ตอนที่ 18 : ถ้ามีเรื่องอะไรให้ติดต่อเจียงฉิน
ในช่วงกลางฤดูร้อนอากาศจะร้อนจัดมาก
รู้สึกราวกับว่าพระเจ้าได้ทรงปกคลุมเมืองจี้โจวด้วยเรือกลไฟที่มองไม่เห็น แม้ว่าคุณจะไม่ได้ทำอะไรเลยคุณก็ยังเหงื่อแตกทั้งตัวเพียงแค่ยืนอยู่เฉยๆ
ในเวลานี้ เจียงฉินในลุคผิวสีแทนกำลังยืนอยู่หน้ากองบังคับการตำราจจราจร เก็บใบขับขี่ที่เพิ่งได้มาใส่กระเป๋า จากนั้นนั่งแท็กซี่ไปที่ธนาคารและถอนเงินสดออกมาจำนวน 270,000 หยวน
นี่คือสิ่งที่เขาตัดสินใจไว้แล้วตั้งแต่ก่อนหน้านี้
เขาต้องการใช้เงินจำนวนนี้มาทดลองเจาะลึกในแต่ละอุตสาหกรรมเพื่อกำหนดทิศทางการเป็นผู้ประกอบการของเขา เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการลองผิดลองถูกมากนัก
พูดตามตรง 270,000 หยวนสามารถใช้ได้เป็นเวลานาน แต่มันยังไม่เพียงพอสำหรับการทำธุรกิจ
ดังนั้นเจียงฉินจึงไม่ได้ทำเพื่อหวังผลกำไร แต่เป็นการลองทำเล่นๆ เพื่อฟังข้อมูลวงในจากผู้คนในอุตสาหกรรม และเพื่อรักษาความกระตือรือร้นในการเป็นผู้ประกอบการเอาไว้
เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม เจียงฉินไปพบกับแม่ของหวงอิ๋งซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้น และได้สั่งซื้อชุดฉีดโบท็อกซ์กับฟิลเลอร์จากต่างประเทศมาเป็นจำนวนมาก
สินค้าถูกซื้อมาในราคาเข็มละ 150 หยวน แล้วนำไปขายต่อให้กับร้านเสริมสวยในราคาเข็มละ 899 หยวน
แม้ว่าอุตสาหกรรมความงามจะยังไม่ได้รับความนิยมมากนักในปี 2008 แต่ถ้ามองย้อนกลับไปดูความเฟื่องฟูของธุรกิจเวชศาสตร์ความงามในปัจจุบัน ก็จะรู้ได้ทันทีว่านี่เป็นอุตสาหกรรมที่ทำกำไรได้มหาศาล ตราบใดที่ผู้หญิงยังคงรักสวยรักงาม อุตสาหกรรมนี้ก็จะเติบโตไม่หยุด
เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม เขาดูข่าวการเงินและทันใดนั้นก็เห็นว่าหนงฟู่สปริงกำลังจะทำการรีแบรนด์และมีการเสนอเงินรางวัลสามแสนหยวนเพื่อเปิดรับสโลแกนโฆษณาจากทั่วประเทศ เจียงฉินจึงเปิดอีเมลขึ้นมาแล้วเขียนสโลแกนว่า “เราไม่ได้ผลิตน้ำ เราเป็นเพียงผู้ขนส่งน้ำจากธรรมชาติ” พร้อมทั้งแนบเบอร์โทรศัพท์ของเขาไปด้วย
วันรุ่งขึ้น มีสายโทรศัพท์แปลกๆ โทรเข้ามา
อีกฝ่ายอ้างว่าเขาเป็นผู้จัดการแผนกประชาสัมพันธ์หนงฟู่สปริง เขาเอ่ยขอบคุณก่อนแล้วจึงขอหมายเลขบัตรธนาคารของเขา
เมื่อข้อมูลการชำระเงินถูกส่งมายังโทรศัพท์มือถือของเขา เจียงฉินก็รู้สึกเหมือนว่าเขาได้เงินมาฟรีๆ และคิดว่าการเกิดใหม่อีกครั้งนี่ช่างสุดยอดจริงๆ
เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม เจียงฉินลงทุนในร้านซุปเนื้อแกะที่หยางซู่อันเพื่อนร่วมชั้นของเขาเป็นเจ้าของ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนสามสิบเปอร์เซ็นต์ของหุ้นทั้งหมด
ตามความทรงจำของเขา พ่อของหยางซู่อันมีฝีมือดีที่สุดในจี้โจว ห้าปีหลังจากนี้ได้เปิดสาขาใหม่ขึ้นในเมืองถัดไป เป็นธุรกิจที่แน่นอนว่าจะทำกำไรโดยไม่ขาดทุน
เจียงฉินไม่ค่อยสนใจการลงทุนในร้านสักเท่าไหร่ เขาเพียงต้องการแอบเรียนรู้สูตรลับเท่านั้น สุดท้ายเขาก็พบกระป๋องนมข้นจืดคาร์เนชั่นอยู่ในตู้
เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม ครูสอนขับรถเล่าให้ฟังว่าตัวเองเป็นตัวแทนจำหน่ายยาชนิดหนึ่ง โดยมีกำไรถึงสิบเท่า ได้ยินมาว่าเจียงฉินมีเงินจึงอยากชวนเขามาร่วมลงทุน
เจียงฉินค่อนข้างสนใจ แต่เขายังคงระวังธุรกิจที่มาเยือนถึงหน้าประตูบ้านแบบนี้ เขาจึงไปแอบสืบดูเป็นการส่วนตัวและพบว่าภรรยาของครูสอนขับรถกำลังมีส่วนร่วมในแผนธุรกิจพีระมิด ดังนั้นเขาจึงได้แจ้งตำรวจไป
เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ไม่นานก่อนที่การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกจะเริ่มขึ้น เจียงฉินได้ไปจ้างคนงานมาสิบคนจากตลาดแรงงานเพื่อขายธงชาติและตุ๊กตาฝูหวาตามท้องถนน
สุดท้ายเงินที่ได้มาทั้งหมดก็เอาไปจ่ายเป็นค่าแรงให้คนงาน แถมยังต้องเอาเงินส่วนตัวเพิ่มไปอีกพันห้า แต่พอเห็นธงแดงปลิวไสวเต็มท้องถนนเจียงฉินก็รู้สึกมีความสุขมาก
เพียงชั่วพริบตาเวลาครึ่งเดือนก็ผ่านไป
เจียงฉินรู้สึกว่าเขาได้รับอะไรมากมาย
อุตสาหกรรมเวชศาสตร์ความงามนั้นทำกำไรได้มหาศาลจริงๆ แต่เงินทุนที่ต้องสำรองจ่ายกับต้นทุนนั้นสูงเกินไป อุตสาหกรรมอาหารมีความมั่นคงและทำกำไรได้รวดเร็ว แต่คุณต้องไร้ศีลธรรม ไม่เช่นนั้นโอกาสที่จะขาดทุนก็มีสูงมาก
นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงต้นทุนค่าแรงด้วย
ในตอนเริ่มต้นธุรกิจคุณต้องคิดหาวิธีให้ลูกค้าเป็นคนจ่ายค่าแรงแทนที่คุณจะเป็นคนแบกรับความเสี่ยงนี้เอง
ตัวอย่างเช่น เมื่อขายธงชาติ ต้นทุนที่ใช้ซื้อมาคือห้าสิบเฟินและขายที่ราคาสามหยวน สุดท้ายพอถึงเวลาจ่ายเงินค่าแรงกลับต้องควักส่วนต่างเพิ่มเข้าไปอีก
จุดที่สำคัญที่สุดคือคุณต้องไม่เชื่อในโอกาสทางธุรกิจที่มาเยือนถึงหน้าประตูบ้าน ไม่เช่นนั้นคุณอาจเข้าไปพัวพันกับความยากลำบากที่ไม่อาจจินตนาการได้
เจียงฉินเริ่มรู้ตัวว่าเขาชอบทำธุรกิจมาก และแม้ว่าจะขาดทุนเขาก็ยังรู้สึกว่ามันค่อนข้างสนุก
ทำไมชีวิตที่แล้วฉันถึงไม่เคยคิดเรื่องทำธุรกิจเลยฟะ?
