ตอนที่แล้วบทที่ 111 กำไรก้อนแรก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 113 ปะทะเดือด

บทที่ 112 แข่งบาส


บทที่ 112 แข่งบาส

หลาวโม๋รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเด็กผู้ชายในห้องกำลังหวั่นเกรง ไม่ใช่เพราะไม่ชอบกีฬาชนิดนี้หรอกนะ

เพราะจะมีนักเรียนมัธยมปลายคนไหนบ้างล่ะที่ไม่สนใจบาสเกตบอล?

ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยผลการเรียนของนักเรียนห้องนี้ค่อนข้างอยู่ในระดับแย่ ตามความคิดแบบเหมารวมแล้ว พวกเขาน่าจะชอบเล่นบาสเกตบอลมากกว่า และยังเล่นเก่งกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ

เพียงแต่ว่าปีที่แล้ว ตัวเขาเองก็มีส่วนรับผิดชอบอยู่บ้าง การจับสลากดวงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ รอบแรกก็เจอกับรองแชมป์ของโรงเรียนเลย

แล้วในการแข่งขันครั้งนั้น ห้องสิบแปดก็ถูกถล่มยับเยิน คะแนนต่างกันเกินสามสิบแต้ม

แม้ว่าตอนนั้นจะยังไม่ได้แยกห้อง แต่คนที่เข้าร่วมการแข่งขันในห้องก็ยังคงเป็นคนกลุ่มเดิม ๆ ดังนั้น ความรู้สึกหดหู่ใจที่ยังไม่จางหายไปก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้

ถึงแม้ว่าหลาวโม๋จะเป็นคนที่คลั่งไคล้ในเรื่องคะแนนเป็นหลัก แต่เพราะปกติชอบเล่นบาสเกตบอล เขาจึงไม่ยอมปล่อยผ่านไปง่าย ๆ ด้วยเหตุผลที่ว่าเล่นบาสแล้วไม่ได้คะแนนสอบเข้ามหาวิทยาลัยหรอกนะ

เขาไอสองสามครั้ง เพื่อปรับเสียง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบในฐานะครูประจำชั้นว่า "ทางโรงเรียนกำหนดให้ทุกห้องต้องเข้าร่วม แม้แต่ห้องสิบห้าที่หาผู้เล่นตัวจริงผู้ชายครบห้าคนยังไม่ได้ ก็ยังต้องลงแข่ง ดังนั้น ห้องเราครั้งนี้ก็ต้องพยายามอย่างเต็มที่ ไม่ใช่ว่าพวกนายชอบเล่นบาสกันนักเหรอ? ฉันก็ดูอยู่เหมือนกัน ฝีมือก็ใช้ได้เลย ดังนั้นครั้งนี้ไม่เพียงแค่ต้องลงแข่ง แต่ยังต้องมุ่งมั่นสู่รอบแปดทีมสุดท้ายด้วย"

เซี่ยงไฮ้เป็นเมืองแห่งบาสเกตบอล การแข่งขันบาสเกตบอลระดับมัธยมปลายมีมาตรฐานสูง ดังนั้น ทางการจึงกำหนดให้ทุกโรงเรียนควรจัดการแข่งขันบาสเกตบอลภายในของตัวเอง เพื่อคัดเลือกนักกีฬาที่มีความสามารถ

นี่เป็นตัวชี้วัดทางการศึกษา หลาวโม๋จึงควรให้ความสำคัญทั้งในแง่ของความรู้สึกและเหตุผล

แต่เด็กผู้ชายกลุ่มนี้...

"ทำไมไม่พูดอะไร ไม่มีใครสมัครเหรอ?"

หลาวโม๋ไม่เข้าใจ ทำข้อสอบไม่มั่นใจ แม้แต่เล่นบาสก็ไม่มั่นใจอีกเหรอ?

"ครูครับ" จางเชาหัวหน้าห้องทนไม่ไหว จึงถามขึ้นอย่างช้า ๆ ว่า "ช่วยบอกพวกเราก่อนได้ไหมครับว่าจับสลากได้ยังไงบ้าง?"

คำถามนี้ก็ตรงกับความรู้สึกของเด็กผู้ชายในห้องทุกคน

พวกเราไม่อยากแข่งเหรอ?

ทั้งโรงเรียนมีทั้งหมด 26 ห้อง ครูจับสลากให้เราเจอกับรองแชมป์ตั้งแต่รอบแรกเลย!

ก่อนถึงรอบชิง รองแชมป์เจอใครก็ชนะขาดลอย นั่นจะเป็นปัญหาของพวกเราเหรอ?

