ตอนที่แล้วบทที่ 349-350
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 353-354

บทที่ 351-352


[แปลโดยฝีมือ...ยักษาแปร...มาติดตามได้ที่แฟนเพจหรือเพื่อติดตามเอาข่าวสารได้นะ\]

[Thai-novelจะทำการลงไวกว่าที่อื่นทุกที่ เป็นจำนวน 5 ตอน แต่เรื่องราคาแพงกว่าที่อื่นนิดหน่อย]

[หลังแปลจบ คิดว่าจะมีการเกลาคำเบื้องต้น แก้คำผิด ปรับสำนวนให้สละสลวย เทียบคำต่อคำ ขอบคุณที่ให้การสนับสนุนกันเสมอมานะครับ]

บทที่ 351 มิตรภาพ (II)

เหมิงฉีเฝ้ามองภาพเบื้องหน้าด้วยใจจดจ่อ ประกายแสงแห่งคาถาและดาบปราณเกี่ยวพันสอดประสาน แซมด้วยเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำและคลื่นพลังสีดำที่เคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต ทว่า เหมิงฉีก็ยังไม่อาจหยั่งถึงตัวตนที่แท้จริงของศัตรู ด้วยตระหนักดีว่าระดับการบ่มเพาะพลังของตนยังต่ำนัก นางจึงมุ่งมั่นที่จะรวบรวมข้อมูลให้ได้มากที่สุด ก่อนที่จะเข้าไปช่วยเหลือสหายร่วมรบ หากปราศจากแผนการอันแยบยล นางมิเพียงแต่จะช่วยเหลือผู้ใดมิได้ กลับอาจกลายเป็นภาระให้พวกเขาต้องลำบากยิ่งขึ้น

แม้กระจกส่องฟ้าจะสามารถสะท้อนภาพสถานการณ์ของสมรภูมิได้อย่างแจ่มชัด แต่ระยะทางก็ยังคงห่างไกลเกินไป เหมิงฉีสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามสงบจิตใจมิให้หวั่นไหว นางเพ่งมองภาพในกระจกอย่างแน่วแน่ เปลวเพลิงของฉู่เทียนเฟิงแผ่ปกคลุมทั่วผืนดิน ยากยิ่งนักที่จะมองเห็นเงาใด ๆ ที่อาจเป็นศัตรู...

อ๊ะ! ดวงตาของเหมิงฉีเบิกกว้างขึ้นในฉับพลัน ในที่สุดนางก็พบ!

เดิมทีเหมิงฉีคาดการณ์ว่าศัตรูต้องมีรูปร่างใหญ่โต จึงมองข้ามเงาเล็ก ๆ จำนวนมากที่ล้อมรอบฉินซิวโม่และสหาย ทว่าฝูงเงานั้นกลับมิได้มีขนาดใหญ่ และดูราวกับ... แมลงบิน?

เหมิงฉีเบิกตากว้าง พยายามเพ่งพินิจรายละเอียดให้ได้มากที่สุด ในตอนแรกนางมองข้ามแมลงบินเหล่านั้นไปโดยสิ้นเชิง และเพิ่งสังเกตเห็นเมื่อพวกมันถูกเปลวเพลิงของฉู่เทียนเฟิงเผาไหม้ ร่วงหล่นลงสู่พื้นดินดุจห่าฝน

พวกมันคือตัวอันใดกันแน่?

ในชั่วพริบตา การต่อสู้ก็ทวีความรุนแรงขึ้น คาถาของฉู่เทียนเฟิงพุ่งออกไปไม่หยุดหย่อน เติมเต็มท้องฟ้าด้วยเปลวเพลิง สว่างไสวราวกับกลางวัน

ผึ้ง?!

