บทที่ 48 มู่หลิน: ข้าคือคนดี?
###
“ท่านมู่หลิน ไม่ทราบว่าความจริงใจนี้เพียงพอหรือยัง?”
มู่หลินมองหินวิญญาณตรงหน้าแล้วเงียบไป เขาเข้าใจถึงความใจกว้างของเหยียนอวิ๋นหยูมากขึ้นเรื่อยๆ
‘แค่เพียงเร่งเวลาไม่กี่วันก็ให้ข้าถึงหนึ่งร้อยหินวิญญาณ (หินวิญญาณระดับกลางหนึ่งก้อนเทียบเท่ากับหนึ่งร้อยหินวิญญาณระดับล่าง) นางคงไม่เห็นเงินเป็นเงินจริงๆ’
แม้จะรู้สึกประทับใจ แต่มู่หลินก็ไม่ได้รับหินวิญญาณเหล่านั้น
“การทดสอบในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ไม่เพียงแต่เป็นการพนันกับชิวซิ่วและคนอื่นๆ แต่มันยังเป็นคำตอบที่ข้าจะมอบให้อาจารย์ตง แม้ว่าข้าจะมีรากวิญญาณระดับสาม หากผลสอบออกมาแย่ นางก็คงไม่ตำหนิอะไร”
“แต่ในฐานะอาจารย์ที่รับผิดชอบ อย่างไม่ต้องสงสัย นางย่อมชื่นชอบนักเรียนที่ทำผลงานได้ดี หากข้าทำได้ดี ความสัมพันธ์ระหว่างเราก็จะใกล้ชิดยิ่งขึ้น”
“ถ้าข้าแสดงผลงานที่ยอดเยี่ยมจนสามารถสร้างความประทับใจให้นางได้จริงๆ นางก็จะเป็นเบื้องหลังที่มั่นคงให้ข้า”
ด้วยความคิดนี้ มู่หลินจึงส่ายหน้าและเตรียมปฏิเสธคำขอของเหยียนอวิ๋นหยู
“ขอโทษ ข้ามีภารกิจในช่วงนี้จริงๆ…”
“ปัง!”
เหยียนอวิ๋นหยูไม่สนใจฟังคำแก้ตัวของมู่หลิน เมื่อเห็นว่ามู่หลินมีท่าทีจะปฏิเสธ เธอก็วางหินวิญญาณระดับกลางอีกสองก้อนตรงหน้าของเขา
“พอไหม?”
คำตอบของมู่หลินเปลี่ยนไปทันที
“พอแล้ว ข้าจะทำงานให้ท่านอย่างสุดความสามารถเพื่อสร้างผลงานให้กับน้องสาวของท่าน”
อย่าตำหนิที่มู่หลินเปลี่ยนท่าทีเร็วขนาดนี้ เพราะคุณประโยชน์ของหินวิญญาณนั้นมีมากเกินต้าน
แค่พูดถึงประสิทธิภาพในการฝึกฝน หากมู่หลินฝึกฝนตามปกติ เขาต้องทุ่มเทความพยายามตลอดวันถึงจะสะสมพลังเวทได้เล็กน้อย
แต่ถ้าใช้ทรัพยากรอย่างเช่นเลือดบริสุทธิ์ของงูดำเหยียนลี่ แค่หนึ่งหยดก็เทียบเท่ากับการฝึกฝนสิบวันหรืออาจจะครึ่งเดือนสำหรับมู่หลิน
ด้วยความสำคัญของหินวิญญาณที่มากมายเช่นนี้ ทำให้ตราบใดที่เหยียนอวิ๋นหยูให้มากพอ มันก็ไม่ทำให้การฝึกของมู่หลินเสียไป
หลังจากรับค่าตอบแทนแล้ว มู่หลินซึ่งมีทัศนคติการบริการที่ดี ก็หันไปหาฉู่หลิงหลัวทันที
“เจ้าต้องการให้ข้าสร้างอะไรให้หรือ? ตำหนัก สวนภูมิทัศน์ หรือเรือ?”