"การแข่งขันบาสเกตบอลแบบนี้ โรงเรียนเก่าของครูก็เคยจัด" เมื่อเห็นทุกคนหมดกำลังใจ หลาวโม๋กลับมั่นใจมาก โจวฟู่จึงถามด้วยความสงสัยว่า "ฟังจากน้ำเสียงของทุกคนแล้ว ครั้งที่แล้วคงแพ้เละเทะมาก แต่ทำไมครูถึงคิดว่าห้องเรามีโอกาสเข้ารอบแปดทีมล่ะคะ? ทุกคน... ฝีมือดีมากเหรอคะ?"

"เอ่อ..." ถึงจะดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่เหอซือเจียวก็อดที่จะเหน็บแนมไม่ได้ว่า "ฉันไม่เห็นว่าฝีมือจะดีขนาดไหน แต่ฝั่งตรงข้ามทำคะแนนได้สูงมากจริง ๆ "

"ไม่ใช่นะ นั่นจะโทษพวกเราได้ยังไง?" โจวหยูหน้าแดง หันกลับมาแก้ตัวว่า "รอบแรกก็เจอกับห้องที่เป็นอันดับสองของโรงเรียนเลย แถมยังมีนักกีฬาบาสของโรงเรียนอยู่ในทีมด้วย แค่จับสลากดวงไม่ดีเอง"

"ปีที่แล้วพวกนายลงแข่งกันหมดเลยเหรอ?" โจวฟู่ถามเฉินหยวน

"มีโจวหยู ไม่มีฉัน"

ตอนนั้น หลาวโม๋ให้เฉินหยวนลงแข่ง แต่เฉินหยวนลองศึกษาทีมคู่แข่งจากการจับสลากแล้วก็ตัดสินใจไม่ลง

แล้วผลก็คือ แพ้ราบคาบไปสามสิบแต้ม

หลาวโม๋รู้ว่าเงาของการแข่งขันปีที่แล้ว ยังคงปกคลุมอยู่ในใจของทุกคน เขาจึงยอมเปิดเผยความจริงว่า "ครั้งนี้จับสลากได้ดี รอบแรกเจอกับห้องหนึ่ง พอใจไหมล่ะ?"

เมื่อได้ยินแบบนั้น ห้องเรียนที่เงียบสงบก็กลับมาครึกครื้นขึ้นมาทันที เหล่าเด็กผู้ชายต่างก็สมัครเข้าแข่งขันกันอย่างคึกคัก

"งั้นก็เอาจริงเอาจังกันหน่อยแล้วกัน"

โจวหยูกับเฉินหยวนลุกขึ้นยืนพร้อมกัน พร้อมกับเผยรอยยิ้มจาง ๆ

การได้ยำใหญ่พวกเด็กเรียนห้องหนึ่งนี่มันสนุกจริง ๆ

จัดหนักให้พวกหนอนหนังสือพวกนี้ซะเลย

“เหอะ หน้าตาก็ดี ทำไมปัญญาอ่อนแบบนี้นะ?” เหอซือเจียวเห็นเด็กหนุ่มสองคนนี้ลุกขึ้นยืนพร้อมกัน ก็เผยสีหน้าแปลก ๆ ออกมา

“ก็นะ เจอห้องเด็กเรียนก็คงจะเป็นแบบนี้แหละ ฮ่าๆ ๆ” โจวฟู่รู้สึกว่าภาพตรงหน้ามันคุ้นชินจริง ๆ

โรงเรียนแบบจีน เป็นสังคมเล็ก ๆ ที่ให้ความสำคัญกับคะแนนเป็นหลัก เด็กเรียนเก่งมักจะมีสิทธิพิเศษมากกว่า ได้รับความสนใจมากกว่า ดังนั้นในด้านอื่น ๆ นอกจากเรื่องเรียน ‘เด็กเรียนแย่’ ก็มีโอกาสแสดงความสามารถของตัวเอง เด็กผู้ชายส่วนใหญ่ก็จะมีความต้องการที่จะแสดงออกมากเป็นพิเศษ เพราะผลการแข่งขันบาสเกตบอลทางโรงเรียนก็ประกาศให้ทุกคนรู้ว่า —— ชนะ

“อาจารย์ครับ รอบสองเจอใครครับ?”

ตอนที่ทุกคนกำลังสนุกสนาน ก็มีนักเรียนคนหนึ่งถามขึ้นมา

บรรยากาศก็เงียบไปชั่วขณะ

“ห้องม.ปลายสายศิลป์”

จากนั้น บรรยากาศครื้นเครงก็กลับมาเต็มห้องเรียนอีกครั้ง

เฉินหยวนมองออกว่า สายตาของพวกเด็กเวรนี่มันวูบวาบตามคำถามคำตอบของหลาวโม๋

พวกแกเล่นหรี่ไฟกันอยู่รึไง?