สีหน้าของเหมิงฉีเคร่งขรึมลง ฝูงแมลงขนาดใหญ่ที่บินฝ่าแสงเพลิง ดูคล้ายกับผึ้ง คลื่นพลังสีดำที่ซือคงซิงควบคุม กวาดเข้ามาปกป้องสหายที่อยู่ภายใน โดยเฉพาะหลี่เช่อ ผู้บ่มเพาะวิชาแพทย์หนุ่ม ที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ถูกคลื่นพลังสีดำของซือคงซิงคุ้มครองไว้ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

ความคิดนับพันพรั่งพรูเข้ามาในหัวของเหมิงฉี หลี่เช่อถูกพิษหรือไม่? หรือได้รับบาดเจ็บ? เมื่อเห็นว่าศัตรูมีลักษณะคล้ายแมลง ย่อมต้องมีพิษร้าย พวกมันเป็นแมลงชนิดใดกัน?

หลังจากเหลือบมองกระจกส่องฟ้าอีกครั้ง เหมิงฉีก็ลุกขึ้น รีบรุดไปยังห้องของหยุนชิงเหยียน

"ท่านชิงเหยียน" ชายหนุ่มในอาภรณ์ชุดขาว ยังคงนั่งท่องตำราอยู่บนเก้าอี้ บนโต๊ะน้ำชาข้างกายมีกล่องผลไม้ที่เหมิงฉีมอบให้ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบ หยุนชิงเหยียนก็มิได้ละสายตาจากตำรา เอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจ "มีอันใด?"

"ท่านชิงเหยียน" เหมิงฉีกล่าวอย่างรวดเร็ว "ท่านรู้จักแมลงบินในทะเลดารา ที่มีรูปร่างคล้ายผึ้งหรือไม่?" นางหยุดครู่หนึ่ง แล้วรีบเสริม "ปีกของพวกมันเป็นสีขาว ข้ามิได้เห็นลำตัวของพวกมันอย่างชัดเจน แต่ขนาดของพวกมันราว..." เหมิงฉีครุ่นคิด ประกอบท่าทางด้วยมือ "...ครึ่งหนึ่งของกำปั้นข้า ปีกของพวกมันยาวกว่านิ้วมือข้าเล็กน้อย"

แท้จริงแล้วปีกของแมลงเหล่านั้นเป็นสีแดง เมื่อต้องแสงสว่างจากเปลวเพลิงของฉู่เทียนเฟิง แต่ในบริเวณที่เปลวไฟส่องไปมิถึง ปีกเหล่านั้นก็ขาวราวกับหิมะ

ในที่สุด หยุนชิงเหยียนก็เหลือบมองเหมิงฉี "ปีกสีขาว? รูปร่างคล้ายผึ้ง?" เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง "มีอยู่ชนิดหนึ่ง"

ดวงตาของเหมิงฉีเป็นประกาย

หยุนชิงเหยียนวางตำราในมือลง "ผึ้งเขี้ยวหิมะ เป็นแมลงมีพิษร้ายแรง เมื่อพิษเย็นของพวกมันเข้าสู่ร่างกาย เพียงแค่ก้านธูปก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้บ่มเพาะพลังกลายเป็นน้ำแข็ง แม้มิถึงแก่ความตาย แต่ก็มิอาจขยับเขยื้อนได้"

เหมิงฉีอ้าปากค้าง

ผึ้งเขี้ยวหิมะ?!

ที่แท้ก็คือผึ้งเขี้ยวหิมะ!

นั่นเป็นแมลงมีพิษที่สูญสิ้นเผ่าพันธุ์ไปนานแล้วในสามภพ! กล่าวขานกันว่ามิอาจพบเจอได้อีก เหมิงฉีได้แต่เคยอ่านเรื่องราวของผึ้งเขี้ยวหิมะในตำราโบราณเท่านั้น

ผึ้งเขี้ยวหิมะยังคงมีชีวิตอยู่ในทะเลดารางั้นรึ?!

