลำคอก่อนจะผลักเปิดประตูออกเพื่อลงไปชั้นล่าง
“พวกเจ้าเป็นใคร!?”
ชายหนุ่มรูปงามขมวดคิ้วมองการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของพวกมู่ไป๋ไป่ “เด็ก 3 คนอย่างนั้นหรือ ดูเหมือนว่าวันนี้คนเฝ้าประตูจะแหกกฎ ถึงได้ปล่อยให้เด็ก 3 คนเข้ามาวุ่นวายที่นี่”
“เด็กน้อยเอ๋ย สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่พวกเจ้าควรอยู่ รีบออกไปเร็วเข้า”
มู่ไป๋ไป่ไม่ฟังคำพูดของอีกฝ่ายแล้วดึงแส้ออกมาจากเอว พร้อมกับมองชายคนนั้นด้วยสายตาเย็นชา “ต้องขออภัยด้วย เราไม่ได้มาวิ่งเล่นที่นี่”
“พวกท่านจับสหายของเรามา เรามาที่นี่เพื่อช่วยมัน”
เด็กหญิงพูดพลางชี้แส้ไปทางหมาป่าสีเทาที่อยู่ในกรง
นับตั้งแต่ตอนที่พวกเธอปรากฏตัว เจ้าตัวโตก็ลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้น ซึ่งมันแตกต่างกับท่าทีใกล้ตายเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง
“ท่านจ้าวอสูร! ที่นี่มันอันตราย ท่านรีบออกไปเร็วเข้า!”
มู่ไป๋ไป่มองเจ้าตัวโตแล้วพูดปลอบว่า “เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะต้องช่วยเจ้าออกไปให้ได้”
ชายหนุ่มผู้ดำเนินรายการมองเห็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กหญิงกับหมาป่าสีเทา เขาจึงประสานมือและหัวเราะ “ฮ่า ๆ น่าสนใจ ช่างน่าสนใจยิ่งนัก…”
“ตั้งแต่ที่หมาป่าตัวนี้ถูกจับมา มันไม่ยอมกินดื่มอะไรทั้งสิ้น มันดุมากถึงขั้นไม่มีใครสามารถเข้าใกล้มันได้”
“แต่ตอนนี้มันกลับมีปฏิกิริยาตอบโต้กับเด็กน้อยคนนี้”
“แม่หนูน้อย บอกพี่ชายคนนี้ได้หรือไม่ว่าเจ้าฝึกมันให้เชื่องได้อย่างไร?”
“ถ้าเจ้ายินยอมที่จะบอกพี่ชาย พี่ชายจะมอบขนมให้เป็นการแลกเปลี่ยน”
“ท่านกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นพี่ข้าอย่างนั้นหรือ?” มู่ไป๋ไป่แสยะยิ้ม พร้อมกับตวัดแส้ลงพื้นจนฝุ่นฟุ้ง “ท่านไม่คู่ควร!”
พี่ชายของเธอเป็นถึงองค์รัชทายาท
ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอนั้นมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เหมือนสุนัขจิ้งจอก ไม่สามารถเทียบได้แม้เพียงเศษขี้เล็บของท่านพี่รัชทายาท!
“เจ้าเป็นเด็กที่น่ารักทีเดียว แต่คำพูดของเจ้านั้นไม่น่าฟังเลยสักนิด” ชายหนุ่มในชุดสีสันสดใสยังคงมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า มีเพียงดวงตาสีดอกท้อของเขาเท่านั้นที่หรี่ลงเล็กน้อย
“ดูเหมือนว่าพ่อแม่ของเจ้าจะสั่งสอนเจ้าไม่ค่อยดีนัก ถ้าเป็นอย่างนั้น วันนี้ข้าจะสั่งสอนเจ้าแทนพ่อแม่เจ้าเอง”
“ปล่อยหมาป่ากับเสือออกมา!” ชายในชุดหรูหราพูดขึ้นขณะที่ถอยกลับไป
“เถ้าแก่… แต่เด็กพวกนั้นยังอยู่บนลาน ถ้าปล่อยหมาป่ากับเสือออกไป เด็กพวกนั้นจะตาย” เสี่ยวเอ้อร์ที่ทำหน้าที่เปิดประตูกรงลังเลไม่กล้าทำตามคำสั่ง
“ปล่อยพวกมัน! ถ้ามีคนมาถาม เราก็มีเหตุผลมากมายที่จะอธิบายให้พวกเขาฟัง” ชายหนุ่มไพล่มือไปด้านหลังแล้วหัวเราะเยาะ “ถึงอย่างไรที่นี่ก็คือตลาดผี สถานที่ที่ผู้คนต้องเอาชีวิตรอดด้วยกำลังของตัวเอง”
เสี่ยวเอ้อร์ที่ถูกตวาดไม่กล้าพูดอะไร เขาเพียงแค่เหลือบมองพวกมู่ไป๋ไป่ด้วยความสงสารและปลงกับชะตากรรมของพวกนางก่อนจะเปิดกรงออก
คราวนี้เสียงตะโกนจากชั้น 2 ยิ่งดังมากขึ้นไปอีก
พอกรงถูกเปิดออก เจ้าตัวโตก็วิ่งออกมาจากกรงทันทีแล้วไปขวางอยู่ด้านหน้าเด็กทั้ง 3 “ท่านจ้าวอสูร ทำไมท่านถึงไม่รีบหนีไป!”