ขี้แพ้ชวนตีน่ะสิ น่าอายจริง ๆ

“เฉินหยวน โจวหยู ไม่ต้องยกมือสูงขนาดนั้นก็ได้ หลาวโม๋เห็นแล้ว” เหอซือเจียวพูดแซว

“เอ๋? ฮ่า ๆ อย่างงั้นเหรอ?”

สองคนนี้พูดพร้อมกันอีกแล้ว แม้แต่เครื่องหมายวรรคตอนก็เหมือนกันเป๊ะ

จากนั้นก็รู้สึกเขินนิดหน่อย

“แต่พูดก็พูดเถอะ จับฉลากได้ดีมากเลยนะ” โจวหยูไม่คิดว่าปีนี้หลาวโม๋จะมีประโยชน์ขนาดนี้

ทำไมถึงบอกว่าจับฉลากได้ดีล่ะ?

ทั้งโรงเรียนมี 26 ห้อง

รอบแรก มี 6 ห้องที่จับฉลากได้ดีมาก ได้ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายไปเลย ส่วนอีก 20 ห้องที่เหลือก็แข่งกันหาผู้ชนะเข้ารอบ 16 ทีม

จากน้ำเสียงของหลาวโม๋ พวกเขาไม่ได้ผ่านเข้ารอบแบบอัตโนมัติ แต่ก็โชคดีกว่านั้น

เพราะพวกเขาเจอกับห้อง 1 สายวิทย์-คณิต ที่อ่อนที่สุด

รอบสอง จะหา 8 ทีมสุดท้ายที่แข็งแกร่งที่สุดในโรงเรียน

ส่วนรอบสอง ก็เจอกับห้องสายศิลป์อีก ถือว่าเข้ารอบชัวร์ ๆ

ยังไงก็ไม่ต้องกลัวตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายแล้ว!

รอบ 8 ทีมสุดท้ายคนดูก็จะเยอะกว่าเดิม ดังนั้นในตอนนี้ แค่หน้าตาพอใช้ได้ เล่นดี ๆ สักสองสามลูก ก็หาแฟนได้แล้ว

จากนั้นก็เริ่มต้นบทรักรบกับรุ่นพี่สาวเจ้าเล่ห์!

“อาจารย์ครับ เจอกับห้องสายศิลป์ห้องไหนเหรอครับ?”

มีผู้กล้าคนหนึ่งถามขึ้นมาอีก

แต่ตอนนี้ ทุกคนก็ไม่ได้สนใจแล้ว

นักเรียนสายศิลป์มีผู้ชายไม่กี่คน เจอห้องไหนมาก็ชนะอยู่แล้ว

ช่างมันเถอะ พวกเรามุ่งเป้าไปที่ 8 ทีมสุดท้ายแล้ว

หลาวโม่พูดขึ้นมาลอย ๆ ว่า “เหมือนจะเป็นห้อง 26 นะ...”

แต่พอคำพูดนั้นออกจากปาก ก็มีเสียงโอดครวญดังขึ้นในห้องทันที

“ห้องสายศิลป์อะไรกัน? นั่นมันห้องเด็กนักกีฬานี่!”

“ทีมโรงเรียนครึ่งนึงอยู่ในห้องเดียวกันหมดเลยเหรอ?”

“งั้นห้องนั้นก็เป็นห้องที่แข็งแกร่งที่สุดเลยสิ? โชคจับฉลากอะไรแบบนี้เนี่ย...?”

“เฮ้ เกิดอะไรขึ้น?” หลาวโม๋โกรธจริง ๆ เขาเป็นคนที่ทะเยอทะยานมาก แล้วทำไมถึงสอนเด็กขี้ขลาดตาขาวแบบนี้ได้ เขาพูดอย่างจริงจัง “ฉันพาพวกนายมาหลายรุ่นแล้ว แต่ละรุ่นต้องเข้ารอบแปดทีมสุดท้ายอย่างน้อยหนึ่งครั้ง พวกนายพอใจที่จะจบที่ยี่สิบหกทีมสุดท้ายเหรอ?”

หลาวโม๋พูดอย่างองอาจ ในอดีตนักเรียนอาจจะรู้สึกฮึกเหิมและเริ่มละอายใจ

แต่เด็กยุคนี้ไม่คิดแบบนั้น

“ผมว่าให้จางเหลียงจับฉลากดีกว่า...”