เหมิงฉีหันหลังกลับ วิ่งย้อนไปยังกระจกส่องฟ้าด้วยความร้อนใจ ด้วยจำนวนผึ้งเขี้ยวหิมะมากมายเช่นนี้ ซือคงซิงและสหายคงถูกต่อยในทันทีหากพวกเขาลดความระมัดระวังลงแม้เพียงชั่วครู่... มิอาจคาดคิดผลลัพธ์อันเลวร้าย เหมิงฉีพยายามรื้อฟื้นความทรงจำเกี่ยวกับผึ้งเขี้ยวหิมะที่เคยอ่านมาทั้งหมด

มีบันทึกไว้ว่า แมลงมีพิษชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดจากแดนอุดรแห่งสามภพ แม้ย้อนกลับไปหลายพันปี พวกมันก็ถูกจัดเป็นสัตว์อสูรอันตราย โชคยังดีที่ผึ้งเขี้ยวหิมะจะปรากฏตัวเฉพาะยามหิมะโปรยปราย และจะจำศีลอยู่ในรังตลอดเวลาที่เหลือ เมืองใหญ่ต่าง ๆ ในสามภพ รวมถึงเมืองเล็กบางแห่ง ล้วนได้รับการคุ้มครองจากสำนักต่าง ๆ การคุ้มครองนี้มิเพียงแต่หมายถึงภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น พายุหิมะ ภัยแล้ง และอุทกภัย จะไม่เกิดขึ้น แต่ยังทำให้เมืองต่าง ๆ อบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิตลอดทั้งปี ด้วยเหตุนี้ ภัยอันตรายจากผึ้งเขี้ยวหิมะจึงมีจำกัด

กระทั่งในกาลต่อมา เหล่าผู้บ่มเพาะพลังฝ่ายมารได้นำผึ้งมีพิษจากแดนมารมาผสมพันธุ์กับผึ้งเขี้ยวหิมะ สร้างสายพันธุ์ใหม่ที่มิเพียงแต่มีพิษเย็นร้ายกาจของผึ้งเขี้ยวหิมะ แต่ยังออกหากินได้ในทุกฤดูกาล

สายพันธุ์ใหม่นี้ ในไม่ช้าก็กลายเป็นภัยพิบัติที่สำนักต่าง ๆ ในแดนอุดรไม่อาจเพิกเฉยได้ ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าอัตราการแพร่พันธุ์ของผึ้งเขี้ยวหิมะจะไม่รวดเร็วเท่าผึ้งมีพิษจากแดนมาร แต่มันก็มิได้เชื่องช้า หลังจากผ่านไปกว่าสิบปี ภัยอันตรายที่พวกมันก่อก็เริ่มแผ่ขยายจากแดนอุดรไปยังแดนบูรพาและแดนประจิมที่อยู่ติดกัน

พิษจากเหล็กในของผึ้งเขี้ยวหิมะนั้นร้ายแรงยิ่ง แม้มิอาจคร่าชีวิตผู้บ่มเพาะพลังได้ในทันที แต่พิษจะทำให้แขนขา กล้ามเนื้อ และอวัยวะภายในแข็งตัว เหลือเพียงสติสัมปชัญญะเท่านั้น ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อจึงมิต่างจากคนตาย สำหรับบางคน สภาพเช่นนี้ อาจทรมานยิ่งกว่าความตาย ยิ่งไปกว่านั้น พิษนี้ยังรักษายากยิ่ง โอสถล้างพิษทั่วไปในสามภพมิอาจต้านทานได้ ผู้บ่มเพาะวิชาแพทย์ทำได้เพียงใช้คาถารักษาธาตุไฟ ขับพิษออกจากร่างกายทีละน้อย

ส่วนผู้ที่มิใช่ผู้บ่มเพาะพลัง ผลกระทบยิ่งร้ายแรง โดยทั่วไปแล้ว เมื่อพิษเข้าสู่ร่างกาย ผู้เคราะห์ร้ายจะเสียชีวิตภายในไม่กี่ชั่วยาม ซึ่งมักจะเกิดขึ้นก่อนที่การรักษาจะมาถึง

