ตอนที่ 15 : ความคืบหน้าของการรื้อถอน
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับกระพริบตา
ในวันที่ 25 มิถุนายน ผลการสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้รับการประกาศ ซึ่งทำให้ครอบครัวจำนวนมากต่างตื่นเต้นและกังวลใจกันทันที
ผลลัพธ์ของเจียงฉินเหมือนกับในชีวิตก่อนทุกประการด้วยคะแนน 653 และสามารถเข้ามหาวิทยาลัย 985 ได้อย่างไม่ต้องลุ้น แต่เขาต้องแสดงทำเป็นว่าตื่นเต้นให้พ่อกับแม่เห็น นี่ถือเป็นการทดสอบทักษะการแสดงของเขาสุดๆ
แต่คุณเจียงและคุณหยวนนั้นตื่นเต้นมาก
653 โอ้วววว!
คะแนนนี้สูงกว่าตอนที่เจียงฉินทำการสอบจำลองถึงยี่สิบคะแนน!
คุณหยวนโหย่วฉินถึงกับเดินทางไปที่ภูเขาไป๋หยุนทันที และไปยังวัดไป๋หยุนเพื่อถวายเครื่องหอมพร้อมทั้งแก้บนตามที่เคยขอไว้
ส่วนสหายเจียงเจิ้งหงมีความสุขจนแทบคลั่ง นั่งก็ไม่ได้ยืนก็ไม่ติด เอาแต่กำหมัดแล้วโบกไปมา ในที่สุดเขาก็ลากเจียงฉินไปชั้นล่างและวิ่งไปรอบๆ ชุมชนถึงสามรอบ
เจียงฉินสามารถเข้าใจความรู้สึกของพ่อกับแม่ได้เป็นอย่างดี เพราะในความคิดของคนวัยเดียวกันนี้ การสอบเข้ามหาวิทยาลัยถือเป็นจุดเริ่มต้นสู่หนทางแห่งความสำเร็จ เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิต เป็นโอกาสเดียวที่จะเปลี่ยนโชคชะตา ทั้งยังเป็นบันไดสู่ความรุ่งโรจน์และความมั่งคั่ง
แต่พวกเขาคงไม่สามารถจินตนาการได้ว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โลกใบนี้จะเต็มไปด้วยนักศึกษาปริญญาเอกและปริญญาโทเดินกันให้ควั่กเหมือนสุนัข
ในวันที่สามหลังจากประกาศผลสอบเข้ามหาวิทยาลัย เรื่องโครงการรื้อถอนก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง
ในตอนเช้าของวันที่ 28 มิถุนายน สำนักงานเขตของย่านฝานหัว หรงเฉิง ชุมชนซิ่งฝู และชุมชนหงหยุน ได้ทยอยโทรหาเจียงฉินกันทีละแห่ง พวกเขาอธิบายสั้นๆ เกี่ยวกับโครงการรื้อถอน และเชิญเขาเข้าไปเจรจาต่อรองกับทีมรื้อถอนที่จัดตั้งขึ้นเป็นพิเศษ
แม้ว่าเอกสารการรื้อถอนอย่างเป็นทางการจะยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ แต่โดยพื้นฐานแล้วการรื้อถอนนั้นเป็นเรื่องที่ได้รับการยืนยันค่อนข้างแน่ชัด
เพื่อเป็นการประหยัดเวลา ถนนทุกสายที่ได้รับผลกระทบจากโครงการปรับปรุงย่านเมืองเก่าจึงได้เริ่มเตรียมการล่วงหน้า
นี่ไม่ใช่เรื่องที่ควรนำไปป่าวประกาศให้โลกรู้
ในความเป็นจริง นอกจากเจ้าของบ้านที่ถูกรื้อถอนก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลย ซึ่งช่วยให้เจียงฉิน นักเรียนมัธยมปลายสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาได้มากมาย
ในอีกไม่กี่วันต่อมา เจียงฉินยังคงเดินทางกลับไปกลับมาที่สำนักงานเขตต่างๆ ฟังพวกเขาอ่านประกาศจากหน่วยงานระดับสูง และฟังเงื่อนไขการชดเชยซ้ำแช้วซ้ำเล่า
แม้ว่าสิ่งที่กล่าวถึงในแต่ละที่นั้นจะซ้ำกัน แต่ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งรู้สึกว่ามันช่างเพลิดเพลินเสียจริง
หลังจากออกหนังสือแจ้งรื้อถอนอย่างเป็นทางการแล้ว งานรื้อถอนจะเข้าสู่ขั้นตอนการเจรจา
ขั้นตอนนี้จะกินเวลานานที่สุด เนื่องจากมีคนโลภมากมาย โดยเฉพาะคนที่อาศัยอยู่ในอาคารโทรมๆ มานานหลายปี ชีวิตพวกเขาไม่เคยสุขสบายอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าเป็นไปได้พวกเขาก็อยากจะต่อรองให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่เจียงฉินเป็นคนที่รู้วิธีทำสิ่งต่างๆ ให้กลายเป็นเรื่องง่าย
เขาบอกตัวเลขที่ต้องการกับทางสำนักงานเขตไปตรงๆ โดยอิงตามอัตราสูงสุดที่เขาคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ แล้วบอกว่าถ้าตกลงก็ค่อยโทรหาเขาอีกที
จริงๆ แล้วมีเหตุผลสำคัญว่าทำไมเขาถึงทำเหมือนไม่ใส่ใจ นั่นคือ เมื่องานรื้อถอนเข้าสู่ขั้นตอนที่สอง คนที่เซ็นสัญญาก่อนก็จะได้สิทธิ์เลือกบ้านใหม่ก่อนใคร การได้เลือกทำเลดีๆ มันคุ้มค่ากว่าการมานั่งเสียเวลาเพื่อต่อรองขอเงินเพิ่มอีกสามหมื่นห้าหมื่นตั้งเยอะ
หลังจากเคี่ยวจนสุดทำเลดีๆ ก็ถูกยึดไปหมดแล้ว จะทำยังไงถ้าเหลือแต่ของที่คนอื่นไม่ต้องการ?