“ตกรอบสิบหกทีมแล้ว”

“ให้ฉันลงเล่นกับห้องหนึ่งก่อน หลังจากนั้นค่อยให้พวกนายไปสนุก”

“ดูเหมือนพวกนายจะรังแกคนที่อ่อนแอกว่าและกลัวคนที่แข็งแกร่งกว่านะ...” ปฏิกิริยาของเด็กผู้ชายห้องสิบแปดทำให้โจวฟู่ขำ

เธอกำลังจะหันไปคุยเรื่องนี้กับเฉินหยวน ทันใดนั้นเธอก็เห็นว่าเขานั่งตัวตรงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ไม่ได้นะ ถ้าไม่มีใครอ่อนแอให้นายแกล้ง นายก็ไม่ลงแข่งเลยเหรอ?

“พวกฉันก็ไม่อยากเป็นตัวประกอบนักหรอก แต่ถูกคนอื่นรังแกมันน่าอายออก” โจวหยูรู้สึกต่อต้านเมื่อนึกถึงตอนที่ถูกคนอื่นรังแกเมื่อปีที่แล้ว

“หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า แค่ห้าคนนี้เหรอ? ยังขาดตัวสำรองอีกสามคน” หลาวโม๋เห็นว่าพูดดี ๆ ไปก็ไม่มีประโยชน์ จึงจัดการโดยตรง “นักเรียนชายที่สูงเกินหนึ่งเมตรแปดสิบเซนติเมตร ยืนขึ้น”

จากนั้น นักเรียนชายในห้องเรียนก็ยืนขึ้นอย่างไม่เต็มใจ...

โจวฟู่และเหอซือเจียวจ้องไปที่เฉินหยวนพร้อมกัน ชายผู้ทะเยอทะยานและไม่เคยยอมแพ้

เฉินหยวนเผชิญหน้ากับสายตาที่สงสัยเหล่านั้น พูดอย่างจริงจัง “ผมสูงแค่หนึ่งเมตรเจ็ดสิบเก้าเซนติเมตรเองครับ”

“เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการต่อสู้ ถึงกับโกหกเรื่องส่วนสูงที่ผู้ชายไม่มีทางโกหกแม้แต่มิลลิเมตรเดียว เฉินหยวน นายเป็นคนขี้ขลาดจริง ๆ” เหอซือเจียวพูดจาดูถูกเหยียดหยามด้วยน้ำเสียงชื่นชม

“เอาล่ะ จางเชา แล้วก็นาย”

หลาวโม๋เลือกคนสองคน มองไปที่นักเรียนชายคนที่สามที่สูงเกินหนึ่งเมตรแปดสิบเซนติเมตร นั่นคือหยูเจียเฉิงร่างใหญ่คนนั้น เขาโบกมือให้เขานั่งลง จากนั้นก็หันไปมองเฉินหยวนและโจวหยู เด็กชายสองคนที่แอบนั่งลงเมื่อได้ยินว่าเป็นห้องยี่สิบหก เป็นตัวอย่างของการรังแกคนที่อ่อนแอกว่าและกลัวคนที่แข็งแกร่งกว่า

จริง ๆ แล้ว เด็กสองคนนี้เล่นบาสเก็ตบอลได้ แต่เมื่อคิดว่าขาดพอยต์การ์ดที่เชื่อมเกม จึงเรียกชื่อโจวหยู “โจวหยู”

“แบบนี้จะดูเหมือนเป็นการแต่งตั้งหรือเปล่า...?”

โจวหยูเคยถูกคนอื่นรังแก ดังนั้นเขาจึงไม่อยากโดนรังแกจริง ๆ

ถ้าเลือกได้ก็อยากจะกลับไปเล่นนะ

ตอนเจอทีมที่อ่อนแอกว่าก็ทำคะแนนเยอะ ๆ ตอนเจอทีมที่แข็งแกร่งก็อ้างว่าข้อเท้าแพลงแล้วขอพัก... กล้ามาก!

“นายนั่นแหละ พูดมากจริง”

หลาวโม๋ตัดสินใจเลือกคนแบบนี้ จากนั้นก็พูดกับจางเชา “ตอนเที่ยงเอาเงินค่าห้องไปสั่งชุดบาสเก็ตบอลหนึ่งชุด แล้วตอนเรียนพละ นำทุกคนไปฝึกซ้อมด้วยกัน”

“ครับอาจารย์ จะให้พิมพ์อะไรบนเสื้อไหมครับ?” จางเชาถาม

เมื่อได้ยินคำถามนี้ หลาวโม๋ก็ดูเหมือนจะสนใจขึ้นมาทันที แต่ไม่ได้แสดงออกมา ทำท่าทางไม่ใส่ใจ พูดว่า “เอาเป็นจรวดแล้วกัน”

(ล้อทีมRocket)

“ยังจะแอบอ้างชื่อทีมอื่นอีกเหรอครับ?”