“…”
ท่าทีที่เปลี่ยนไปของมู่หลินทำให้ฉู่หลิงหลัวชะงักไปสักพัก ก่อนที่เธอจะตอบเบาๆ ว่า “ข้าอยากได้ต้นไม้ใหญ่ ต้นไม้ที่มีสัตว์เล็กๆ อยู่ทั้งบนต้นและใต้ต้น…”
“ต้นไม้ สัตว์…บรรยากาศแบบเทพนิยายสินะ ข้าเข้าใจแล้ว”
เมื่อรู้หัวข้อที่ต้องทำแล้ว มู่หลินผู้ตั้งใจทำงานก็หยิบกระดาษออกมาและเริ่มลงมือทำทันที
“แกรก แกรก…”
ด้วยมือที่ชำนาญและฝีมือระดับปรมาจารย์ มู่หลินพับกระดาษเพียงไม่กี่ทีก็สร้างสัตว์น่ารักออกมาได้อย่างสวยงาม
ฉู่หลิงหลัวมองการทำงานของมู่หลินด้วยสายตาเปล่งประกาย แต่ขณะที่เขากำลังทำงาน เหยียนอวิ๋นหยูก็พาฉู่หลิงหลัวออกไปข้างนอกและกระซิบพูดบางอย่างกับเธอ
มู่หลินไม่รู้ว่าพวกเธอพูดอะไรกัน
แต่เมื่อเหยียนอวิ๋นหยูจากไปและฉู่หลิงหลัวกลับมาหาเขา สายตาที่เธอมองมู่หลินนั้นกลับดูเหมือนเต็มไปด้วยความเวทนา?
สายตานั้นทำให้มู่หลินที่กำลังตั้งใจทำงานรู้สึกงง
“??? อะไรนะ? ทำไมถึงเป็นสายตาแบบเวทนา?”
มู่หลินไม่เข้าใจสายตานั้นของเธอ
และไม่นาน เขาก็รู้ว่าเหยียนอวิ๋นหยูพูดอะไรกับฉู่หลิงหลัว
...
หลังจากคุณหนูใหญ่ผู้เย่อหยิ่งจากไป ก็มีคนเข้ามาหาฉู่หลิงหลัวและเชิญเธอให้เข้าร่วมกลุ่ม
พร้อมทั้งยังมีคนพูดโน้มน้าวฉู่หลิงหลัวไม่ให้เกี่ยวข้องกับมู่หลิน “เจ้าคนเจ้าเล่ห์จิตใจชั่วร้าย”
ความอคติของผู้คนที่มีต่อสำนักประตูวิญญาณทั้งแปด และการที่มู่หลินมีรากวิญญาณระดับสามซึ่งถือว่าแปลกแยกในชั้นเรียนปกติ ทำให้บางคนใช้คำพูดโจมตีเขา พวกเขากล่าวเรื่องน่ารังเกียจเพื่อช่วงชิงอำนาจในการเลือกทีมของมู่หลิน ซึ่งเขาไม่ได้แปลกใจนัก
มู่หลินที่ตั้งใจทำงานในสวนเทพนิยายของเขา ไม่สนใจคำพูดเหล่านั้นแม้แต่น้อย
เขาเพียงแค่อยากสร้างสวนแห่งโลกต้นไม้ให้เสร็จ เมื่อทำงานเสร็จเขาจะสามารถไปซื้อทรัพยากรเพื่อฝึกฝนต่อได้
แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น แม้เขาจะไม่ใส่ใจกับคำพูดใส่ร้ายเหล่านั้น แต่ฉู่หลิงหลัวที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับออกโรงปกป้องเขา
“หยุดปาก ไม่อนุญาตให้เจ้าดูถูกปรมาจารย์มู่ เขาไม่ได้เป็นคนเลวอย่างที่เจ้าพูด ปรมาจารย์เป็นคนดีและเป็นอัจฉริยะด้วย!”
“…”
“…”
“…”
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นชะงักไป และดูงงงวยกันทั่วหน้า
แม้แต่มู่หลินเองก็ยังตั้งตัวไม่ติด
‘คนดี? ข้าไม่เคยรู้ว่าตัวเองเป็นคนดีเลยนะ?’
ช่วงเวลาตกตะลึงของผู้คนไม่ได้อยู่นาน พวกนักเรียนที่จ้องมองฉู่หลิงหลัวคิดว่ามู่หลินต้องพูดอะไรบางอย่างให้เธอเชื่ออย่างนั้น พวกเขาเอ่ยทันทีว่า “คุณหนูหลิงหลัว ท่านอย่าให้มู่หลินหลอก ท่านรู้หรือไม่ว่าเขามาจากสำนักประตูวิญญาณทั้งแปด…”
“ข้ารู้”
“...พวกฝึกของสำนักประตูวิญญาณทั้งแปดอยู่ร่วมกับศพทุกวัน เป็นพวกชั่วร้าย…”
“ท่านมู่หลินไม่ใช่คนเช่นนั้น เขาสามารถสร้างสรรค์สิ่งงดงามอย่างสวนต้าไท่และโลกใต้ทะเลได้เช่นนี้ ปรมาจารย์ย่อมไม่ใช่คนเลว”
ชิวซิ่วกล่าวขึ้นว่า “เจ้าหมอนั่นมีฝีมือในการเสแสร้งอย่างมาก นั่นเป็นแค่การหลอกเจ้า อีกอย่างมู่หลินมีแค่รากวิญญาณระดับสาม เจ้าจะไปอยู่กับเขามันทำให้เจ้าตกต่ำ…”
“ฮึ!”