งั้นก็โทษที คุณคงต้องลุ้นเอาเอง
แต่ในเมื่อมีการเซ็นสัญญากันแล้ว คิดว่าจะยังมีใครรอรับใช้บรรพบุรุษของคุณต่อหรือไง?
นอกจากนี้ เขามีเหตุผลเร่งด่วนอีกหนึ่งประการ
เขาต้องการคืนเงิน
แม้ว่าเงินที่ใช้ซื้อบ้านจะถูกยืมมาจากเฟิงหนานซู แต่เงินก้อนนั้นเป็นของพ่อเธอและจนถึงตอนนี้ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นซึ่งก็หมายความว่าพ่อของเธอยังไม่ทราบ แต่ถ้ายิ่งยืดออกไปนานเท่าไหร่ความเสี่ยงก็ยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น เจียงฉินไม่รู้ว่าพ่อของเฟิงหนานซูเป็นคนแบบไหน เขาก็เลยไม่เต็มใจที่จะเสี่ยงกับเรื่องนี้
ถ้าได้รับเงินชดเชยเร็วและจ่ายคืนส่วนที่ยืมมาได้เร็วๆ มันก็จะเหมือนกับว่าเหตุการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้นเลย
หลังจากเสร็จสิ้นการดำเนินการเบื้องต้นเกี่ยวกับการรื้อถอนแล้ว เจียงฉินก็มีเวลาว่างหนึ่งวัน เขานอนอยู่ที่บ้านและตอบกลับข้อความ QQ ต่างๆ
กัวจื่อหังบอกว่าเขาได้ 472 คะแนน ส่วนเฟิงหนานซูบอกว่าเธอได้ 671 คะแนน
ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่กัวจื่อหังได้คะแนนเท่านี้ เนื่องจากเจ้าเหรียญสุนัขตัวนี้อยู่ในระดับต่ำสุด มันจึงยากที่จะได้เพิ่ม แต่ในฐานะที่เฟิงหนานซูเป็นเทพธิดาแห่งการเรียนและนักเรียนชั้นนำของรุ่น มันค่อนข้างน่าแปลกที่เธอทำคะแนนได้ไม่ถึงเจ็ดร้อย
แน่นอนว่าครูประจำชั้นห้องหนึ่งก็ไม่พอใจกับคะแนนและรู้สึกว่าต้องมีการตรวจคะแนนผิดพลาดแน่ๆ เขาจึงเข้าไปในเมืองตั้งแต่วันประกาศผลเพื่อตรวจสอบกระดาษคำตอบด้วยตัวเอง
ผลการตรวจสอบออกมาตรงกับที่ประกาศทุกอย่าง มันคือ 671 คะแนน ทว่าปัญหานั้นอยู่ในข้อสอบเรียงความภาษาจีน เฟิงหนานซูได้แค่ 12 คะแนนจากคะแนนเต็ม 60 คะแนน
แล้วหัวข้อของเรียงความในปีนี้คืออะไร?
เจียงฉินเพิ่งกลับมาเกิดใหม่และแทบจะลืมความทรงจำนี้ไปนานแล้ว ดังนั้นเขาจึงเข้าไปตรวจสอบมันในอินเทอร์เน็ต ผลสุดท้ายก็คือหัวเราะจนตัวงอเลยทีเดียว
เกี่ยวกับมิตรภาพจริงดิ?
เธอไม่มีเพื่อนด้วยซ้ำ คุณขอให้เธอเขียนเกี่ยวกับมิตรภาพงั้นเหรอ?
