ตอนที่ 17 : เสี่ยวฟู่โผในชุดว่ายน้ำ
ในช่วงบ่ายวันที่มีแดดจ้าและอากาศอบอุ่นของต้นเดือนกรกฎาคม แผนกเวนคืนที่ดินของกรมโยธาธิการและผังเมืองได้โทรหาเจียงฉินเพื่อแจ้งว่าเห็นด้วยกับเงื่อนไขการชดเชยที่เขาเสนอ และเชิญให้เขาเข้ามาเซ็นสัญญาโดยเร็ว เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับเจ้าของบ้านรายอื่น
ถ้าถามว่าทำไม?
เพราะคนโลภมีมากเกินไป จนถึงขั้นรวมกลุ่มกันเรียกร้องราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ
ทีมรื้อถอนพยายามอย่างหนักเป็นเวลาสามวัน แต่พวกเขาไม่สามารถเจรจากับใครได้เลย เพราะทุกคนรู้สึกว่ายิ่งยืดเยื้อเท่าไหร่ก็ยิ่งได้มากขึ้นเท่านั้น และใครก็ตามที่เซ็นสัญญาก่อนจะต้องขาดทุนมหาศาลอย่างแน่นอน
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ราคาที่เจียงฉินเสนอมานั้นดูจริงใจกว่ามาก
แผนกเวนคืนที่ดินได้จัดการประชุมและลงความเห็นร่วมกัน เนื่องจากเจ้าของบ้านรวมตัวกันเพื่อเรียกร้องราคาที่สูงขึ้น จึงเป็นการดีกว่าที่จะหาทางทำลายพวกเขาจากภายใน พูดง่ายๆ ก็คือ เมื่อมีคนยอมเซ็นสัญญาคนอื่นๆ ก็จะตามมาเอง
ดังนั้นเจียงฉินจึงกลายเป็นหัวหอกที่ดีในการกระตุ้นให้ทุกคนตัดสินใจเซ็นสัญญาโดยเร็วที่สุด
หลังจากเซ็นสัญญาเสร็จเรียบร้อย เจียงฉินได้รับเงินค่าชดเชยทั้งหมด 4.79 ล้านหยวน พร้อมทั้งบ้านใหม่อีกสี่ยูนิต โดยแบ่งเป็นสองยูนิตที่อ่าวอวี้สุ่ยในเขตเมืองใหม่ และอีกสองยูนิตในจิงหยวนตรงข้ามทะเลสาบฟูจื่อ
จากมุมมองของปี 2008 ชุมชนทั้งสองแห่งนี้ถือว่าทำเลไม่ดีนัก เนื่องจากเพิ่งสร้างเขตเมืองใหม่และสิ่งอำนวยความสะดวกใกล้เคียงยังไม่ครบครัน พูดง่ายๆ ก็คือบริเวณนั้นยังดูร้างๆ
แต่ในปี 2010 ได้มีการสร้างสถานีรถไฟความเร็วสูงตรงข้ามอ่าวอวี้สุ่ย และโรงเรียนมัธยมหมายเลขหนึ่งก็ย้ายไปอยู่ที่ทางใต้ของทะเลสาบฟูจื่อ ส่วนเทศบาลเมืองก็ย้ายไปอยู่ทางเหนือเช่นกัน ทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ดีดขึ้นทุกวันเลยทีเดียว
แต่ทว่าเจียงฉินไม่กล้าบอกพ่อกับแม่ของเขาเกี่ยวกับการซื้อบ้านและการรื้อถอน เพราะมันยากสำหรับเขาที่จะอธิบาย
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้พ่อแม่ของเขาไม่ได้ลำบากอะไร ไม่ต้องกังวลเรื่องการกินการดื่ม โรคภัยไข้เจ็บอะไรก็ไม่มี เรื่องนี้ไว้ค่อยว่ากันทีหลังก็ได้ งั้นเอาเป็นว่าตอนนี้เก็บเป็นความลับไว้ก่อนแล้วกัน
เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม เพื่อเป็นการดึงดูดให้เจ้าของบ้านรีบเซ็นสัญญา สำนักงานรื้อถอนจึงโอนเงินค่าชดเชยไปให้เจียงฉินภายในสามวันทำการ
เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม เจียงฉินกรอกแบบฟอร์มใบสมัครและสมัครเข้าเรียนสาขาวิชาการเงินที่มหาวิทยาลัยหลินชวนเสร็จเรียบร้อย
เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม เจียงฉินไปที่ธนาคารและโอนเงิน 2.73 ล้านไปให้เฟิงหนานซูเพื่อคืนเงินที่เขายืมมา และเพื่อแสดงความขอบคุณ เจียงฉินจึงพาเธอไปที่บ่อน้ำพุร้อนในเขตชานเมืองทางตะวันออกเป็นเวลาหนึ่งวัน
บ่อน้ำพุร้อนส่วนตัวแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นบนยอดเขา ตรงหน้าคือภูเขาที่สูงตระหง่าน เมื่อมองผ่านไอน้ำและหมอกควันออกไปจะได้เห็นทิวทัศน์ที่สวยงามเกินบรรยาย
เฟิงหนานซูที่สวมชุดว่ายน้ำแช่ตัวอยู่ในบ่อน้ำพุร้อน ใบหน้าที่สวยงามของเธอแดงระเรื่อเพราะไอน้ำที่อยู่รอบๆ มือข้างหนึ่งถือขวดโค้ก ส่วนอีกข้างถือขนมกุ้ยฮวา สายตากวาดมองไปยังภูเขาตรงหน้าด้วยท่าทางมีความสุขสุดๆ
ชุดว่ายน้ำที่เธอใส่ถูกซื้อให้โดยเจียงฉิน มันไม่ใช่บิกินี่เซ็กซี่ แต่เป็นชุดทูพีซสีขาวที่มีสายเอี๊ยมด้านบนและกระโปรงด้านล่าง
ตอนที่เจียงฉินซื้อมัน เขาคิดว่าชุดว่ายน้ำตัวนี้ค่อนข้างมิดชิดที่สุดแล้ว แต่สุดท้ายเขาก็ยังประเมินเสน่ห์ของรูปร่างเฟิงหนานซูต่ำไป
ขาเรียวยาวคู่นั้นมีสีขาวราวกับน้ำค้างแข็งและหิมะ เอวของเธอเล็กบางเหมือนกับสามารถจับได้เต็มไม้เต็มมือ ท้องส่วนล่างขาวเนียนละเอียดอ่อน และยังมีกล้ามหน้าท้องเป็นมัดชัดเจน
เด็กสาวใสซื่อคนนี้ไม่ค่อยระมัดระวังตัวมากนักเวลาที่อยู่กับเจียงฉิน เธอผ่อนคลายร่างกายที่สมบูรณ์แบบของเธอด้วยท่าทางที่สบายที่สุด แต่เธอไม่รู้เลยว่าความบริสุทธิ์และความเซ็กซี่ที่ผสมผสานกันนั้นมันน่าเย้ายวนใจเพียงใด และยิ่งไม่รู้เลยว่าชายที่อยู่ตรงหน้าเธอนั้นกำลังจ้องมองเธออย่างไม่ละสายตา
“เมื่อกี้มีนกตัวใหญ่บินผ่านไปด้วยล่ะ”
“ใช่ ทั้งใหญ่ทั้งขาวเลย”
เฟิงหนานซูค่อยๆ หันหน้ากลับมา ในแววตามีร่องรอยของความสับสน: “แต่นกที่เพิ่งบินผ่านไปมันตัวสีดำนะ”
เจียงฉินใช้ผ้าขนหนูเช็ดเหงื่อออกจากใบหน้า: “เธอรู้อะไรไหม เธอไม่สามารถมองสิ่งต่างๆ จากรูปลักษณ์ภายนอกได้ บางครั้งเธอก็ต้องมองผ่านรูปลักษณ์ภายนอกเข้าไปถึงจะเห็นสีขาวภายใน”
“?”