“เรามาที่นี่ก็เพื่อช่วยเหลือเจ้า เจ้าจะให้ข้าหนีไปไหนล่ะ?” มู่ไป๋ไป่ลูบหัวของมันก่อนจะหยิบผลเพลิงสีชาด 2 ผลออกมาจากกระเป๋าและป้อนให้มัน “เจ้าคิดว่าที่นี่คือที่ไหน ที่นี่คือศาลาหมื่นอสูร ในเมื่อเจ้าเรียกข้าว่าท่านจ้าวอสูร แล้วข้าจะต้องกลัวอะไร”
“เจ้าตัวโต!” พอจื่อเฟิงเห็นหมาป่าสีเทา เขาจึงรีบวิ่งเข้าไปกอดและเอาหน้าซุกขนหนาของมันอย่างตื่นเต้น “ทำไมเจ้าถึงถูกจับตัวมาที่นี่?”
“ข้าเป็นกังวลมากตอนที่ขึ้นไปบนภูเขาแล้วหาเจ้าไม่พบ!”
เจ้าตัวโตกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เมื่อได้ยินเสียงเสือคำราม มันก็รีบหันกลับไปจ้องเสือที่อยู่ตรงหน้าพร้อมกับแยกเขี้ยวขู่อีกฝ่าย
“ท่านจ้าวอสูร มนุษย์พวกนั้นให้เสือกินยาพิษ”
“ตอนนี้มันเลอะเลือนแล้ว แม้ว่าท่านจะไปอยู่ตรงหน้ามัน มันก็อาจโจมตีท่านได้”
มู่ไป๋ไป่ที่ได้ยินดังนั้นก็เปลือกตากระตุก “คนพวกนี้ช่างชั่วช้าเสียจริง...”
“ท่านจ้าวอสูร ข้าจะปกป้องท่านเอง ท่านรีบหนีออกไปก่อนเถอะ” หมาป่าสีเทาได้กินผลเพลิงสีชาดแล้วรู้สึกว่าอาการบาดเจ็บของมันดีขึ้นมาก ในขณะที่มันพูดว่า “หลังจากที่ท่านออกไปแล้ว ให้รีบหนีออกไปจากที่นี่ อย่าได้หันหลังกลับมาอีก”
“ข้าจะหาทางหนีออกไปเอง”
“ไม่ เราต้องไปด้วยกัน” มู่ไป๋ไป่พูดขัดจังหวะเจ้าหมาป่า “อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่”
เจ้าตัวโตมองเด็กหญิงด้วยสายตาซับซ้อน ก่อนที่มันจะกล่าวว่า “ท่านจ้าวอสูร ท่านเป็นนายเหนือหัวของสัตว์ทั้งปวง ข้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ตายเพื่อท่าน”
“ขอโทษทีเถอะ ข้าไม่ต้องการให้เจ้ามาตายเพื่อข้า!” มู่ไป๋ไป่มองอีกฝ่ายด้วยสายตาแน่วแน่ “วันนี้เราทั้ง 4 คนจะออกไปจากที่นี่อย่างปลอดภัย!”
“คุณ…” หลัวเซียวเซียวซึ่งยืนเงียบมาตลอดกระซิบถามว่า “คุณหนูคุยกับใครตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว?”
“...”
อุ้ย! ลืมตัวไปหน่อย…
“ที่นี่มีอยู่ 4 คนหรือเจ้าคะ?” หลัวเซียวเซียวลูบแขนตัวเองพลางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ “ทำไมข้ามองไม่เห็นคนที่ 4 ล่ะ?”
“อะแฮ่ม! จริง ๆ แล้วข้ามีความลับที่ปิดบังเจ้าตลอดมา” มู่ไป๋ไป่ไอแห้ง ๆ และเตรียมที่จะเผชิญหน้ากับความจริง สุดท้ายแล้วสถานการณ์ในปัจจุบันนั้นพิเศษมาก รวมถึงเธอต้องการให้หลัวเซียวเซียวกับจื่อเฟิงเชื่อใจเธอ “ฟังนะ ข้าเข้าใจภาษาสัตว์”
“...”
“...”
เด็กทั้ง 2 คนตกอยู่ในความเงียบหลังจากได้ยินสิ่งที่คนตัวเล็กบอก
“จริง ๆ นะ!” เมื่อมู่ไป๋ไป่เห็นว่าทั้งคู่ไม่เชื่อ เธอก็รีบชี้ไปที่เจ้าตัวโตพร้อมกับพูดว่า “เมื่อกี้ข้ากำลังคุยกับมันอยู่!”