บทที่ 126: เดิมพัน
มู่ไป๋ไป่เหม่อมองเสิ่นจวินเฉาครู่หนึ่ง ก่อนที่เธอจะพุ่งเข้าไปในอ้อมแขนของเขา “พี่จวินเฉา ท่านเป็นคนดีมาก!”
เขาดีกว่าอวี้เซิ่งเป็นพันเท่า!
“เจ้าจะร้องไห้ทำไมกัน?” เด็กชายเซถอยไปด้านหลังเล็กน้อยเพราะถูกกอด เขารู้สึกสับสนเล็กน้อยว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี
ไม่นานมู่ไป๋ไป่ก็ผละออกด้วยท่าทีขัดเขิน เธอขยี้ตาแดง ๆ ของตัวเองแบบลวก ๆ แล้วพูดว่า “พี่จวินเฉา ในเมื่อท่านยินยอมที่จะไปตลาดผีกับข้า ตั้งแต่นี้ไปเราจะเป็นสหายกันตลอดชีวิต นับจากนี้ การลงทุนของท่านจะไม่สูญเปล่า!”
ในอดีต สำหรับเธอแล้วเธอมองว่าเสิ่นจวินเฉาเป็นเพียงเทพเจ้าแห่งโชคลาภที่ช่วยเธอทำเงินได้เท่านั้น แต่คราวนี้คำว่าสหายคือสหายจริง ๆ เธอจะถือว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อนตาย
“เจ้าไปเรียนรู้เรื่องพวกนี้มาจากไหนกัน?” เด็กชายส่ายหัวยิ้ม ๆ แต่ในดวงตาของเขากลับมีประกายบางอย่างและใบหน้าหล่อเหลาก็ดูอ่อนโยนขึ้นมาก “รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากันเถอะ เราจะได้ออกเดินทาง”
หลังจากที่พวกมู่ไป๋ไป่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย เมื่อถึงเวลาเดินทาง ท้องฟ้าด้านนอกก็มืดสนิท
ยามนี้คนรับใช้หลายคนของจวนสกุลเสิ่นกำลังรออยู่ที่ลานบ้าน โดยที่แต่ละคนถือโคมไฟสีแดงอยู่ในมือ
“คุณหนู ทำไมทุกคนถึงถือโคมไฟสีแดงเจ้าคะ?” หลัวเซียวเซียวถามขึ้นมาอย่างสงสัย โดยมีจื่อเฟิงติดตามมาด้วย
“แขกทั้ง 2 คงไม่ทราบ” เมื่อคนรับใช้เห็นความน่ารักของหลัวเซียวเซียวกับจื่อเฟิง เขาก็อธิบายให้พวกนางฟังด้วยรอยยิ้ม “ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเข้าไปในตลาดผีแห่งนี้ได้ เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนหลงทางเข้ามาโดยไม่ได้ตั้งใจ ตอนกลางคืนยามที่เราเดินทางไปยังตลาดผี ทุกคนในเมืองจะต้องจุดโคมแดง”
“‘ผีน้อย’ ที่ทำหน้าที่เฝ้าตลาดจะมองโคมแดงและรู้ว่านี่เป็นแขกของตลาดผี พวกเขาจึงจะปล่อยให้ผ่านเข้าไป”
“ที่แท้มีกฎเช่นนี้อยู่ด้วย” มู่ไป๋ไป่เองก็ตั้งใจฟังคำอธิบายของคนรับใช้เช่นกัน “ในเมื่อตลาดผีมี ‘ผีน้อย’ เฝ้าประตูอยู่ แล้วมันมีเจ้านายหรือไม่?”