เฟิงหนานซูก้มศีรษะลงและมองไปที่หน้าอกของตัวเอง: “นายมองหน้าอกฉันอยู่เหรอ?”
เจียงฉินไม่ตื่นตระหนกเลยหลังจากถูกจับได้: “เธอเข้าใจผิดแล้ว ฉันเป็นสุภาพบุรุษนะ!”
“ถ้างั้นนายช่วยหยุดถูเท้าฉันได้ไหม? ตรงที่นายถูมันรู้สึกเจ็บนิดหน่อย”
“นั่นเป็นเพราะพื้นที่ในบ่อน้ำร้อนมันเล็กเกินไป ฉันกลัวว่าถ้าเธอขยับตัวแรงๆ เธอจะเผลอเตะโดนฉัน”
เจียงฉินเต็มไปด้วยเหตุผลของสุภาพบุรุษ แต่เขากลับปล่อยเท้าสีชมพูขาวของเฟิงหนานซูด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ แสร้งทำเป็นมองไปยังภูเขาที่อยู่ห่างไกลและทิวทัศน์สวยงามราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ซ่าาา—”
เฟิงหนานซูลุกขึ้นยืนจากบ่อน้ำร้อน ยกก้นขึ้นนั่งบนขอบบ่อและเอื้อมมือไปหยิบถุงข้าวเกรียบเกลือพริกไทยที่อยู่ด้านหน้า แต่ทว่ากลับเอื้อมไม่ถึง
เจียงฉินนั่งอยู่ใกล้เธอมาก ไม่ว่าจะเป็นเพราะคิดไปเองหรือไม่ก็ตาม แต่เขาสัมผัสได้ถึงไอความร้อนที่แผ่ออกมาจากผิวหนังของเฟิงหนานซู ใครล่ะจะทนต่อสิ่งเร้านี้ได้
“ฉันแช่น้ำร้อนพอแล้ว ไปอาบน้ำก่อนนะ”
เจียงฉินปีนออกจากบ่อน้ำร้อน จากนั้นจึงเข้าไปในห้องอาบน้ำ
น้ำเย็นๆ ไหลลงมาตามแผ่นหลังของเขา ทำให้เขารู้สึกว่าวิญญาณวัยสามสิบแปดปีกำลังสั่นสะท้าน แต่เขากลับอดไม่ได้ที่จะดูถูกตัวเอง ตาลุงวัยสามสิบแปดปรารถนาร่างกายของเด็กสาววัยสิบแปดปี แบบนี้ก็ได้เหรอฟะ?
ผู้ชายทุกคนล้วนเป็นพวกสารเลวและมักจะชอบผู้หญิงที่อายุน้อยกว่าเสมอ
ขณะฟังเสียงน้ำไหลในห้องอาบน้ำ เฟิงหนานซูก็มองลงไปที่หน้าอกของตัวเอง เธอย่นจมูกเล็กน้อย จากนั้นก็ฉีกถุงขนมแล้วหยิบแผ่นข้าวเกรียบชิ้นหนึ่งเข้าปาก ส่งเสียงเคี้ยวดังกรุบกรับ
ฮึ่ม คนๆ นี้ชอบมองหน้าอกจริงๆ ด้วย แล้วก็ยังชอบเล่นเท้าอีกต่างหาก
หลังจากอาบน้ำเสร็จ ทั้งสองก็ออกจากโรงแรมบ่อน้ำพุร้อนและขึ้นรถบัสท่องเที่ยวไปยังถนนคนเดินโดยตั้งใจว่าจะหาอะไรกิน
ผลก็คือเมื่อเขาถามราคา ปรากฏว่าไก่อย่างหนึ่งตัวขาย 58 หยวน เจียงฉินถึงกับสงสัยว่าตัวเองฟังผิดหรือเปล่า
นี่คือปี 2008 แต่ไก่ย่างราคาตั้ง 58 หยวน ถ้ารู้แบบนี้เขาคงจะเหมาไก่ครึ่งราคาจากสวนสัตว์มาย่างขายที่นี่ตั้งนานแล้ว พูดถึงเรื่องเอากำไร สถานที่อย่างจุดท่องเที่ยวยังคงโหดเหี้ยมไม่เปลี่ยนเลย
แต่…
เฟิงหนานซูที่มองดูไก่ย่างในเตาอบแทบจะน้ำลายสอแล้ว
เจียงฉินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีความสุข นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาเห็นคนอยากกินไก่ย่างขนาดนี้ ดังนั้นเขาจึงต้องหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาและซื้อไก่ย่างในราคาห้าสิบแปดหยวน
เขาได้รับเงินมากกว่า 1.7 ล้านหยวนเพราะเฟิงหนานซู แม้ว่าเสี่ยวฟู่โผของเขาอยากจะกินดวงจันทร์เขาก็คงต้องไปเด็ดมันลงมาให้เธอ นี่เรียกว่าตอบแทนบุญคุณ
แต่เฟิงหนานซูเป็นคุณหนูของตระกูลร่ำรวยจริงๆ หรือเปล่า? ทำไมเธอถึงอยากกินทุกอย่างที่มองเห็นเลย อยากกินมากถึงขนาดที่ขยับตัวไปไหนไม่ได้
“เธอไม่เคยกินไก่ย่างเหรอ?”
เฟิงหนานซูเช็ดน้ำลาย แต่ดวงตาของเธอยังคงเย็นชา: “แม่บอกว่ากุลสตรีที่แท้จริงจะต้องไม่ได้รับอิทธิพลจากความอยากอาหาร เพราะถ้าเป็นแบบนั้นก็จะมีจุดอ่อน”
เจียงฉินถอนหายใจพลางคิดกับตัวเอง เธอแทบจะถูกความต้องการครอบงำจนตายแล้วนะรู้ไหม นี่มันธรรมเนียมแบบไหนกัน: “กินไปเถอะ กินเยอะๆ เลย อย่าให้เสียของก็พอ”
“เจียงฉิน ขอบคุณที่ซื้อไก่ย่างให้ฉันนะ นายคือเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน”
“คุณหนู เธอมีแค่ฉันคนเดียวที่เป็นเพื่อน ฉันก็ต้องเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเธออยู่แล้วสิ”
หลังจากคิดอยู่นาน เฟิงหนานซูก็รู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นฟังดูสมเหตุสมผล เธอจึงเปลี่ยนคำพูด: “ถ้าอย่างนั้น ฉันคิดว่านายเป็นคนดี”
แต่หลังจากได้ยินสิ่งนี้เจียงฉินกลับรู้สึกเคืองเล็กน้อย: “ถ้าเธออยากชมฉันจริงๆ ก็พูดตรงๆ มาเลยว่าฉันหล่อ ไม่ต้องมาอ้อมค้อมด้วยคำว่าคนดีไร้สาระพวกนั้น”
“โอ้”
“ยังไงก็ตาม อีกไม่กี่วันข้างหน้าฉันอาจจะติดธุระนิดหน่อย ฉันกำลังจะไปเรียนขับรถและลองทำธุรกิจเล็กๆ ไปพร้อมๆ กัน คาดว่าคงไม่มีเวลาไปหาเธอ เธอมีที่ไหนอยากไปไหม?”
“ฉันนั่งอ่านหนังสือในห้องสมุดได้” เฟิงหนานซูตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“เธอไม่รู้สึกเหงาเหรอ?”
“ไม่เหงา เมื่อก่อนฉันก็อยู่คนเดียวแบบนี้”
เฟิงหนานซูเงยหน้าขึ้นแล้วมองดูเขา แพขนตาเธอสั่นไหวเล็กน้อย ราวกับเธอไม่รู้ว่าความเหงาคืออะไร
ไม่ว่าจะเป็นก่อนหน้าหรือจะเป็นหลังจากนี้ ชีวิตของเธอก็คงไม่เปลี่ยนแปลงมากนักเพียงเพราะการมีอยู่หรือไม่มีของคนคนหนึ่ง
(จบตอน)