ด้วยเหตุนี้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ในเวลาต่อมา ผู้บ่มเพาะพลังจากทั่วสามภพจึงร่วมมือกันกวาดล้างผึ้งเขี้ยวหิมะจนสิ้นซาก เหตุการณ์นี้ถูกบันทึกไว้ในตำราโบราณมากมาย ซึ่งเหมิงฉีได้ศึกษา สันนิษฐานว่า เสวี่ยเฉิงเสวียน หลี่เช่อ และแม้แต่ฉินซิวโม่กับสหาย ก็ย่อมรู้เรื่องนี้เช่นกัน การกวาดล้างผึ้งเขี้ยวหิมะครั้งนั้น กินเวลายาวนานถึงเจ็ดปี ผู้บ่มเพาะพลังนับไม่ถ้วนร่วมมือกัน เดินทางลึกเข้าไปในทุกซอกมุมของแดนอุดร เพื่อค้นหารังของผึ้งเขี้ยวหิมะ

บทที่ 352 มิตรภาพ (III)

เป็นเวลาหลายพันปี หลังจากการกวาดล้างครั้งใหญ่ ก็มิเคยมีผู้ใดพบเห็นผึ้งเขี้ยวหิมะในสามภพอีกเลย ไม่แปลกที่เหมิงฉีแทบจะลืมเลือนพวกมัน ยิ่งไปกว่านั้น ตำราและบันทึกต่าง ๆ ล้วนกล่าวว่าผึ้งเขี้ยวหิมะมีขนาดเพียงนิ้วมือของผู้ใหญ่ แต่ตัวที่นางเห็นกำลังรุมโจมตีซือคงซิงและสหายนั้น กลับมีขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือของนาง

และผลกระทบของพิษ...

เหมิงฉีส่ายศีรษะ กลับไปยังกระจกส่องฟ้าอีกครั้ง ครานี้ นางโน้มตัวเข้าหาผิวน้ำ ใช้สองมือยันขอบบ่อน้ำ สูดลมหายใจเข้าลึก เพ่งมองการต่อสู้อันดุเดือดเบื้องหน้าด้วยสมาธิอย่างที่สุด

ประกายแสงแห่งคาถาและดาบปราณ เกี่ยวพันสอดประสาน ยากยิ่งนักที่จะมองเห็นรายละเอียด...

เอ๊ะ? ดวงตาของเหมิงฉีหรี่ลง ในบริเวณที่ก่อนหน้านี้ถูกบดบังจากสายตาของนางโดยเสวี่ยเฉิงเสวียน มีร่างของชายหนุ่มชุดขาวนอนแน่นิ่งอยู่ และนางก็ตระหนักได้ว่า หลี่เช่อมิได้นั่งขัดสมาธิเพื่อฟื้นฟูพลัง

ซูจุนโม่!

ซูจุนโม่ถูกพิษงั้นรึ? มิน่าเล่านางจึงมิเห็นเขาเมื่อครู่! เหมิงฉีแตะมิติเก็บของโดยไม่รู้ตัว ความคิดมากมายแล่นเข้ามาในหัว ใจเย็นไว้! นางสูดลมหายใจเข้าลึก เตือนสติตนเองมิให้วู่วาม ความบุ่มบ่ามมิเพียงแต่จะช่วยเหลือผู้ใดมิได้ กลับจะทำให้สถานการณ์ของสหายเลวร้ายลง

สายตาของเหมิงฉีจับจ้องไปที่ฉู่เทียนเฟิง ซึ่งกำลังร่ายคาถาอย่างต่อเนื่อง โชคยังดีที่จุดอ่อนของผึ้งเขี้ยวหิมะคือไฟ และคาถาเพลิงของฉู่เทียนเฟิงก็ได้ผลดีนัก

เดี๋ยวก่อน...ไฟ?!

ใช่แล้ว!