“พวกนายไม่เข้าใจหรอก ความรู้สึกของนักบาสเก็ตบอลรุ่นเก่า”

“หายากอะไร พวกเราต่างก็ดูหนิงเหลียว”

“คนไห่ตงดูหนิงเหลียว ไม่ดูโจวโจว? คนทรยศไสหัวออกไปจากห้องสิบแปดเลย”

ทีมบาสเก็ตบอลของห้องสิบแปดก็ถูกกำหนดขึ้นแบบนี้

ถึงแม้จะปากบอกว่าไม่เต็มใจ แต่จริง ๆ แล้วได้เล่น ได้ออกหน้าออกตา ทุกคนก็ตื่นเต้นกันมาก

เอาล่ะ ครั้งนี้มันไม่เหมือนครั้งก่อน ถึงจะโดนอัด แต่ก่อนจะโดนอัดก็ยังได้สนุกกับพวกเด็กเก่ง ๆ จากห้องหนึ่ง ให้พวกเด็กเรียนพวกนั้นได้อายกันในห้องของพวกเขา แล้วค่อยไปคว้าตัวสาวเรียนเก่งมา บรรยากาศเริ่มคึกคักขึ้นเรื่อย ๆ แล้วสิ!

"ฉันเห็นว่าอาจารย์โม๋ค่อนข้างอยากให้นายลงนะ ทำไมนายถึงไม่ยอมล่ะ" โจวฟู่ไม่ค่อยเข้าใจนัก ถึงเธอจะไม่รู้ว่าเฉินหยวนเล่นบาสเก่งแค่ไหน แต่ก็เห็นเขาเล่นบ่อย ๆ ตามหลักแล้ว ผู้ชายที่ชอบบาสทุกคนไม่น่าจะอยากพลาดโอกาสแบบนี้หรอก

"ฉันขอเวลาพัฒนาตัวเองอีกปี" เฉินหยวนตอบ

"หลังจากนี้ก็ไม่มีแข่งแล้วนี่..." โจวฟู่ไม่รู้ว่าเขาต้องการพัฒนาอะไร

"ไอ้หมอนี่ ถ้าไม่มั่นใจเต็มร้อย มันไม่มีทางทำเท่แบบนี้หรอก!" โจวหยูรู้ทันมานานแล้ว พูดอย่างดูถูก "อย่าไปดูถูกมันนะ ถึงมันจะทำเท่สำเร็จบ่อย แต่ก็ทำน้อยครั้งจะตาย"

"อย่าพูดไป"

โจวหยูพูดถูก แต่ก็ไม่ถูกทั้งหมด

เพราะวันนี้เฉินหยวนยังมีคำศัพท์อีกแปดร้อยคำที่ยังไม่ได้ท่อง

ดังนั้นเรื่องบาสขอพักไว้ก่อน คราวหน้าค่อยว่ากันนะ

พอได้คำตอบแบบนี้ โจวฟู่ก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ถึงเธอจะไม่เข้าใจเรื่องบาสเกตบอล แต่เธอก็รู้สึกว่าโจวหยูกับเฉินหยวนที่ร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่... ความสัมพันธ์ฉันพี่น้องที่ลึกซึ้งนั้น มันเข้ากับธีมชีวิตนักเรียนมาก ๆ

เช้าวันธรรมดาวันหนึ่งก็ผ่านไปอย่างแสนธรรมดา

ส่วนโจวฟู่ หลังจากสังเกตเฉินหยวนมาครึ่งวันโดยไม่ตั้งใจ เธอก็พบว่าบางทีเขาอาจจะไม่ได้ไม่ชอบเล่น แต่แค่ชอบเรียนมากเกินไปต่างหาก

ความรักในการเรียนของเขา อาจจะเทียบเท่ากับแฟนสาวตัวน้อยของเขาเลยก็ได้

หรือว่าเป็นเพราะแฟนสาวตัวน้อยคนนั้น ถึงทำให้เขาอยากตั้งใจเรียนกันนะ?

