MDB ตอนที่ 509 เฟิงจือเฉียนมาเยือน
นักเรียนส่วนตัวของหลินจินมาถึงเมื่อรุ่งสาง
เนื่องจากความโกลาหลที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ทำให้บรรดานักเรียบของสถาบันฯต่างทราบเรื่องนี้กันถ้วนหน้า
หลี่ซินฉีและคนอื่น ๆ ต่างก็ทราบข่าวเช่นกัน แต่พวกเขาไม่รู้รายละเอียดมากนัก พวกเขารู้แค่ว่าหลินจินถูกโจมตี
ดังนั้นสิ่งแรกที่พวกเขาทำคือถามถึงความเป็นอยู่ของเขา หลินจินทำตัวตามปกติ พร้อมกับตรวจสอบพวกเขาทั้งหมดอย่างลับ ๆ
ตลอดทั้งเช้าหลินจินล้มเหลวในการสังเกตเห็นเบาะแสใด ๆ
สายลับคนนี้มีทักษะการแสดงที่เหลือเชื่อ หรือไม่ก็ลูกศิษย์ของเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้อะไรจากการปฏิกิริยาของพวกเขาเลย
การไม่พบความผิดปกติใด ๆ ถือเป็นเรื่องดีไปอีกแบบเช่นกัน เพราะว่าหลินจินไม่ต้องการเห็นคนใกล้ตัวของเขาเป็นคนร้าย
ในช่วงบ่าย เฟิงจือเฉียนปรากฏตัวขึ้นโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า ทำให้หลินจินประหลาดใจเล็กน้อย
เฟิงจือเฉียนเข้ามาในสถาบันฯโดยตั้งใจว่าจะมาเข้าพบภัณฑารักษ์ เขาจึงรู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องมาหาเขาในสักวันหนึ่ง
หลินจินประกาศต่อสาธารณชนว่าเขาไม่สบาย และจะไม่ออกจากบ้านเว้นแต่จะมีเหตุฉุกเฉิน พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเฟิงจือเฉียนหาข้ออ้างอะไรเพื่อเข้ามา แต่เมื่อเขาเคาะประตู หลินจินก็จำอีกฝ่ายได้ทันที
อย่างไรก็ตาม หลินจินต้องแสร้งทำเป็นว่าพวกเขาเป็นคนแปลกหน้า
ท้ายที่สุดแล้ว มีเพียง 'ภัณฑารักษ์' เท่านั้นที่รู้จักเฟิงจือเฉียน ไม่ใช่หลินจิน
“ท่านคือผู้ประเมินหลินใช่หรือไม่?” เฟิงจือเฉียนสวมเสื้อผ้าหรูหรา และมีมารยาทดี องค์รักษ์หลายคนยืนอยู่ห่างจากเขาประมาณร้อยเมตร
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเฟิงจือเฉียนเป็นคนสั่งพวกเขาให้รักษาระยะห่าง
หลินจินมองดูรูปร่างหน้าตาของเขา ก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้ม
“ใช่แล้ว และท่านคือ…”
“เพื่อน เป็นเพื่อนของท่านยังไงล่ะ” เฟิงจือเฉียนหัวเราะเบา ๆ จากนั้นเขาก็กระซิบว่า “ข้าเป็นผู้เยี่ยมชมของห้องโถงเยี่ยมชม เรามาคุยกันข้างในกันดีกว่า”
เขาทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ อย่างกับสายลับในหนังไม่มีผิด
หลินจินพยักหน้าก่อนจะมองไปที่องค์รักษ์ที่อยู่ด้านหลังเฟิงจือเฉียน ซึ่งเฟิงจือเฉียนได้รับรองว่า
“ไม่ต้องกังวล ผู้ประเมินหลิน ข้าได้สั่งพวกเขาไปแล้วว่าให้ยืนห่างจากที่นี่ และอย่าก้าวเข้ามาใกล้เป็นอันขาด”
หลังจากเข้าไปในตัวบ้านและปิดประตูแล้ว เฟิงจือเฉียนก็สำรวจบริเวณโดยรอบ
“บ้านหลังนี้สวยทีเดียวนะ ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมาก แต่ก็หรูหราพอใช้ได้ ข้าชอบที่นี่มาก ข้าควรมาเยี่ยมเยียนที่นี่บ่อย ๆ”
จากนั้น เขาเอนตัวเข้ามาใกล้เพื่อถามว่า
"ผู้ประเมินหลิน ภัณฑารักษ์อยู่แถวนี้หรือไม่?"
หลินจินเข้าใจเจตนาของเฟิงจือเฉียน เขาจึงตอบกลับไปว่า
“ไม่มีใครรู้ที่อยู่ของภัณฑารักษ์ รวมถึงข้าด้วย นอกจากนี้ ท่านต้องระวังคำพูดหน่อย ข้าเกรงว่า…”
ก่อนที่หลินจินจะพูดจบ เสียงของซูเสี่ยวหลัวก็ดังขึ้น
"ทำไม? มีอะไรที่เจ้ากังวลงั้นเหรอ?"