เหมิงฉียื่นมือออกไป สัมผัสพื้นผิวของกระจกส่องฟ้า สัมผัสได้ถึงไอเย็นจากน้ำในบ่อ จิตใจของนางพลันปลอดโปร่ง

"เหมิงฉี" เสียงของหยุนชิงเหยียนดังมาจากทางเข้าลานเรือน "เจ้าคิดได้แล้วหรือ?" เขาเสริมเบา ๆ "กระจกส่องฟ้าใช้ได้เพียงทางเดียว ไม่มีวันหวนกลับ"

"เจ้าค่ะ!" เหมิงฉีหันกลับมาด้วยแววตามุ่งมั่น "ท่านชิงเหยียน ขอบพระคุณท่านที่เอ็นดู" นางหยุดครู่หนึ่ง หยิบกล่องไม้ออกมาจากมิติเก็บของ ภายในบรรจุผลหงสา วางลงบนพื้นอย่างระมัดระวัง "ผลหงสาเหล่านี้ สามารถนำไปกลั่นเป็นโอสถนิพพานได้" นางอธิบาย "นอกจากสรรพคุณในการรักษาอันน่าอัศจรรย์แล้ว โอสถนิพพานยังมีผลในการฟื้นฟู บำรุงปราณวิญญาณ และยังสามารถช่วยเหลือผู้บ่มเพาะที่กำลังจะเข้าสู่ภาวะพลังปราณปั่นป่วน ฟื้นฟูสติ และคุ้มครองจิตวิญญาณ"

หยุนชิงเหยียนถึงกับตะลึงงัน สายตาของเขาเลื่อนจากเหมิงฉี ไปยังกล่องไม้บนพื้น "คุ้มครองจิตวิญญาณ?"

"เจ้าค่ะ" เหมิงฉีพยักหน้า "โอสถนิพพานนั้นหายากยิ่ง จึงมักใช้เพื่อช่วยชีวิตผู้ที่ใกล้ตาย แท้จริงแล้ว มันยังสามารถใช้เพื่อคุ้มครองจิตวิญญาณของผู้ที่กำลังจะเข้าสู่ภาวะพลังปราณปั่นป่วนได้อีกด้วย" นางครุ่นคิด แล้วกล่าวต่อ "ผู้บ่มเพาะที่เข้าสู่ภาวะพลังปราณปั่นป่วนส่วนใหญ่ ล้วนเกิดจากปราณภายในเสียหาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเสียสมดุลของปราณเบญจธาตุทั้งห้า ที่ประกอบกันเป็นปราณวิญญาณ สิ่งนี้ทำให้จิตวิญญาณของพวกเขาเริ่มแตกสลาย..."

เหมิงฉีอธิบายได้เพียงครึ่งทาง หยุนชิงเหยียนก็เข้าใจความหมายแล้ว ในวันนั้น นิมิตที่เขาแสดงออกมา ล้วนเป็นผลจากการล่มสลายของสมดุลปราณวิญญาณ ปราณวิญญาณภายในผู้บ่มเพาะ ประกอบด้วยปราณเบญจธาตุทั้งห้า และจิตวิญญาณของแต่ละคนจะทำหน้าที่ควบคุมและผูกมัดปราณเหล่านั้น เมื่อสมดุลของปราณเบญจธาตุทั้งห้าพังทลาย พันธนาการก็สลาย ปราณไม่อาจควบคุมได้ และเริ่มกัดกินจิตวิญญาณ ซึ่งส่งผลให้เกิดภาวะพลังปราณปั่นป่วน

ในวันนั้น หยุนชิงเหยียนกระวนกระวายที่จะรักษาตนเอง เผลอดูดซับปราณเบญจธาตุทั้งห้าจากทะเลดาราเข้าสู่ร่างกายมากเกินไป ทำให้สมดุลของปราณเบญจธาตุทั้งห้าภายในตัวเขาล่มสลาย

หากมิใช่เพราะคาถาห้าธาตุชำระล้างใจที่เหมิงฉีมอบให้ เขาคงเข้าสู่ภาวะพลังปราณปั่นป่วนไปแล้ว