ช่างเป็นผู้ชายที่น่ากลัวจริง ๆ สมกับเป็นนายจริง ๆ

"ไปกินข้าวกันเถอะ"

ตอนพักเที่ยง เหอซือเจียวชวนหลี่ยูยูไปกินข้าวด้วย และทุกคนก็ไม่ได้ว่าอะไร แถมโจวฟู่ยังยิ้มรับอีกต่างหาก

แต่เหอซือเจียวไม่ได้ชวนแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยหรอกนะ เพราะหลี่ยูยูเคยบอกกับเธอแล้วว่า เธอเคลียร์ปัญหาคาใจกับโจวฟู่และเฉินหยวนเรียบร้อยแล้ว และอยากจะไปกินข้าวกับทุกคน

เหอซือเจียวไม่รู้ว่าคนอื่นคิดยังไง แต่เธออยากให้เพื่อน ๆ รักกัน

"ฉันไม่ไปล่ะ ฉันจะกินขนมปังนิดหน่อย แล้วไปซ้อมบาสกับพวกพี่น้อง"

โจวหยูโบกมือลา แล้วก็เดินออกไปก่อน

จากนั้นก็เป็นเฉินหยวน เหอซือเจียว โจวฟู่ และหลี่ยูยู ทั้งสี่คนไปที่โรงอาหารด้วยกัน

ตามหลักแล้ว ผู้ชายคนหนึ่งมากินข้าวกับผู้หญิงตั้งหลายคน ก็น่าจะรู้สึกไม่สะดวกสบายหรือไม่ก็เสนอตัวว่านัดกับผู้ชายคนอื่นไว้แล้ว

แต่เฉินหยวนไม่เหมือนคนอื่น เขาใจเย็นมาก

แต่พวกผู้หญิงก็ดูออกว่า เขาไม่ได้สนใจพวกเธอที่เป็นสาวสวยเลยแม้แต่น้อย

แม้กระทั่งตอนกินข้าว ก็ยังถือสมุดคำศัพท์ท่องอยู่...

เมื่อเห็นดังนั้น เหอซือเจียวก็ค่อย ๆ เปลี่ยนข้าวของเขาเป็นจานน้ำส้มสายชู

ผู้หญิงสองคนที่เห็นเหตุการณ์นี้ ก็ไม่ได้พูดอะไร รอดูว่าเด็กหนุ่มที่ตั้งใจเรียนจนไม่มีเวลาก้มหน้าคนนี้ จะทำตัวยังไง

จนกระทั่งเฉินหยวนจุ่มปลายตะเกียบลงในน้ำส้มสายชู แล้วเอาเข้าปาก ทำอยู่หลายครั้งก็ยังไม่รู้ตัว พวกเธอสองคนจึงอดกลั้นหัวเราะไม่ได้

“...” เฉินหยวนชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วเงยหน้าขึ้น

ตอนที่ทุกคนคิดว่าเขาจะโกรธ โจวฟู่เกือบจะเอ่ยปากขอโทษ แต่เฉินหยวนกลับพูดขึ้นมาก่อนว่า “นี่มันเหมือนเรื่องเล่าของหวังซีจือที่หมกมุ่นกับการฝึกเขียนอักษรจนลืมกินลืมนอน เอาหมึกมาจิ้มกับข้าวแทนน้ำจิ้มใช่ไหม?”

“เฉินหยวน นายขยันจนฉันรู้สึกคลื่นไส้เลย!”

เหอซือเจียวรู้สึกว่าช่วงสามสัปดาห์กว่า ๆ มานี้ เฉินหยวนดูตั้งใจเรียนมากเกินไป จนเธอกังวล

กลัวว่าเขาจะสอบได้คะแนนดีจริง ๆ

“กินข้าวเสร็จแล้ว พวกเราไปดูเพื่อนผู้ชายในห้องซ้อมกีฬากันไหม?” หลี่ยูยูเสนอ

“ดีเลย สนุกดี” โจวฟู่เห็นด้วย

“ตกลง”

หลังจากเหอซือเจียวเห็นชอบ พวกเธอสามคนก็ตัดสินใจแบบนั้น

ดังนั้นหลังจากกินข้าวเสร็จ พวกเขาก็พากันไปที่สนามกีฬา

“ทำไมนายถึงตามมาด้วยล่ะ?”

เหอซือเจียวมองเฉินหยวนอย่างไม่เข้าใจ

“บ้าจริง ฉันจะต้องตามพวกเธอมาทำไมเนี่ย?” เฉินหยวนเพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองกลายเป็นเพื่อนหญิงไปแล้ว จึงเตรียมจะชิ่งหนี

ทันใดนั้นโจวฟู่ก็คว้าแขนเขาไว้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงยียวนว่า “ไหน ๆ ก็มาแล้ว ไปดูความองอาจของโจวหยูกันเถอะ?”

คว้าแขนเขาเลยเหรอ...?