ในเวลาเดียวกันนั้น ในกลุ่มแชทของห้องเรียนมัธยมปลายปีสามห้องสอง นักเรียนที่เพิ่งได้รับจดหมายตอบรับเข้าเรียนต่างก็รู้สึกกระสับกระส่ายเช่นกัน
ความกระสับกระส่ายของพวกเขาแตกต่างจากของเจียงฉิน เจียงฉินกระสับกระส่ายเพราะความคาดหวังในธุรกิจ ในขณะที่ของพวกเขานั้นเกิดจากความรู้สึกว่างเปล่าล้วนๆ
“ทุกคน จดหมายตอบรับเข้าเรียนมาแล้ว ออกไปเที่ยวด้วยกันหน่อยไหม?”
“ฉันว่าดีเหมือนกัน วันหยุดฤดูร้อนมันนานเกินไปแถมอยู่บ้านเฉยๆ ก็น่าเบื่อมาก อยากหาคนไปเที่ยวเป็นเพื่อนนานแล้ว”
“มีที่ไหนน่าสนุกบ้าง? พวกเราไปกันเป็นกลุ่มดีกว่า!”
“ฉันได้ยินมาว่าตรงข้ามสถานีดับเพลิงมีบาร์แห่งหนึ่ง ที่นั่นมีกลุ่มคนมารวมตัวกันเพื่อดื่มเหล้าพร้อมๆ กับดูโอลิมปิกไปด้วย ลองไปสัมผัสบรรยากาศดูสักครั้งไหม?”
เมื่อเนื้อหาการสนทนาเพิ่มขึ้น คนที่เข้ามามีส่วนร่วมในการแชทกลุ่มก็มากขึ้นเรื่อยๆ
บอกตามตรงว่าการหยุดพักอยู่บ้านเฉยๆ เป็นเวลาสามเดือนหลังจากสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสร็จนั้นเป็นเรื่องน่าเบื่อมาก มันจึงทำให้ผู้คนจำนวนมากอยากออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก
ก่อนหน้านี้เพราะต้องเรียนอย่างหนักก็เลยไม่กล้าไปไหน ถูกการสอบเข้ามหาวิทยาลัยกดดันจนแทบหายใจไม่ออก ตอนนี้มีเวลาแล้ว ทำเรื่องสนุกสนานในชีวิตวัยรุ่นสักครั้งจะเป็นไรไป
ฉู่ซือฉี: “ฉันก็เบื่อนิดหน่อยเหมือนกัน ถ้าจะไปเที่ยวก็นับฉันด้วยคน”
ฉินจื่ออัง: “ซือฉีไปด้วยเหรอ? งั้นฉันก็ไปเหมือนกัน”
หยูชาชา: “ฉันไปด้วยๆ ฉันยังไม่เคยไปบาร์เลย แล้วพวกเราจะไปเมื่อไหร่ดี?”
“เลิกคิดเถอะ วันก่อนเราไปมาแล้วแต่เข้าไม่ได้ พวกเราต้องจองโต๊ะล่วงหน้า”
“ใช่ ตอนนี้บาร์นั่นดังมาก คนแน่นทุกวันเลย แถมได้ยินมาว่าถึงจะมีเงินแต่ก็ไม่มีโต๊ะ พวกเราแค่นักเรียนยากจนกลุ่มหนึ่งจะไปแย่งโต๊ะกับผู้ใหญ่พวกนั้นได้ยังไง”
กัวจื่อหัง: “พวกนายกำลังพูดถึงไนท์ไลท์บาร์เหรอ?”
