บทที่ 11 : ภาพไม่ตรง
บทที่ 11 : ภาพไม่ตรง
ลู่หย่วนหมิงปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่าเขาไม่ใช่พระเมสสิยาห์ และปฏิเสธทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับศาสนาอย่างสิ้นเชิง ความหนักแน่นของเขาเกินกว่าจะแค่บอกใบ้ แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ต้องการให้ใครได้คิดไปในทางนั้นเลย
ความจริงแล้วนอกจากคนสูงอายุและหญิงสาววัยสามสิบปีที่แสดงความศรัทธาและความคลั่งไคล้มากที่สุดแล้ว คนอื่น ๆ ในที่นั้นต่างก็ยังมีความสงสัยอยู่ลึก ๆ
แม้ว่าการศึกษาในอเมริกาจะเป็นแบบที่เน้นความสนุกสนานและลดความฉลาดลง แต่อย่างน้อยคนชนชั้นล่างของจีนก็ยังมีความเชื่อแบบพื้นฐานอยู่ แต่คนกลุ่มนี้ต่างก็ได้รับการศึกษาอย่างน้อยระดับพื้นฐาน และดูจากเสื้อผ้าและเครื่องประดับแล้วมีคนกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า "ผู้ลากมากดี" ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะยังคงสงสัยต่อการปรากฏตัวของลู่หย่วนหมิง
แต่การปฏิเสธของลู่หย่วนหมิงอย่างจริงใจและแน่วแน่นั้น กลับยิ่งทำให้คนเหล่านี้เกิดความสงสัยขึ้นไปอีก
ลู่หย่วนหมิง พูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า "ผมไม่ได้เป็นเมสสิยาห์ และไม่ได้เกี่ยวข้องกับเทพเจ้าใด ๆ ทั้งนั้น ผมเป็นพวกวัตถุนิยม ไม่เคยเชื่อในเทพเจ้าใด ๆ ถ้าต้องเชื่อ ผมก็เชื่อในบรรพบุรุษของผม ประมาณนั้นแหละ"
ชายหนุ่มตรงกลางที่เป็นบาทหลวง ดูเหมือนจะรับบทบาทของผู้ศรัทธาโดยอัตโนมัติ เขาขีดสัญลักษณ์กางเขน พร้อมกับกล่าวว่า "เยซูคริสต์ก็เพียงแต่เรียกพระเจ้าว่าพระบิดา เมื่อพระองค์เสด็จลงมาจุติ ก็มิได้เรียกร้องไฟจากสวรรค์มาเผาผลาญโลกนี้ คุณอาจยังไม่เข้าใจหน้าที่ของคุณ แต่คุณคือเมสสิยาห์ ผู้ช่วยชีวิตมนุษย์ในวันสิ้นโลกอย่างแน่นอน"
ลู่หย่วนหมิงไม่แสดงสีหน้าใด ๆ แม้แต่จะโต้แย้งก็ยังรังเกียจ ในขณะนั้น ชายหนุ่มวัยยี่สิบกว่า สวมแว่นตา แต่งกายด้วยชุดสูท ดูเหมือนจะเป็นคนในกลุ่ม เขาพูดขึ้นมาว่า "คุณลู่ คุณสามารถอธิบายความหวังที่ว่านี้ ได้ละเอียดกว่านี้หรือไม่?"