คำพูดนี้ทำให้ฉู่หลิงหลัวแค่นเสียงด้วยความขุ่นเคือง ใบหน้าที่เคยอบอุ่นของเธอกลับจริงจังขึ้นมาครั้งแรก
“ข้าไม่ใช่คนรับใช้ของพวกเจ้า การที่ข้าจะอยู่กับใครนั้นเป็นสิทธิ์ของข้า ไม่จำเป็นต้องให้พวกเจ้ามาชี้นำ”
ท้ายที่สุด ฉู่หลิงหลัวก็คือหญิงสาวจากตระกูลชนชั้นสูง คำพูดจริงจังของเธอทำให้ชิวซิ่วและพวกอื่นๆ รู้สึกกดดันจนไม่กล้าพูดอะไรอีก
และการระเบิดอารมณ์ของฉู่หลิงหลัวก็ยังไม่จบเพียงเท่านี้
“นอกจากนี้ ข้ารู้ว่าพวกเจ้าต่างอิจฉาพรสวรรค์ของท่านมู่หลิน แต่ตราบใดที่ข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไม่ยอมให้พวกเจ้ากล่าวร้ายเขาอีกต่อไป!”
“อิจฉางั้นหรือ? ข้านี่นะจะอิจฉาเขา!”
คำพูดของฉู่หลิงหลัวทำให้หลายคนเกิดอารมณ์เดือดพล่าน
“ข้ามีรากวิญญาณระดับสอง จะไปอิจฉาหมอนั่นที่มีแค่รากวิญญาณระดับสามได้อย่างไร…”
ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกฉู่หลิงหลัวขัดขึ้นอีกครั้ง
“รากวิญญาณไม่ใช่ทุกสิ่ง อีกอย่าง ท่านมู่หลินมีรากวิญญาณระดับสามแต่กลับสามารถไล่ตามพวกเจ้าได้ นี่ไม่ใช่พรสวรรค์แล้วจะเป็นอะไร?”
“ที่พวกเจ้ากล่าวร้ายท่านมู่หลินเช่นนี้ ก็เพราะกลัวว่าเขาจะเหนือกว่าพวกเจ้ามิใช่หรือ?”
“ในฐานะเพื่อนร่วมสำนัก แทนที่จะกระตุ้นกันให้ก้าวหน้า พวกเจ้ากลับเลือกใช้วิธีสกปรกเพื่อทำลายคู่แข่ง พวกเจ้าประพฤติเช่นนี้ข้ารังเกียจที่สุด!”
“จงออกไปเสีย ข้าไม่คิดจะเป็นเพื่อนกับพวกเจ้าอีกแล้ว”
“…”
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนเงียบไป
และก่อนที่พวกเขาจะได้โต้แย้ง เหยียนอวิ๋นหยูก็กลับมาที่กลุ่มอีกครั้ง
ความเกรงขามของเธอทำให้ผู้คนไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดและต้องถอยออกไปอย่างไม่เต็มใจ
หลังจากกลับมาตั้งสติได้ มู่หลินก็ตระหนักว่า ฉู่หลิงหลัวได้กล่าวคำดุด่าไปเกือบครึ่งห้องเรียนเพื่อปกป้องเขา
มู่หลินคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าฉู่หลิงหลัวผู้อ่อนโยนจะมีด้านนี้ด้วย
แต่ในตอนนี้ มู่หลินอยากรู้มากกว่าเดิมว่าฉู่หลิงหลัวได้ยินมาจากไหนว่าเขาเป็นคนดีและถูกอิจฉา?
เมื่อหันมามองฉู่หลิงหลัว มู่หลินก็เห็นว่าเธอหลบสายตาพร้อมกับใบหน้าแดงเรื่อ
แม้จะรู้สึกเขินอาย แต่เธอกำหมัดเล็กๆ ของเธอแน่น ก่อนจะหันไปพูดกับมู่หลินว่า
“ท่านมู่หลิน ไม่ต้องห่วง ข้าจะปกป้องท่านเอง!”
“ข้า...เอาเถอะ เจ้าดีใจข้าก็พอใจแล้ว”