นี่มันก็เหมือนกับการขอให้หนูมาเขียนบทความเกี่ยวกับความรู้สึกหลังจากเล่นกับแมวเลยไม่ใช่หรือไง?
ไม่เสียเปล่า 12 คะแนนที่ได้มาถือว่าไม่เสียเปล่าเลยจริงๆ คงได้มาเพราะกระดาษคำตอบดูสะอาดเรียบร้อยนั่นแหละ
“ห้ามหัวเราะ”
บนชั้นสองของห้องสมุดเมืองจี้โจว นั่งอยู่ในตำแหน่งที่คุ้นเคย เฟิงหนานซูรู้สึกเหมือนหมดหวังกับชีวิตไปแล้ว: “ฉันลองคิดอย่างละเอียดแล้ว อันที่จริงเรื่องนี้เป็นความผิดของนาย”
เจียงฉินมีเครื่องหมายคำถามบนใบหน้า: “ก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัยเรายังไม่รู้จักกัน เรื่องที่เธอเสียคะแนนมันเกี่ยวอะไรกับฉัน?”
“แต่ถ้าฉันรู้จักนายเร็วกว่านี้ ฉันก็คงจะเขียนมันได้”
“ในเมื่อเธอพูดแบบนั้น สมมติว่าถ้าตอนนี้เธอกำลังสอบเข้ามหาวิทยาลัยอยู่ เธอจะเขียนเรียงความเรื่องนี้ว่ายังไง”
เฟิงหนานซูเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม: “ฉันได้รู้จักเพื่อนคนหนึ่งในห้องสมุด เขาเป็นคนจนน่าสงสาร ชอบมองหน้าอก…”
“สต๊อป!”
เจียงฉินขัดจังหวะการเขียนเรียงความสดๆ ของเธออย่างกะทันหัน: “ภาพลักษณ์ของฉันในใจเธอเป็นแบบนี้เหรอ?”
“ไม่ใช่…เหรอ?” เฟิงหนานซูกระพริบตาด้วยความสับสน
“ถ้าเขียนแบบนี้จริงๆ สิบสองคะแนนสุดท้ายเธอคงจะไม่ได้มันด้วยซ้ำ”
เฟิงหนานซูก้มศีรษะลงและกลับสู่สภาวะสิ้นหวังอีกครั้ง: “หรือว่าฉันจะมีเพื่อนที่เอาออกไปอวดคนอื่นไม่ได้?”
ใบหน้าของเจียงฉินกระตุก: “ยังไงก็ตาม การสอบมันจบลงแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะคิดถึงเรื่องนี้อีก”
“ฟังดูสมเหตุสมผลดี…”
“ทำไมคุณหนูจากตระกูลร่ำรวยอย่างเธอถึงต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยด้วยล่ะ? ไปเรียนต่างประเทศไม่ดีกว่าเหรอ?”
เฟิงหนานซูเงยหน้าขึ้น ขนตาเรียวยาวและโค้งงอนของเธอสั่นเล็กน้อย: “เด็กสาวขี้อายที่ไม่รู้วิธีเข้าสังคมจะเสียชีวิตหากเธอถูกส่งไปต่างประเทศ”
“...”
เอาเข้าจริงเจียงฉินไม่ได้คาดคิดถึงเรื่องนี้เลยและมองว่าเธอเป็นลูกคุณหนูทั่วไป แต่ถ้าลองคิดเกี่ยวกับมันจากมุมมองของเฟิงหนานซู การไปเรียนต่อต่างประเทศดูเป็นเรื่องยากมากเลยทีเดียว
ต่างประเทศชอบโฆษณาอวดอ้างเรื่องเสรีภาพและประชาธิปไตยอยู่ตลอดเวลา แต่สังคมกลับวุ่นวายอลหม่านไปหมด นอกจากนี้ในอเมริกายังมีการยิงกันอย่างเสรีทุกวัน คนทั้งประเทศมีแค่ 370 ล้านคน แต่ปืนจดทะเบียนกลับมีตั้ง 390 ล้านกระบอก เฉลี่ยแล้วครอบครัวสามคนมีปืนถึงสี่กระบอก นี่วางแผนจะมีลูกคนที่สองกันหรือไง?
การโยนเด็กสาวซื่อบื้อโดยธรรมชาติและหวาดกลัวสังคมอย่างเฟิงหนานซูเข้าไปในสภาพแวดล้อมแบบนั้นก็เหมือนกับการโยนลูกแกะเข้าไปในฝูงหมาป่า
“ไม่ต้องคิดมากหรอก อันที่จริงมหาวิทยาลัยในจีนก็ค่อนข้างดี เธอวางแผนจะเข้ามหาวิทยาลัยไหนล่ะ?”
“แล้วนายล่ะจะเข้าที่ไหน?”
เธอถามกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย แพขนตาของเธอถูกแสงแดดที่สาดส่องเข้ามาย้อมให้เป็นสีทอง
(จบตอน)