"เป็นความเชื่อ!" บาทหลวงตะโกนเสียงดังทันที
“ไม่เป็นไร เรียกว่าความเชื่อก็ไม่ผิด” ลู่หย่วนหมิง ยกมือขึ้นแสดงท่าทางยอมรับ “สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้อาจฟังดูแปลกประหลาด แต่ผมพูดด้วยความจริงใจที่สุด ผมพูดความจริงทั้งหมด ก่อนอื่น ผมมาจากห้าปีที่แล้ว นั่นคือเส้นเวลาปี 2023 และผมก็เป็นชาวจีน ไม่ใช่คนอเมริกา ผมเป็นคนจีนแท้ ๆ จากนั้นก็มาถึงเส้นเวลาของพวกคุณด้วยเหตุผลที่ไม่ทราบสาเหตุ จากนั้นก็ตายในเหตุการณ์เหนือธรรมชาติคล้ายกับคำสาปอะไรสักอย่าง แล้วก็มาถึงโลกหลังความตายนี้ และผมก็พบว่าผมสามารถกลับไปยังโลกมนุษย์เมื่อปี 2023 ได้…”
ทันทีที่ลู่หย่วนหมิงพูดจบ คนทั้งห้องก็พลุกพล่านขึ้นมามากมาย และต่างถามถึงวิธีกลับไปโลกแห่งคนเป็น ในบรรดาผู้คนมากมาย มีเพียงผู้ลากมากดีผู้สวมแว่นตาและคนหัวสูงที่เงียบขรึมกำลังครุ่นคิด
ผู้ลากมากดีผู้สวมแว่นตานั้นเอ่ยขึ้นมาว่า “คุณลู่ ผมชื่อคาธูน เอสพิท เป็นจิตแพทย์ สิ่งที่คุณพูดทั้งหมดเป็นความจริงใช่หรือไม่ หรือเป็นเพียงจินตนาการของคุณ”
ลู่หย่วนหมิงตอบทันที "ใช่ ผมมั่นใจมาก แต่ร่างกายของผมในโลกมนุษย์อยู่ในสภาพเหมือนผัก เมื่อกลับไปโลกมนุษย์ ผมจะถูกจมอยู่ในความมืดมิด ไม่มีทางสัมผัสร่างกายได้ จะได้ยินแค่เสียงรอบข้างอย่างเลือนรางเท่านั้น และความเชื่อนี้... คือสิ่งที่ผมนำมาจากโลกมนุษย์ ไม่รู้ว่าทุกท่านรู้จักจีนมากน้อยแค่ไหน ชาวจีนจะใช้การเผาเงินกระดาษเพื่อไหว้บรรพบุรุษ และยังแสดงออกถึงความหวังในอนาคต ความปรารถนาต่อชีวิตที่ดี ชาวจีนมักจะเผาเงินกระดาษในช่วงเทศกาลสำคัญ ๆ และในช่วงเทศกาลเช็งเม้งที่จัดขึ้นเพื่อไหว้บรรพบุรุษโดยเฉพาะ และช่วงเวลาที่ร่างกายของผมในโลกมนุษย์นอนเป็นผักอยู่ก็ตรงกับช่วงเทศกาลตรุษจีนพอดี ผมเดาว่าญาติ ๆ ของผมคงจะเผาเงินกระดาษเพื่อแสดงความหวังและความปรารถนาต่อผม นั่นจึงกลายเป็นพลังที่ใช้ได้ในโลกหลังความตายนี้"
คนส่วนใหญ่เงียบไป คิ้วขมวดด้วยความสงสัย ชายร่างสูงผอมพูดขึ้น "ใช่ เผาเงินกระดาษ ผมก็เคยเผาเงินกระดาษ สิ่งนั้นแพร่เข้ามาจากจีนเมื่อหลายปีก่อน ผมรู้สึกว่ามันเจ๋งมาก อ้อ! นี่คุณ ชื่อของผมคือ ทอม ซิโอโดร ผมจะรับใช้ท่านอย่างซื่อสัตย์เลย!"
"เรียกผมด้วยชื่อเถอะ ไม่ต้องทงไม่ต้อท่านแบบนั้น!" ลู่หย่วนหมิงไม่มีท่าทีดีกับทอม ไม่ว่าจะเป็นการทอดทิ้งเด็ก ๆ ของทอมก่อนหน้านี้ หรือการแสดงท่าทีเหมือนจะทรยศทันทีที่เข้ามาในห้องนิรภัย ล้วนทำให้ลู่หย่วนหมิงรู้สึกหวาดระแวง
“โอเคครับ คุณลู่” ทอมแสดงความยืดหยุ่นและความนอบน้อมอย่างเต็มที่ เขาไม่สนใจกับท่าทีเย็นชาของ ลู่หย่วนหมิง และรีบตอบกลับไปอย่างนอบน้อม
ขณะนั้นเอง มาร์ธา จูเลียน หญิงสาววัยสามสิบปี ซึ่งเป็นคนแรกที่คุกเข่าลงก่อนหน้านี้ ก็เอ่ยขึ้น “คุณลู่ ฉันชื่อ มาร์ธา จูเลียน ฉันเป็นครูสอนหนังสือในตระกูลขุนนาง ฉันรู้ว่าในตำนานและศาสนาของคุณ ล้วนมีพิธีกรรมบูชาเทพเจ้าและบรรพบุรุษอยู่ทั้งสิ้น จีนก็มีการเผาเงินกระดาษเช่นกัน ก่อนหน้านี้ เราคิดว่ามันเป็นเพียงพิธีกรรมทางศาสนา แต่ตอนนี้ เราอยู่บนโลกหลังความตายแล้ว มันจะเป็นไปได้ไหมว่าพิธีกรรมเหล่านั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณตื่นรู้ถึงความศักดิ์สิทธิ์”
“ผมไม่ได้เป็นเทพเจ้า และผมก็ไม่มีความศักดิ์สิทธิ์อะไรนั้นด้วย!”
ลู่หย่วนหมิงยืนยันอย่างหนักแน่น “เราควรยึดในหลักวิทยาศาสตร์สิ!”
ทุกคนต่างแสดงสีหน้าประหลาดใจ คาธูน จิตแพทย์เอ่ยขึ้นทันใด “คุณลู่ พลังของคุณใช้ได้ไม่จำกัดใช่หรือเปล่าครับ?”
ลู่หย่วนหมิงส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้ที่พลังจะใช้ได้ต่อเนื่องอยู่แล้ว ผมรู้ดีว่ามวลสารและพลังงานนั้นมีอยู่จริง ผมคิดว่าญาติของผมคงเผาเงินกระดาษ แล้วอธิษฐานขอพร จึงทำให้เกิดพลังศรัทธานี้ แล้วผมก็ได้รับพลังนี้บนโลกหลังความตาย แต่ว่าเรื่องกฎการแลกเปลี่ยนของพลังผม อันนี้ยังไม่ทราบ ต้องยอมรับตามตรงว่า ตอนนี้ผมสามารถใช้พลังแปลงเป็นน้ำและอาหารได้อีกสามครั้งเท่านั้น หลังจากนั้นผมก็จะไม่มีพลังเหลืออีกแล้ว”
ใบหน้าของเหล่าผู้คนในนั้นส่วนใหญ่เต็มไปด้วยความผิดหวังและความสิ้นหวังในทันที ขณะที่บาทหลวงชายรีบโค้งคำนับลู่หย่วนหมิงอย่างรวดเร็ว "พระเจ้าเอ๋ย ขอท่านอย่าได้เศร้าหมองเช่นนี้ ท่านสามารถเดินทางผ่านโลกมนุษย์และโลกหลังความตายได้ นี่คือสัญลักษณ์แห่งความศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว เพียงแต่ขาดผู้ศรัทธาเท่านั้น เราได้จากไปแล้ว คนที่จากไปแล้วคงไม่สามารถมอบความเชื่อให้ท่านได้ แต่คนที่มีชีวิตอยู่ได้ ท่านสามารถกลับไปยังโลกมนุษย์เพื่อหาผู้ศรัทธา ประกาศว่าวันสิ้นโลกกำลังจะมาถึง วันพิพากษากำลังจะมาถึง ท่านสามารถเผยแพร่ทางของท่านเอง นำพาผู้คนให้เดินบนทางของท่าน ทำให้ราชอาณาจักรของท่านตั้งอยู่บนโลกนี้ ความเชื่อนี้ก็จะส่งผลไปถึงโลกหลังความตายเช่นกัน"
"ใช่ ๆ คุณสามารถกลับไปหาคนเผาเงินกระดาษเยอะ ๆ ได้" ทอม รีบพูดอย่างร้อนรน
คนอื่น ๆ ก็พากันพูดในทำนองเดียวกัน
ลู่หย่วนหมิงพูดความจริงเกือบทั้งหมด เขาจำคำกล่าวที่ว่า "ความจริงใจคืออาวุธที่ร้ายแรงที่สุด" ได้ แต่เขาก็ไม่ได้บอกความจริงทั้งหมด เช่น หลังจากฆ่าสัตว์ประหลาด เขาก็สามารถดูดซับอนุภาคแสงสีขาว และใช้มันเพื่อเพิ่มพลัง เขาไม่ได้บอกเรื่องนี้ออกไป
แม้ว่าลู่หย่วนหมิงจะเป็นเพียงหนุ่มจบใหม่จากมหาวิทยาลัย แต่เขาก็ได้พบเจอกับความดำมืดของมนุษย์มาแล้ว เขาสั่งสมความคิดมากมายมาตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น
"อย่ากลัวจน แต่กลัวไม่เท่าเทียม" นี่คือคำสอนของบรรพบุรุษ
เขาสามารถเผยให้เห็นความพิเศษของตนเองได้ ตราบใดที่คนอื่นไม่สามารถมองเห็นอนุภาคแสงไร้สี ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากอนุภาคแสงไร้สีได้ เขาก็จะเป็นคนพิเศษ สามารถนำอาหารและอาวุธมาได้ ซึ่งจะทำให้เขามีคุณสมบัติเป็นผู้นำ
แต่ในขณะเดียวกัน หากมีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถแข็งแกร่งขึ้นได้หลังจากฆ่าสัตว์ประหลาด และคนอื่น ๆ รู้เรื่องนี้ มันก็จะเป็นอันตรายร้ายแรง
ถ้าพวกเรายังเป็นมดอยู่ คุณสามารถกลายเป็นผีเสื้อได้คนเดียว แล้วคนอื่น ๆ จะคิดยังไง?
ดังนั้น ลู่หย่วนหมิงจึงไม่บอกว่าเขาจะสามารถฟื้นคืนชีพจากสภาพผักได้เมื่อฆ่าสัตว์ประหลาด เขาเพียงแต่ยิ้มแล้วพูดว่า "ใช่ ผมมีแผนว่าจะทำแบบนั้นอยู่ แต่ร่างกายของผมในโลกมนุษย์ยังเป็นสภาพผักอยู่ แม้ว่าจะสามารถฟื้นฟูได้อย่างช้า ๆ และเริ่มมีสัญญาณแล้ว แต่ก็ต้องใช้เวลา นอกจากนี้ ผมอยากลองดูว่านอกจากการเผาเงินกระดาษแล้ว ญาติ เพื่อน หรือคนอื่น ๆ ที่รู้จักผม นึกถึงชื่อผม และเป็นห่วงผม จะทำให้เกิดพลังศรัทธาได้หรือเปล่า ไว้ผมจะลองทำดูหลังจากนี้"
ทุกคนต่างยิ้มออกมา แม้ว่าลู่หย่วนหมิงจะบอกว่าเขาสามารถสร้างอาหารได้อีกเพียงสามครั้ง แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือความหวัง และพวกเขาได้เห็นปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่กันแล้ว
ขณะนั้นเอง บาทหลวงชายจึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังและเคารพอย่างยิ่งว่า "เทพเจ้า! ผมชื่อ เอ็ดเวิร์ด เจมส์ เป็นผู้เผยแพร่ศาสนาของโบสถ์เซนต์จอห์น ขอท่านโปรดบอกทางแห่งท่านให้แก่ผม เพื่อผมจะได้ดำเนินตามทางนั้น และได้รับการไถ่บาป"