หลินจินรู้ดีว่าเขาไม่มีทางซ่อนตัวจากหูของซูเสี่ยวหลัวได้ แม้แต่สถาบันฯยังมีอสูรหกตาหกหูที่สามารถได้ยินทุกอย่าง แต่หลินจินรู้สึกว่าหูของซูเสี่ยวหลัวนั้นเหนือกว่ามาก
ด้วยการปรากฏตัวของเธอ มันก็ทำให้เฟิงจือเฉียนตกใจเช่นกัน แต่หลังจากสังเกตเห็นว่าเธอเป็นหญิงสาวในชุดสีแดงที่มีรูปลักษณ์ที่ไม่มีใครเทียบได้ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจของเฟิงจือเฉียนทันที และเขาก็ส่งยิ้มอย่างรู้ใจให้หลินจิน
“ขอคารวะ คุณนายหลิน ข้ามีชื่อว่าเฟิงจือเฉียน”
ตอนนี้กลับกลายเป็นซูเสี่ยวหลัวที่กำลังอ้าปากค้างแทน เธอคงไม่เคยเจอใครที่เหมือนกับเฟิงจือเฉียนเลย หลังจากที่ใช้ชีวิตในสถาบันฯมาห้าร้อยปี เขาไม่รู้เหรอว่าอาจารย์ไม่ได้รับอนุญาตให้พาสมาชิกในครอบครัวเข้ามาในบริเวณโรงเรียน แถมยังอยู่กินด้วยกันอีกต่างหาก
เฟิงจือเฉียนไม่ได้คิดเรื่องนั้นมากนัก เขาคิดไปเองว่าหลินจินกำลังซ่อนภรรยาสาวของเขาไว้ในบ้านที่หรูหราของเขา แม้ว่าคุณนายหลินจะเป็นผู้หญิงที่สวยราวกับนางฟ้า แต่เฟิงจือเฉียนไม่คิดจะแตกต้องผู้หญิงแม้แต่ในความคิด
ตำแหน่งปัจจุบันของเขาในราชสำนักนั้นไม่เอื้ออำนวยอย่างยิ่ง การแข่งขันเพื่อชิงบัลลังก์อาจดูสงบ แต่ตอนนี้มันได้เข้าสู่ช่วงเข้มข้นแล้ว เฟิงจือเฉียนกำลังถูกผลักจนมุม ดังนั้นเขาจึงต้องมาขอความช่วยเหลือจากหลินจิน แม้ว่าห้องโถงเยี่ยมชมจะเปิดในคืนนี้ แต่เขาไม่สามารถรอจนถึงตอนนั้นได้ เขาต้องการความช่วยเหลือทันที
ในภาวะเร่งด่วนเช่นนี้ จึงไม่แปลกที่เฟิงจือเฉียนจะไม่มีเวลามานั่งน้ำลายไหลกับผู้หญิง ไม่ว่าพวกเธอจะสวยแค่ไหนก็ตาม
“ผู้ประเมินหลิน เนื่องจากภัณฑารักษ์ไม่อยู่ที่นี่ ข้าจึงขอความช่วยเหลือจากท่านได้เท่านั้น”
เฟิงจือเฉียนคาดการณ์เอาไว้แล้ว สัญชาตญาณของเขาบอกเขาว่าภัณฑารักษ์ไม่น่าจะอยู่ที่นี่ ดังนั้นเขาจึงมาเพื่อพบกับหลินจินเป็นหลัก
“เมื่อวานนี้ เอกราชทูตจากดินแดนพันเกาะแห่งทวีปบูรพามาถึงเมืองหลวงของเราเพื่อแสวงหาสันติภาพกับอาณาจักรเกลียวสวรรค์ของเราผ่านการแต่งงาน พวกเขายังพาหญิงสาวมาด้วยโดยบอกว่าเธอเป็นเจ้าหญิงของดินแดนพันเกาะ” เฟิงจือเฉียนเริ่มอธิบาย
เมื่อถึงตรงนี้ หลินจินส่ายหัวและพูดขึ้นว่า
“แล้วทำไมท่านถึงถามหาข้าล่ะ?”