ฉินจื่ออัง: “นายก็…รู้จักมันด้วย?”
กัวจื่อหัง: “อันที่จริงพวกนายไปจองโต๊ะกับพี่เจียงได้”
“...”
“????”
คำพูดที่โผล่ขึ้นมาอย่างกะทันหันของกัวจื่อหังทำให้คนทั้งกลุ่มสับสน
หมายความว่าไงไปจองโต๊ะกับเจียงฉิน? คนอื่นๆ จองไม่ได้ แต่เจียงฉินจองได้? เขามีประตูหลังหรือไง?
ฉินจื่ออัง: “ฮ่าฮ่า เจียงฉิน? เขาเลิกขายข้าวกล่องไปเป็นบาร์เทนเดอร์ในบาร์แล้วเหรอ?”
หยูชาชา: “ชายคนนี้บ้าเงินขนาดนั้นเลยเหรอ? ที่บ้านเขายากจนมากเลยหรือไง ทำไมเขาถึงทำทุกอย่างเลย?”
กัวจื่อหัง: “เขาไม่ได้เป็นบาร์เทนเดอร์หรอก เขาเอาเงินไปเช่าพื้นที่ครึ่งหนึ่งของบาร์ กิจกรรมรวมตัวกันดูโอลิมปิกก็เป็นเขานี่แหละที่เป็นคนเริ่ม แต่ต่อมาได้รับความนิยมสูงมากเจ้าของบาร์ก็เลยให้เขาเข้ามาบริหารเองทั้งหมด”
ฉู่ซือฉี: “เช่าบาร์ครึ่งหนึ่งใช้เงินเท่าไหร่?”
กัวจื่อหัง: “รวมค่าเช่าสถานที่และค่าเครื่องดื่มแล้ว น่าจะใช้เงินไปประมาณสามแสนหยวน”
“...”
หยูชาชา: “นายล้อฉันเล่นอยู่ใช่ไหม เขาจะไปมีเงินสามแสนได้ยังไง? ฉันรู้ว่าพวกนายเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่การคุยโม้ก็ต้องมีขอบเขตบ้าง”
กัวจื่อหัง: “คุยโม้อะไร? เมื่อวานฉันก็ไปดูพิธีเปิดที่ไนท์ไลท์บาร์ แล้วก็ไม่ได้เสียเงินสักหยวนเลยด้วย”
หวงอิ๋ง: “กัวจื่อหังไม่ได้คุยโม้จริงๆ ไม่กี่วันก่อนเจียงฉินกับแม่ของฉันหุ้นกันซื้อชุดฉีดเสริมความงามมูลค่าห้าแสนหยวน เขาออกเงินหนึ่งแสนหยวนเลย”
หยางซู่อัน: “ร้านซุปเนื้อแกะของบ้านฉันมีร้านสาขาแล้วนะ ถ้าไปบาร์ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร พวกนายแวะมาดื่มซุปเนื้อแกะที่ร้านของฉันได้!”
ฉู่ซือฉี: “กำลังคุยเรื่องสำคัญกันอยู่ นายมาโฆษณาได้ไงเนี่ย?”
หยางซู่อัน: “ร้านซุปเนื้อแกะสาขาที่สองของบ้านฉันก็ได้รับการลงทุนจากเจียงฉินเหมือนกัน ฉันไม่รู้ว่าจำนวนเงินเท่าไหร่ แต่ต้องมากกว่าแสนหยวนแน่นอน ตอนนี้ฉันยังต้องเรียกเขาว่าลุงเลย”
กัวจื่อหัง: “ทำไมนายถึงต้องเรียกเขาว่าลุง?”
หยางซู่อัน: “ก็ในวันที่เซ็นสัญญาน่ะสิ เจียงฉินกับพ่อของฉันดื่มกันหนักมาก ทั้งคู่เมาจนไม่รู้เรื่องรู้ราวและต้องการสาบานเป็นพี่น้องกัน ใครห้ามก็ไม่ฟังเลย”
(จบตอน)