เหมิงฉีเม้มริมฝีปาก กล่าวอีกครั้ง "ในบรรดาโอสถที่จำเป็นในการกลั่นโอสถนิพพาน มีเพียงผลหงสาเท่านั้นที่หายาก ส่วนที่เหลือนั้นหาได้ง่าย แม้แต่ที่ตำหนักเซียนเมฆา ยิ่งไปกว่านั้น ผู้บ่มเพาะวิชาแพทย์ระดับขั้นที่สี่ขึ้นไป ก็น่าจะสามารถกลั่นโอสถนิพพานได้" กล่าวจบ เหมิงฉีก็หยุดลง หยุนชิงเหยียนเฉลียวฉลาด ย่อมเข้าใจความหมายที่นางต้องการสื่อ

เหมิงฉีเหลือบมองหยุนชิงเหยียนด้วยแววตาลังเล อาลัยอาวรณ์ หนุ่มรูปงาม ผู้ทรงพลังและเปี่ยมด้วยความรู้ คือบุรุษเพียงหนึ่งเดียวที่นางสาบานว่าจะติดตาม ตลอดทั้งสองภพชาติ และเป็นคนเดียวในโลกที่ปฏิบัติต่อนางด้วยความอ่อนโยน โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน เขามิเพียงแต่ไม่เคยหัวเราะเยาะความคิดแปลก ๆ ของนาง แต่ยังเต็มใจสนับสนุน ร่วมแรงร่วมใจกับนางเพื่อทำให้ความคิดเหล่านั้นกลายเป็นจริง

เหมิงฉีสูดลมหายใจเข้าลึก เอ่ยขึ้นในที่สุดว่า "ข้าควรอยู่รับใช้ท่าน... ทว่า ซือคงซิงและสหายกำลังเผชิญอันตราย พวกเขาเข้ามาในทะเลดาราก็เพื่อข้า ข้ามิอาจทอดทิ้งพวกเขาได้"

เหมิงฉีประสานมือ โค้งคำนับหยุนชิงเหยียนอย่างนอบน้อม เมื่อยืดตัวขึ้น นางกล่าวด้วยรอยยิ้มสดใส "ท่านชิงเหยียน ข้าจะกลับมาอย่างปลอดภัย รอข้าด้วย"

กล่าวจบ เหมิงฉีก็หันหลัง หายลับเข้าไปในกระจกส่องฟ้า

"โง่เขลานัก" มุมปากของหยุนชิงเหยียนยกขึ้นเล็กน้อย จากนั้น ด้วยการสะบัดแขนเสื้อ กล่องไม้ในมือก็ลอยเข้าไปในกระจกส่องฟ้าเช่นกัน ราวกับว่าภายในมิได้บรรจุสมบัติล้ำค่าในตำนาน ที่ผู้คนมากมายใฝ่ฝัน

"อ๊ะ!" ทันทีที่เหมิงฉีก้าวผ่านกระจกส่องฟ้า กล่องไม้ก็ตกลงมาสู่อ้อมแขนของนาง สัมผัสนั้นเบามือ ราวกับถูกวางลงอย่างอ่อนโยน มิใช่ถูกโยนลงมา

"ท่านชิงเหยียน..." เหมิงฉีพึมพำ เงยหน้ามองท้องฟ้า ทว่า กลับไร้ร่องรอยของกระจกส่องฟ้า มีเพียงท้องฟ้าสีดำอันไพศาล ประดับประดาด้วยดวงดาวระยิบระยับนับพันล้านดวง

การเชื่อมต่อระหว่างนางกับหยุนชิงเหยียนขาดสะบั้นลง บัดนี้ นางต้องเผชิญหน้ากับทะเลดาราเพียงลำพังอีกครั้ง ครานี้ นางมิรู้ว่าจะได้พบกับเขาอีกเมื่อใด... แต่! นางจะกลับไปหาเขาอย่างแน่นอน!

ติดตามผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:ยักษาแปร ผู้แปลลงแค่ในMy-NovelและThai-novelเท่านั้น หากอ่านที่อื่นรบกวนมาสนับสนุนทีนะครับผม หรือจะมากดไลก์แฟนเพจก็ได้ กระซิกกระซิก ;-;_

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด