บทที่ 13 กลางแจ้ง
บทที่ 13 กลางแจ้ง
เช้าตรู่ ท้องฟ้ามืดครึ้มราวกับฝนกำลังมา
เสียงฟ้าร้องกึกก้อง และ ฟ้าแลบแปลบปลาบ ฝนตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย ตั้งแต่ช่วงกลางดึกจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่หยุด
ฟางจือสิงที่ตื่นเช้ามองฝนที่ตกหนักอยู่ข้างนอก อารมณ์ก็พลอยไม่แจ่มใสไปด้วย
เดิมทีเขาตั้งใจจะเข้าภูเขาไปล่าสัตว์วันนี้ แต่ท้องฟ้ากลับเล่นตลกจนได้
“ที่บ้านไม่มีอะไรกิน ถึงฝนจะตกก็ต้องออกไปอยู่ดี”
ฟางจือสิงถอนหายใจเบาๆ
เขารู้สึกเสียดายที่ไม่ได้เตรียมอาหารสำรองไว้บ้าง เผื่อสถานการณ์แบบนี้จะได้ไม่ลำบาก
แต่ก็นั่นแหละ ทุกครั้งที่เขาลงไปจับปลาในแม่น้ำ จับได้เท่าไหร่ก็กินเท่านั้นเพื่อจะมีแรงฝึกยิงธนู และ ฝึกดาบ
จึงแทบไม่มีโอกาสจะเก็บสะสมอาหารได้เลย
เสี่ยวโก่วพูดอย่างลังเล “ไม่มีเสื้อกันฝน ออกไปข้างนอกก็ต้องเปียก ถ้าเกิดป่วยขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ?”
ในหมู่บ้านบนภูเขาที่ล้าหลังเช่นนี้ การป่วยหมายถึงต้องทนเอา หากทนไม่ไหวก็มีแต่ต้องตายเท่านั้น
ฟางจือสิงก็เข้าใจดี แต่เขาไม่แน่ใจว่าฝนนี้จะตกนานแค่ไหน จึงไม่สามารถรอให้ฝนหยุดได้
ยิ่งกว่านั้น แม้ฝนจะหยุดลง แต่ตอนที่เขาออกไปข้างนอกก็อาจจะเจอฝนได้อีก ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ตลอด
ชายหนุ่มกับสุนัขคู่ใจจึงออกไปกลางสายฝน
ฝนตกหนักจนไม่นานฟางจือสิงก็เปียกโชก ส่วนเสี่ยวโก่วก็มีขนเปียกชุ่มจนแนบติดตัว
เส้นทางทั้งใน และ นอกหมู่บ้านเป็นทางดิน หลังฝนตกจึงกลายเป็นเลนตม
ฟางจือสิงเดินลุยโคลนลึกบ้างตื้นบ้าง ออกจากหมู่บ้านไปยังแม่น้ำเพื่อจับปลา
เมื่อมาถึงก็ต้องตกใจ
น้ำในแม่น้ำขึ้นสูงอย่างชัดเจน กระแสน้ำเชี่ยวกรากจนเกิดเป็นคลื่นไหลอย่างแรง
“ให้ตายเถอะ!”
ฟางจือสิงยืนอยู่ริมฝั่ง น้ำฝนไหลผ่านใบหน้า เส้นผมเปียกแนบใบหน้า
ไม่สามารถลงแม่น้ำได้แล้ว มันอันตรายเกินไป
เสี่ยวโก่วเองก็ตกใจ พูดด้วยความผิดหวังว่า “งานนี้แย่แล้ว อาจจะไม่ได้ลงแม่น้ำอีกหลายวันเลยก็ได้”
ฟางจือสิงกัดฟันหันกลับเข้าป่า ไปเก็บผักป่ามาบ้าง แล้วจึงกลับบ้าน
ถึงบ้านแล้ว เขารีบจุดไฟทันที อบเสื้อผ้าที่เปียกจนแห้ง และ ต้มผักป่าเพื่อพอประทังหิว
บ่ายวันนั้น ฝนยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด กลับตกหนักขึ้นเรื่อยๆ
ทั่วทั้งหมู่บ้านเต็มไปด้วยน้ำขัง จนแทบกลายเป็นทะเลสาบ
ฟางจือสิงเริ่มตระหนักว่าปัญหานี้หนักหนาแล้ว ฝนครั้งนี้ไม่ใช่ฝนธรรมดา แต่น่าจะเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติ
ทันใดนั้นก็ถึงช่วงเย็น ฝนยังคงตกไม่หยุด
ฟางจือสิง กับ เสี่ยวโก่วต้องท้องว่างอีกครั้ง
“พรุ่งนี้ ไม่ว่าฝนจะตกหนักแค่ไหน พวกเราต้องไปล่าสัตว์ในภูเขา” ฟางจือสิงถอนหายใจ
เสี่ยวโก่วหมดแรง ทำเสียงหงอยๆ ออกมา
คืนหนึ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เช้าวันถัดมา ฟางจือสิงตื่นขึ้นมาด้วยความหิว มองออกไปข้างนอก ท้องฟ้ายังมืดครึ้มอยู่ แต่ฝนหยุดตกแล้ว
อากาศเย็นลงมาก มีความหนาวเยือกเข้ามา
ทั้งคนทั้งหมาดีใจยิ่งนัก รีบเตรียมอุปกรณ์ล่าสัตว์แล้วออกเดินทางเข้าป่า
ออกมาได้ไม่นาน ฝนก็ตกลงมาอีกเป็นฝอยๆ ให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกเมื่อโดนตัว
เสี่ยวโก่วหันมามองทิศทางที่ฟางจือสิงมุ่งหน้าไปแล้วตกใจ
“นายจะไปเขตล่าสัตว์ที่จ้าวต้าหู่พวกนั้นยึดไว้หรือ?”
ฟางจือสิงพยักหน้า
เสี่ยวโก่วลังเลก่อนพูดว่า “ไม่กลัวจะเกิดเรื่องเหรอ? ถ้านายปะทะกับคนในครอบครัวของหัวหน้าหมู่บ้าน จ้าวตระกูลเขามีคนเยอะกว่านายอีก”
ฟางจือสิงตอบ “ช่วงนี้ครอบครัวของหัวหน้าหมู่บ้านคงมัววุ่นกับการยึดเอาทรัพย์สินของครอบครัวซ่ง คงไม่ออกมาล่าสัตว์หรอก”
เสี่ยวโก่วคิดตามอย่างครุ่นคิด “หวังว่าจะเป็นแบบนั้นนะ”
ทั้งคน และ หมามุ่งหน้าลึกเข้าไปในป่า เดินมาไกลถึงประมาณสิบเอ็ดหรือสิบสองลี้
ฟางจือสิงรู้สึกเหนื่อย จึงนั่งพักใต้ต้นไม้ใหญ่
“โอ้โฮ เหนื่อยจะตายแล้ว” เสี่ยวโก่วเองก็เหนื่อยล้า นอนแผ่ลงบนพื้น แลบลิ้นหอบหนัก
ซ่า~ ซ่า~ ซ่า~
โชคร้าย ฝนกลับตกหนักขึ้นทันที
ฟางจือสิงเงยหน้ามองท้องฟ้า เห็นกลุ่มเมฆดำทะมึนและสายฟ้าผ่าฉายแสงฟาดฟ้าอย่างดุดัน ราวกับมังกรเทพพิโรธ
“ไปเถอะ อยู่ใต้ต้นไม้ไม่ได้” ฟางจือสิงลุกขึ้น จำต้องย้ายไปท่ามกลางสายฝน
ทั้งคู่หาที่กำบังใหม่ ใต้หินลาดเอียงจุดหนึ่ง ซึ่งพอจะหลบฝนได้
“ดูนั่นสิ นั่นใช่พวกสตรอว์เบอร์รีป่าหรือเปล่า?” เสี่ยวโก่วยืดคอขึ้น มองเห็นบางอย่าง
ฟางจือสิงมองตามสายตาเสี่ยวโก่วไป ดวงตาเป็นประกาย รีบวิ่งตรงไปในทันที
เขาพบว่าสตรอว์เบอร์รีป่ากำลังขึ้นอยู่เต็มเนินที่ลาดเอียง เป็นพุ่มเตี้ยๆ เต็มไปด้วยผลสีแดงสดเท่าขนาด ถั่วลิสง ห้อยเต็มกิ่ง
ฟางจือสิงเก็บผลสตรอว์เบอร์รีป่าขึ้นมาลูกหนึ่ง เกือบจะเอาเข้าปากอยู่แล้ว แต่หยุดไว้ก่อน
“เสี่ยวโก่ว มานี่เร็ว!” เขาเรียก
เสี่ยวโก่วไม่อยากเปียกฝน ตะโกนตอบว่า “นายรีบเก็บไปเถอะ ฉันช่วยไม่ได้หรอก!”