ใช่แล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับหลินจินเลยแม้แต่น้อย
“ผู้ประเมินหลิน โปรดฟังข้าให้จบก่อน” เฟิงจือเฉียนพูดด้วยท่าทีวิตกกังวล ไม่นาน หลินจินก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในที่สุด
ดินแดนพันเกาะเป็นประเทศชั้นนำที่มีสถานะเทียบเท่ากับอาณาจักรเกลียวสวรรค์ แม้ว่าประเทศนี้จะมีขนาดเล็กกว่าเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีใครกล้าดูถูกพวกเขา
พวกเขามาที่นี่เพื่อขอแต่งงาน และมีข่าวลือว่าจักรพรรดิของทั้งสองประเทศตกลงกันเรื่องนี้เมื่อประมาณสิบปีก่อน
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการเลือกเจ้าบ่าวที่เหมาะสมในหมู่เจ้าชายได้
มันต้องมีบางอย่างแปลก ๆ เกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะไม่มีใครรู้เจตนาของจักรพรรดิแห่งอาณาจักรเกลียวสวรรค์ การแต่งงานครั้งนี้จะเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษต่อเจ้าชายที่ถูกเลือกหรือไม่? ไม่มีใครรู้
อาจเป็นผลดีเพราะเจ้าชายคนดังกล่าวจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับดินแดนพันเกาะ ด้วยการสนับสนุนของประเทศชั้นนำ โอกาสที่เขาจะครองบัลลังก์ และปกครองอาณาจักรเกลียวสวรรค์ก็จะเพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ได้รับประกัน ไม่มีใครรู้ว่าจักรพรรดิแห่งอาณาจักรเกลียวสวรรค์คิดอย่างไรกับดินแดนพันเกาะ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาถูกสังเวยทันทีหลังแต่งงาน หรือจะเกิดอะไรขึ้นถ้าความตึงเครียดเกิดขึ้นกับดินแดนพันเกาะในภายหลัง นั่นจะทำให้องค์ชายพลาดโอกาสในการขึ้นครองบัลลังก์อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ผู้สนับสนุนของเฟิงจือเฉียนจำนวนมากพยายามวิเคราะห์สถานการณ์ และคิดว่าความเป็นไปได้แรกน่าจะเป็นไปได้มากกว่า กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เขาต้องจัดงานแต่งงานนี้ให้ได้ เพื่อชิงความได้เปรียบ
นี่อาจเป็นการทดสอบของจักรพรรดิเพื่อดูว่าลูกชายของเขาจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร
นอกจากนี้ ดินแดนพันเกาะยังนำสัตว์หายากมาด้วยเพื่อถวายเป็นเครื่องบรรณาการ ตามคำบอกเล่าของจักรพรรดิ พระองค์จะไม่เข้าร่วมงานเลี้ยงที่จัดขึ้นในคืนนี้ เหล่าองค์ชายจะเป็นผู้รับผิดชอบแทน และแน่นอนว่าจะต้องเกิดความท้าทายขึ้นเมื่อพวกเขาต้องประเมินสัตว์หายากที่ดินแดนพันเกาะนำมา
ดังนั้น เฟิงจือเฉียนจึงต้องการผู้ประเมิน
แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า เขาควรพาใครมา?
สำนักงานใหญ่แห่งนี้มันต่างจากสำนักงานใหญ่ในสถานที่อื่น แม้แต่จักรพรรดิแห่งอาณาจักรเกลียวสวรรค์ก็ไม่สามารถสั่งการพวกเขา พวกเขาไม่ต่างจากองค์กรอิสระเลย
“อาณาจักรเกลียวสวรรค์ของเราไม่สามารถเสียหน้าในงานเลี้ยงนี้ได้ ท่านพ่อปฏิเสธที่จะเข้าร่วมเพียงเพราะต้องการทดสอบเครือข่ายและความสามารถของพวกเรา
ข้าสามารถจ้างผู้ประเมินระดับสามได้ แต่ไม่สามารถจ้างระดับสี่ได้ แต่พี่ชายคนโตและพี่ชายคนรองของข้า จะต้องว่าจ้างระดับสี่มาได้อย่างแน่นอน
และหลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว ข้าก็ทำได้เพียงแค่ขอให้ผู้ประเมินหลินช่วยข้าเท่านั้น”
เฟิงจือเฉียนเผยสีหน้าหนักใจออกมา ดูจากท่าทางแล้ว เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องขอความช่วยเหลือจากหลินจิน
ตอนนี้หลินจินเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดแล้ว
อย่างไรก็ดี มีเรื่องหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจ องค์ชายสามมีสถานะที่น่าเคารพนับถือของอาณาจักรสวรรค์เกลียวกลับไม่สามารถจ้างผู้ประเมินระดับสี่ได้ เรื่องแบบนี้มันเป็นไปได้อย่างไรกัน
แต่พอคิดดูอีกที ผู้ประเมินระดับสี่ถือว่ามีสถานะที่ไม่ต่ำกว่าองค์ชายเลย
ในทวีปยูไนเต็ด มีผู้ประเมินระดับสี่ราว ๆ ยี่สิบคนเท่านั้น แม้ว่าจะมีผู้ประเมินที่ช่ำชองคนอื่น ๆ ก็ตาม แต่บางคนก็หลบซ่อนตัวและแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะติดตาม
ผู้ประเมินระดับสี่สามารถพลิกสถานะของจักรพรรดิในประเทศกลางได้อย่างง่ายดาย เนื่องจากพวกเขาสามารถช่วยส่งเสริมสัตว์เลี้ยงไปถึงระดับห้าได้
ด้วยเหตุนี้เอง แม้แต่ราชวงศ์ของอาณาจักรเกลียวสวรรค์ก็ยังต้องแสดงเคารพต่อผู้ประเมินระดับสี่