ก่อนหน้านี้เธอคิดว่าตลาดผีเป็นตลาดที่ไม่มีคนคอยดูแลซึ่งจัดขึ้นโดยบุคคลลึกลับบางคน
แต่ทันทีที่ได้ฟังสิ่งที่คนของเสิ่นจวินเฉาพูด ดูเหมือนว่าสถานที่ดังกล่าวจะมีผู้รับผิดชอบอยู่
“ข้าน้อยเองก็ไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องของคนผู้นี้มากนัก” พ่อบ้านของจวนตระกูลเสิ่นส่ายหัวตอบ “ที่ข้าน้อยรู้ก็มีเพียงเท่านี้ คุณหนูทั้ง 2 ในตลาดผีเป็นสถานที่ที่มีคนดีคนเลวปะปนกันไป ยามที่เข้าไปแล้วพวกท่านจะต้องระวังตัวไว้ให้ดี และคอยเดินติดตามคุณชายของเราอย่างใกล้ชิดอย่าได้วิ่งเพ่นพ่าน”
พวกมู่ไป๋ไป่พยักหน้ารับคำสั่งของพ่อบ้านอย่างเชื่อฟัง หลังจากที่เสิ่นจวินเฉาเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาแล้ว ทุกคนก็พากันขึ้นรถม้าเพื่อออกเดินทางไปยังตลาดผี
…
อีกด้านหนึ่งที่วัดฮู่กั๋ว
เป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้วที่ซูหว่านเห็นจดหมายของมู่ไป๋ไป่ นางไม่ได้พูดอะไร แต่แอบส่งนางกำนัลและขันทีออกไปตามหาลูกสาว
หลังจากค้นทั่วทั้งภูเขาแล้วก็ไม่พบเด็กหญิงเลย ในตอนนั้นหญิงสาวก็ได้รับการยืนยันแล้วว่าลูกสาวของตนลงจากภูเขาไปแล้วจริง ๆ
ซูหว่านรู้สึกเป็นกังวลมาก แต่นางไม่สามารถลงจากเขาไปด้วยตนเองได้ ดังนั้นนางจึงต้องหาองครักษ์ 2-3 คนปลอมตัวลงจากเขามุ่งหน้าเข้าไปในเมืองเพื่อตามหามู่ไป๋ไป่
แต่เมื่อท้องฟ้ามืดลงเรื่อย ๆ องครักษ์ที่ถูกส่งออกไปก็ไม่ได้ส่งข่าวกลับมาเลย
นั่นยิ่งทำให้หว่านผินกังวลมากจนกินอะไรไม่ลง
ในเวลาเดียวกัน ที่บนหลังคาของเรือนพัก อวี้เซิ่งมองไปยังทิศทางที่ตั้งของเมืองหลวง ในขณะที่ใบหน้าของเขามืดมนลง
เขาคิดว่าองค์หญิงหกจะกลับมาในเร็ว ๆ นี้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายอาจจะค้นหาหนทางเข้าไปยังตลาดผีแล้ว
“ชิ!... น่ารำคาญจริง ๆ” ชายหนุ่มสบถอย่างฉุนเฉียว
เขามองข้ามคนที่นอนเอกเขนกดื่มสุราอยู่บนต้นไม้ ก่อนจะขยับปลายนิ้วเล็กน้อยเพื่อส่งก้อนหินออกไป
ตอนที่ก้อนหินกำลังจะกระแทกไหสุรา หินก้อนนั้นก็ถูกมือใหญ่คว้าจับเอาไว้แน่น
“ท่านคิดจะทำอะไร?” เซียวถังอี้เหลือบมองอีกฝ่ายนิ่ง ๆ “ทำไมท่านยังอยู่ที่นี่อีก? หากท่านไม่รีบลงเขาไป ก็ไม่แน่ว่าองค์หญิงหกคนนั้นจะเป็นหรือตาย”
“องค์หญิงหกได้รับความโปรดปรานจากสวรรค์ นางคงไม่ตายง่าย ๆ หรอก” อวี้เซิ่งกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ “ท่านไปเดินเล่นกับข้าได้หรือไม่?”
“ทำไมข้าต้องไปกับเจ้าด้วย?” เด็กหนุ่มหัวเราะเบา ๆ “อวี้เซิ่ง อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าท่านกำลังวางแผนอะไรเอาไว้ ท่านแค่อยากจะลากข้าให้เข้าไปร่วมรับผิดชอบกับท่านใช่หรือไม่?”
“ไม่มีทาง!”
“...” นักฆ่าหนุ่มกัดฟันแน่น “เซียวถังอี้ ท่านจะพูดเช่นนี้ได้อย่างไร อย่างน้อยนางก็เป็นเหมือนหลานสาวของท่าน ทำไมท่านโหดร้ายได้ถึงเพียงนี้”
“ถ้าองค์หญิงหกได้รับอันตราย ท่านคิดว่าฝ่าบาทจะไม่ถามหาความผิดของท่านหรือ?”
“ไม่ใช่ว่าท่านบอกว่าเป็นเช่นนั้นแล้วมันจะเป็นเช่นนั้น องค์หญิงหกไม่โชคร้ายถึงขั้นตายหรอก” เซียวถังอี้คืนคำพูดเดิมของตัวเองพร้อมกับเหยียดยิ้มมุมปาก “นอกจากนี้ องค์หญิงหกกับข้าไม่ได้สนิทอะไรกัน ดังนั้นเสด็จพี่จะมาถามหาความผิดจากข้าได้อย่างไร?”
อวี้เซิ่งตัดสินใจที่จะลากเซียวถังอี้เข้ามาร่วมรับผิดชอบด้วยในวันนี้ เขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ขณะดีดเหรียญทองแดงออกมาแล้วพูดว่า “มาพนันกันดีหรือไม่ ถ้าออกหัว ท่านจะต้องลงเขาไปกับข้า ถ้าออกก้อย ในห้องเก็บสุราของข้ามีสุราไผ่เขียวอายุ 30 ปีให้ท่าน”
“...”