ฟางจือสิงกลอกตา แล้วเอาเสื้อคลุมที่ขาดกะรุ่งกะริ่งมารองไว้อย่างลวกๆ ก่อนจะเก็บสตรอว์เบอร์รีป่าต่ออย่างรวดเร็ว
เก็บไปสักพัก สตรอว์เบอร์รีป่ากองในเสื้อจนแทบล้นออกมา แต่ยังมีผลเหลืออีกมากบนกิ่งที่ยังไม่ได้เก็บ
ฟางจือสิงเดินกลับไปนั่งพัก
เสี่ยวโก่วกระโดดขึ้นมาบนตักของเขา ดมสตรอว์เบอร์รีป่าด้วยความอยาก กลิ่นหอมหวานลอยเตะจมูกจนทำให้น้ำลายไหลไม่หยุด
ฟางจือสิงเห็นดังนั้น จึงพูดว่า “กินเร็วเข้า”
เสี่ยวโก่วเงยหน้าขึ้น ขู่เบาๆ “อะไรน่ะ? ปกตินายกินก่อน แล้วฉันกินของเหลือนี่?”
ฟางจือสิงหัวเราะ “ก็เพราะสตรอว์เบอร์รีป่านี่นายเป็นคนเจอเอง ฉันก็เลยยกให้ไง!”
“บ้าสิ!”
เสี่ยวโก่วขู่ฟ่อ “นายแค่กลัวว่ามันจะมีพิษ เลยจะเอาฉันมาลองก่อนใช่ไหมล่ะ?”
ฟางจือสิงทำหน้าเรียบเฉยตอบกลับ
“เจ้าหมาเนรคุณนี่ ไม่รู้เลยว่าฉันหวังดี คิดกันแต่ในทางร้าย! เอาเถอะๆ ต่อให้ฉันจะให้เจ้าลองแทนจริง แล้วไงล่ะ? นายมีตั้งสองชีวิต จะไปกลัวอะไร!”
เสี่ยวโก่วหัวเราะเยาะ พลางพูดประชด “ฟางจือสิง คราวนี้ฉันจะจำไว้เลยนะ”
พูดจบ เขาก็อ้าปากงับสตรอว์เบอร์รีป่าเข้าไปหลายลูก แล้วกลืนลงท้อง
“เฮ้ อร่อยนี่ หวานอมเปรี้ยว!” เสี่ยวโก่วมีแรงฮึกเหิมขึ้นมา กินไม่หยุด ก้มหน้ากินเอาๆ
ฟางจือสิงมองตาม เสียงท้องร้องโครกคราก กลืนน้ำลายไปหลายที แต่ก็อดใจไว้
“โอ๊ย อร่อยจริงๆ! โอ๊ย อร่อยจริงๆ!”
“นายไม่กินจริงๆ เหรอ?”
“ไม่กินจริงเหรอ?” “ไม่กินจริงเหรอ?”
เสี่ยวโก่วกินไปพลาง แหย่ฟางจือสิงไปพลาง เพลินจนไม่หยุด
ฟางจือสิงทำเป็นหูทวนลม รอจนแน่ใจว่าเสี่ยวโก่วไม่มีปัญหาอะไร จึงเริ่มกินบ้าง
รสชาติของสตรอว์เบอร์รีป่านั้นไม่เลวเลยทีเดียว
หรือจะบอกว่าตั้งแต่เขามาอยู่ในโลกนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้กินผลไม้ มันให้ความรู้สึกหรูหราเสียเหลือเกิน
เขากินอิ่มพอดี ช่วยบรรเทาความหิว แล้วก็กลับไปเก็บรอบสอง เก็บสตรอว์เบอร์รีป่าจนหมดเนิน กินจนท้องอิ่มประมาณหกเจ็ดส่วน
ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ
ฟางจือสิงครุ่นคิด “ฝนนี้ตกไปแล้ว ท่าทางภัยพิบัติคงจะรุนแรงยิ่งกว่าเดิม บ้านเมืองคงจะวุ่นวายกันใหญ่”
เสี่ยวโก่วคิดตาม “นายยังจำเฉียนเหล่าป่าน พ่อค้าค้ามนุษย์คนนั้นได้ไหม? คนอย่างเขาน่ะ เอาตัวรอดเก่งสุดๆ ฉันว่าเราต้องหาทางไปให้ได้ ไม่งั้นติดอยู่ในหมู่บ้านฝูหนิวนี่ไม่รอดแน่”
ฟางจือสิงส่ายหน้า “เรายังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกภายนอกเลย ถ้าออกไปโดยไม่มีจุดหมาย สถานการณ์อาจจะแย่กว่าเดิม”
เสี่ยวโก่วพูดอย่างจริงจัง “ต้องไปที่เมืองใหญ่ คนที่มีอำนาจหรือมั่งคั่งก็อยู่ในเมืองกันทั้งนั้น บอกนายไว้เลย ถ้าฉันได้เกิดใหม่เป็นคน จะหล่อเหลาสุดๆ ไม่ต้องทำอะไร แค่หาทางเข้าหาเศรษฐินีสักคน ชีวิตนี้ก็สบายแล้ว”.....
..........