ลู่หย่วนหมิงรู้สึกงุนงง แต่บรรดาผู้คนรอบข้างกลับทำหน้าเคร่งขรึม แม้กระทั่งทอมผู้ที่แสดงออกเหมือนคนหัวรุนแรงก็ยังเป็นแบบนั้นเช่นกัน พวกเขายืนอยู่รอบ ๆ ลู่หย่วนหมิง แม้ว่าบางคนยังรู้สึกสงสัย แต่ต่างคนก็กลั้นหายใจ แสดงท่าทางดูจริงจังราวกับกำลังตั้งใจฟังอยู่จริง ๆ
(……คนยุโรปและอเมริกา มีความเชื่อเคร่งศาสนาแบบนี้กันหมดเลยเหรอ? แต่ฉันไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้เลย ไม่เข้าใจเรื่องพระคริสต์ คริสต์ศาสนา และสิ่งต่าง ๆ อะไรแบบนั้นเลยสักนิด…)
ลู่หย่วนหมิงแทบจะไม่รู้ว่าควรพูดอะไร
เขาไม่รู้ว่าพลังที่เขาแสดงออก และการช่วยเหลือที่นำอาหารมาในช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวังนั้น เป็นเพียงความหวังสุดท้ายของผู้คนที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น ในความเป็นจริง คนยุโรปและอเมริกันส่วนใหญ่ ไม่ได้เป็นผู้เคร่งศาสนา พวกเขาต่างก็ได้รับอิทธิพลจากคริสต์ศาสนา พระคัมภีร์ไบเบิล พระเยซูคริสต์ และอื่น ๆ มาแบบมากบ้างน้อยบ้าง
แม้แต่คนที่ยังคงสงสัย ก็ต่างหวังว่าจะได้อะไรจากลู่หย่วนหมิง
เผื่อว่า...
ถ้าลู่หย่วนหมิงคือเมสสิยาห์ตัวจริง แต่เขาเองก็ไม่รู้ตัวล่ะ?
ในขณะที่เมสสิยาห์เริ่มต้นการเทศนาครั้งแรก พวกเขาก็เปรียบเสมือนสาวกสิบสองของพระเยซูในอดีต นั่นเอง!
ลู่หย่วนหมิงมองไปที่สีหน้าของทุกคนที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง เขาจึงเพียงแค่ไอเบา ๆ อย่างช่วยไม่ได้ แล้วเริ่มกล่าวด้วยความจริงใจ ซึ่งเป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุด “สิ่งที่ผมยึดถือคือ…”
“ความมั่งคั่ง ความเป็นประชาธิปไตย อารยธรรม ความสามัคคี เสรีภาพ ความเท่าเทียม ความยุติธรรม การปกครองตามกฎหมาย ความรักชาติ ความอุตสาหะ ความซื่อสัตย์ และมิตรภาพ!”
“เราล้วนต้องเป็นคนมีชีวิตชีวา มีระเบียบวินัย มีน้ำใจ และขยันขันแข็ง!”
“เราล้วนต้องใช้สองมือสร้างความฝันและอนาคตของตน!”
“เราล้วนต้องไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก ไม่หวั่นต่อการเสียสละ ใช้พลังมนุษย์ต่อสู้กับอุปสรรคและอันตรายทั้งหมด!”
“โลกนี้ไม่มีผู้ช่วยเหลือ ผู้ปกครอง หรือพระเจ้า ไม่มีใครมาช่วยพวกเขา พวกเราต้องช่วยเหลือตัวเอง ค้นหาผู้คนมากขึ้น รวมพลังเป็นหนึ่งเดียว ก่อตั้งชุมชน ใช้พลังของพวกเราเพื่อบุกเบิกโลกหลังความตาย กำจัดปีศาจร้ายทุกตัว!”
ลู่หย่วนหมิงพูดกับทุกคนที่อึ้งตะลึงด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ “นี่แหละคือสิ่งที่ผมคิด และหวังว่าทุกคนจะทำตามด้วย”