“ท่านใจกว้างขนาดนี้เชียวหรือ?” เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกสนใจขึ้นมา เขารู้ว่าอวี้เซิ่งเป็นคนรักการเดิมสุรามากเพียงใด และสุราที่เขาซ่อนเอาไว้จะต้องเป็นของดีอย่างแน่นอน
อวี้เซิ่งถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนจะดีดเหรียญทองแดงขึ้นไปบนท้องฟ้า
เหรียญทองแดงสีน้ำตาลทองยังคงหมุนคว้างท่ามกลางแสงจันทร์ และในที่สุดมันก็ตกลงไปบนหลังมือของชายหนุ่ม
…
ที่ชานเมืองของเมืองหลวง
รถม้าของจวนตระกูลเสิ่นหยุดลงทันทีที่มาถึงชานเมือง แล้วคนบังคับรถม้าก็กล่าวว่าเส้นทางที่เหลือจะต้องเดินเท้าเข้าไป
โดยธรรมชาติแล้วพวกมู่ไป๋ไป่ย่อมไม่คัดค้าน พวกเธอรีบเดินลงจากรถม้า หยิบหน้ากากกับหมวกขึ้นมาสวมตามเสิ่นจวินเฉา จากนั้นจึงหยิบโคมไฟสีแดงที่คนรับใช้มอบให้และเดินเรียงแถวตามเด็กชายไปอย่างเป็นระเบียบ
“พี่จวินเฉา ท่านเคยไปที่ตลาดผีมาก่อนหรือไม่?” พอคนตัวเล็กเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ต้องมีคนคอยนำทาง เธอจึงเดินตรงไปยังทิศทางเดียวกัน ก่อนจะพบว่าเขาเหมือนจะรู้ทางเป็นอย่างดี
“ข้าเคยไปทุกที่ในโลกที่สามารถทำการค้าได้” เสิ่นจวินเฉาตอบยิ้ม ๆ “เพียงแค่ว่าการค้าในตลาดปีนั้นมันน่าเบื่อไปสักหน่อย ข้าจึงขี้เกียจที่จะเข้าไปมีส่วนร่วม”
“หลังจากที่เข้าไปที่นั่น 2-3 ครั้ง ข้าก็เลิกไปอีกเลย”
เขาเป็นคนรักเงินและการทำการค้า ถึงกระนั้นเขาก็ยังชอบเงินสะอาดมากกว่า เขาจึงไม่สนใจที่จะหาเงินเปื้อนเลือดจากในตลาดผี
“อ๋อ ที่ท่านได้ชื่อว่าจวินเฉา” มู่ไป๋ไป่รีบก้าวไปข้างหน้าด้วยขาป้อมสั้น “เรียกได้ว่าท่านเป็นสุภาพบุรุษที่รักเงินและคว้ามันมาได้อย่างชาญฉลาด”
“ไป๋ไป่พูดถูก” เด็กชายหันไปมองเด็กหญิงในขณะที่ดวงตาที่อยู่ภายใต้หน้ากากเป็นประกายอยู่ครู่หนึ่ง ซึ่งภาพนั้นทำให้เธอมองเห็นมู่เทียนฉงซ้อนทับกับใบหน้าของอีกฝ่าย
“ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่าไป๋ไป่จะมีความรู้มากขนาดนี้”
“พี่จวินเฉา ดวงตาของท่านเหมือนท่านพ่อของข้าเลย” จู่ ๆ มู่ไป๋ไป่ก็รู้สึกแสบจมูกขึ้นมาเล็กน้อย นี่เป็นเวลาเกือบ 1 เดือนแล้วนับตั้งแต่ที่เธอเดินทางออกจากวังหลวง
ตอนที่อยู่ในวังเธอไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน แต่ตอนนี้หลังจากออกมาด้านนอกเธอก็ตระหนักได้จริง ๆ ว่าตัวเองนั้นคิดถึงมู่เทียนฉง
“จริงหรือ?” เสิ่นจวินเฉาถามขณะสบตาคนตัวเล็ก
“เจ้าค่ะ” มู่ไป๋ไป่สูดจมูกแล้วก้มหน้าลง “ข้าเองก็ไม่ได้เจอท่านพ่อมาเกือบเดือนหนึ่งแล้ว”
“ปกติท่านพ่อของเจ้าไม่อยู่บ้านหรือ?” เด็กชายพยักหน้าอย่างครุ่นคิด “มิน่าล่ะ ทำไมครอบครัวของเจ้าถึงได้ยอมปล่อยให้เจ้าออกมาทำการค้าเพียงลำพัง”