หลี่ยูยูอยากสังเกตว่าทำไมโจวฟู่ถึงสนิทกับเฉินหยวนได้ขนาดนั้น แต่ก็พบว่าไม่มีอะไรให้เรียนรู้เลย สิ่งที่โจวฟู่ต่างจากเธอคือ เธอคนนั้นกล้าแสดงออกมาก

ฉันควรจะลองเข้าใกล้เขาบ้างไหมนะ?

“ก็ได้ ๆ”

เฉินหยวนปิดสมุดคำศัพท์ พักสมองสักครู่

แล้วเขาก็พบว่าบนสนามบาสเก็ตบอลก็มีแถบความคืบหน้าด้วย!

โรงเรียนมีสนามบาสทั้งหมดสี่สนามเต็ม แบ่งเป็นสนามครึ่งสนามแปดสนาม นักเรียนมัธยมปลายมักจะเล่นกันในสนามครึ่งสนาม

ซึ่งหมายความว่าตอนนี้มีคนสัมผัสลูกบอลอยู่แปดคน

แต่มีเพียงคนที่กำลังชู้ตลูกเท่านั้นที่มีแถบความคืบหน้า

และแถบความคืบหน้าของเขาก็เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์

เสียง 'สวบบ' ดังกังวานใส บาสเก็ตบอลลอยเข้าห่วงอย่างสวยงาม

เดี๋ยวก่อน แบบนี้ก็มีความคืบหน้าด้วยเหรอ?

การชู้ตลูกบาสก็มีความคืบหน้าด้วย?

ที่เรียกว่าความคืบหน้า ไม่ใช่กระบวนการที่สำเร็จเมื่อไปถึงจุดสูงสุดแล้วเหรอ?

ต่อมาเขาก็เห็นคนที่สองที่มีแถบความคืบหน้าปรากฏขึ้น

หลังจากเพื่อนร่วมทีมแย่งรีบาวด์ได้ ก็ส่งบอลออกไปนอกเส้นสามคะแนนอย่างรวดเร็ว เขาแกล้งทำเป็นเลี้ยงบอลหลอก ก่อนจะสลัดตัวประกบแล้วกระโดดชู้ตสามคะแนนทันที

ในตอนนี้ แถบความคืบหน้าเหนือศีรษะของเขาก็เริ่มปรากฏขึ้น เก้าสิบสี่เปอร์เซ็นต์

ไม่ลงเหรอ?

ทิศทางก็ตรงดีนี่นา

ปัง! ลูกบาสเก็ตบอลกระแทกกับแป้นก่อนจะกระดอนออกไป จากนั้นก็ถูกคู่ต่อสู้แย่งรีบาวด์และส่งบอลต่ออย่างรวดเร็ว ก่อนจะทำแต้มด้วยการขึ้นเลย์อัพได้สองคะแนน

ตอนที่ขึ้นเลย์อัพ แถบความคืบหน้าก็เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์

ฉัน... พอจะเข้าใจแล้ว

เฉินหยวนเริ่มเข้าใจหลักการของไอ้แถบความคืบหน้านั่นแล้วล่ะ!

มันไม่ได้ตัดสินจากความน่าจะเป็น แต่มันตัดสินจากการออกแรง ทิศทาง และน้ำหนัก เพื่อดูว่าลูกบาสใกล้จะเข้าใกล้ห่วงแค่ไหนต่างหาก

เพราะในขณะที่ลอยตัวกลางอากาศและออกแรง แถบความคืบหน้าบนลูกบาสมันจะมีการเปลี่ยนแปลง

เหมือนกับตอนที่เฉินหยวนอธิบายโจทย์ให้ถังซือเหวินฟังเมื่อวันก่อนเลย นี่มันคือแนวโน้มชัด ๆ !

หรือว่านี่หมายความว่า ถ้าฉันมองเห็นแถบความคืบหน้า ในขณะที่ทิศทางถูกต้อง ฉันแค่ต้องออกแรงที่ต่างกัน แล้วปล่อยลูกตอนที่แถบความคืบหน้าถึง 100 ฉันก็จะชู้ตลงทุกครั้งเลยงั้นสิ?

"โจวหยูเหมือนกำลังทะเลาะกับใครอยู่นะ?"

ทันใดนั้น โจวฟู่ก็สังเกตเห็นว่าเด็กผู้ชายในห้องของเธอกำลังมีปากเสียงกับกลุ่มเด็กผู้ชายร่างสูงกลุ่มหนึ่ง

พวกเธอจึงรีบตรงไปที่นั่นทันที

"ถึงตาพวกเราเล่นรึยัง?"

ตอนที่แข่งกันจนได้คะแนน 4 ต่อ 3 ซึ่งควรจะเป็นทีของอีกทีมลงเล่น แต่พวกนั้นกลับไม่มีทีท่าว่าจะเปลี่ยนตัวเลย โจวหยูจึงเดินไปถามผู้ชายคนหนึ่งด้วยสีหน้าจริงจัง

ผู้ชายคนนั้นอยู่ห้อง 26 เป็นรองกัปตันทีมบาส ชื่อซูเฉิน พอเห็นเด็กตัวเล็ก ๆ มาถามแบบนี้ เขาก็หัวเราะออกมาทันที

แล้วหันไปมองเพื่อน ๆ ของเขา

เพื่อน ๆ ของเขาก็เริ่มหัวเราะตาม

"แกหัวเราะอะไรของแก?" หลิวเหยียน เด็กหนุ่มร่างสูง 185 จากห้องเดียวกันพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ "พวกฉันมาก่อนนะเว้ย แกบอกให้เพิ่มอีกทีม ตอนนี้มาตั้งสามทีมแล้ว ยังไม่ยอมลงอีก จะเอาไง?"

คำพูดของหลิวเหยียนทำให้ซูเฉินของขึ้น เขากล่าวเยาะเย้ย "ก็เล่นแพ้ 4-0 4-1 ตลอด จบเกมเร็วเอง จะโทษใครได้ล่ะ?"

คำว่า "จบเร็ว" ทำให้คนอื่น ๆ ในห้องหัวเราะกันใหญ่

"แถมยังจบแบบเบี้ยว ๆ ด้วยนะ"

"555555555 ตลกชะมัด"

"งั้นพวกแกก็ไปสิ" โจวหยูจ้องไปที่ซูเฉิน พูดอย่างไม่เกรงใจ "พวกฉันมาก่อนนะ สนามนี้ใครมาก่อนได้ก่อน ตอนนี้แกไม่อยากเล่นแล้วก็ไปดิ"

"ไม่ใช่ว่าต้องวัดกันที่ฝีมือเหรอ?" ซูเฉินโยนลูกบาสให้เขา พูดอย่างไม่ใส่ใจ "เอ้า พวกแกขึ้นมาเล่นเลย"

ถ้าพวกแกอยากให้เรื่องมันแย่ ฉันก็จะทำให้มันแย่กว่าเดิม!

เขาส่งสายตาให้เพื่อน ๆ ที่เหลือ

พวกนั้นก็เข้าใจได้ในทันที

ไม่ต้องชู้ต ให้เล่นแบบปะทะ ใช้ร่างกายเข้าบดขยี้เลย!

"แต่ฉันไม่อยากเล่นกับพวกแกแล้ว" โจวหยูพูดอย่างรังเกียจ

"ไม่กล้าเล่นมากกว่ามั้ง?" เด็กหนุ่มหัวเกรียนผิวสีแทนคนหนึ่งพูดเยาะเย้ย "แต่พวกแกก็หนีไม่พ้นหรอก รอบสองเราก็เจอแก ห้อง 18 ใช่มั้ยล่ะ?"

"555 กะจะออมมือให้ซะหน่อย"

"ใช่ งั้นก็ต้องจัดหนักแล้วล่ะ"

ซูเฉินเห็นว่าเด็กห้อง 18 ยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เขาก็หยิบลูกบาสของอีกฝ่ายขึ้นมา แล้วโยนออกนอกสนาม "ไม่อยากเล่นก็ไสหัวไป"

โจวหยูไม่ลังเลเลย เขาเตะลูกบาสของอีกฝ่ายออกไปเช่นกัน

การเตะครั้งนี้ ทำให้สถานการณ์บานปลายในทันที

ซูเฉินตรงเข้าไปกระชากเสื้อของโจวหยู จ้องเขม็งด้วยความโกรธ แต่จางเชาก็ผลักเขาออกไปก่อน จางเชากลัวว่าเรื่องจะใหญ่โตไปกว่านี้ จึงรีบดึงโจวหยูออกมา

"ไอ้..."

ซูเฉินที่โดนเพื่อน ๆ รั้งตัวไว้เช่นกัน ยังพูดไม่ทันจบประโยค ลูกบาสก็ลอยเข้าห่วงอย่างสวยงาม

และนั่นก็คือลูกที่โจวหยูเตะออกไปนั่นเอง

ทุกคนมองตามลูกบาสไป เห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ที่วงกลมกลางสนาม หลังจากชู้ตลูกบาสแล้ว เขาก็ค่อย ๆ วางมือลง...

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด