บทที่ 65 ร่างแท้ของชวีเหลียงหง, วิชาควบคุมปราณ
บทที่ 65 ร่างแท้ของชวีเหลียงหง, วิชาควบคุมปราณ
เมื่อเห็นหลี่จิ้งไปคุ้ยเศษซากอิฐปูนคนเดียว ลู่หยางเฉิงกับอี้ซิวจู่สบตากันแล้วเดินเข้าไปช่วย
ระหว่างที่กำลังค้นหา ลู่หยางเฉิงชำเลืองมองสี่คน "ผู้โชคดี" ที่นั่งตัวสั่นอยู่ริมถนน แล้วถามเสียงเบา
"หลี่จิ้ง นาย...ระดับสามแล้วงั้นเหรอ?"
"อืม"
หลี่จิ้งตอบอย่างไม่ใส่ใจ
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป
เพื่อรับมือกับผู้ฝึกตนนอกรีต เขาได้เปิดเผยทุกอย่างที่ควรเปิดเผยไปแล้ว
การพยายามปกปิดมากเกินไป อาจจะไม่เป็นผลดีนัก
เมื่อได้รับคำตอบยืนยันจากหลี่จิ้ง ลู่หยางเฉิงถึงกับตาโต
เมื่อครู่เขากับอี้ซิวจู่อยู่ที่บาร์ใกล้ๆ ที่ไม่ได้เข้าไปช่วยเพราะไต้หงสั่งให้ทั้งสองคนไม่ต้องเข้าไปเสี่ยงอันตราย ให้ดูแลความปลอดภัยของประชาชนในที่เกิดเหตุเป็นหลัก
แต่การปะทะกันระหว่างหลี่จิ้งกับผู้ฝึกตนนอกรีตนั้นเกิดเสียงดังมาก ทั้งสองคนรับรู้ได้บ้าง
พลังที่แผ่ออกมานั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นพลังระดับที่สาม
ตอนนี้ได้รับการยืนยัน ลู่หยางเฉิงถึงกับไม่อยากเชื่อ
เมื่อครึ่งเดือนก่อนตอนสอบเข้าแผนกผู้ช่วยตรวจการ หลี่จิ้งยังอยู่ที่ระดับสองขั้นต้นเท่านั้น
ทำไมถึงเลื่อนสู้ระดับที่สามได้เร็วขนาดนี้?
ลู่หยางเฉิงมองหลี่จิ้งด้วยความสงสัย อยากจะถามอะไรสักอย่าง
แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก อี้ซิวจู่ก็พูดขึ้น
"เรื่องการฝึกฝนนั้น แต่ละคนก็มีโชคชะตาของตัวเอง บางคนรู้แจ้งในพริบตา บางคนก็สั่งสมมานาน เรื่องของคนอื่นไม่ควรถามมาก แม้เราทั้งสามจะเป็นเพื่อนกัน แต่สิ่งที่ไม่ควรถามก็อย่าถามเลย"
ลู่หยางเฉิงได้ยินดังนั้นก็ชะงัก แล้วพยักหน้าอย่างเก้อเขิน
เรื่องนี้ เขาไม่ควรถามจริงๆ
อี้ซิวจู่เห็นว่าเขาไม่พูดอะไรอีก จึงมองมาที่หลี่จิ้ง
"ที่พูดมาก็ถูก แต่หลี่จิ้ง ต่อไปในแผนกผู้ช่วยตรวจการ นายควรระวังตัวหน่อย การเลื่อนระดับพลังของนายไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ใครฟัง รุ่นเดียวกับเราก็มีตั้งหลายคน คนที่อยู่ในที่เกิดเหตุวันนั้นก็รู้ว่าเธออยู่ระดับสองขั้นต้น พอพวกเขารู้ว่านายขึ้นขั้นสามในเวลาสั้นๆ อาจจะมีคนนินทาได้"
"เรื่องพวกนี้ฉันเข้าใจ ต่อหน้าคนนอกฉันจะระวังตัว"
หลี่จิ้งยิ้ม
เหมือนที่อี้ซิวจู่พูด
การเลื่อนระดับพลังของเขาไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ใครฟัง
นี่เป็นเพราะโลกนี้ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวในการฝึกฝนมาก
อย่างแบบฟอร์มที่ทั้งสามคนกรอกตอนสอบเข้าแผนกผู้ช่วยตรวจการ แม้จะมีข้อมูลเยอะ แต่คนที่มีสิทธิ์ดูได้มีแค่ไม่กี่คนรวมถึงกรรมการสอบ
หลังการสอบ เอกสารจะถูกเก็บเข้าแฟ้ม
แม้แต่สำนักตรวจการจะขอดูก็ต้องมีเหตุผลที่ชอบธรรม
แต่ถ้าเขาไปทำเรื่องวุ่นวายจนทุกคนรู้เข้า ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดสถานการณ์บางอย่าง
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลก คือจิตใจของคน
คนที่ชอบนินทาลับหลังผู้อื่นมีไม่น้อย และยังมีคนที่อิจฉาริษยาเมื่อเห็นคนอื่นประสบความสำเร็จ
อี้ซิวจู่เตือนหลี่จิ้งแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก ก้มหน้าค้นหาในซากปรักหักพัง
ขณะที่กำลังค้นหาอยู่นั้น จู่ๆ ลู่หยางเฉิงก็ร้อง "แม่เจ้า!" เหมือนแมวตกใจจนขนลุก กระโดดถอยหลังไปสามเมตรกว่า
???
หลี่จิ้งหันไปมอง ส่งเครื่องหมายคำถามสามอันซ้อนกัน
?
อี้ซิวจู่ก็งุนงงไม่แพ้กัน
เมื่อเจอสายตาของทั้งสองคน ลู่หยางเฉิงที่ยืนอยู่ไกลๆ ชี้ไปที่จุดที่เขาเพิ่งยืนอยู่ด้วยมือที่สั่นเทา
"งู...งู!"
งู?
หลี่จิ้งชะงักเล็กน้อย จากนั้นตาก็เป็นประกาย รีบก้าวเข้าไป
เมื่อมาถึงจุดที่ลู่หยางเฉิงชี้ เขาก็เห็นงูตัวใหญ่เท่าแขนซ่อนอยู่ใต้เศษซากปรักหักพังภายใต้แสงจันทร์
ไม่คิดอะไรมาก หลี่จิ้งยื่นมือคว้างูแล้วดึงขึ้นมา
"ฮ่า" เสียงดัง งูถูกดึงออกมาจากซากปรักหักพัง เผยร่างที่แท้จริง
งูมีความยาวประมาณสองเมตร
เมื่อถือไว้ในมือ มันยาวกว่าหลี่จิ้งที่สูงหนึ่งเมตรแปดสิบเซนติเมตรอยู่เล็กน้อย
ที่ช่วงท้องของงู สามารถเห็นด้ามดาบที่เสียหายอย่างหนักปักอยู่ตรงนั้น
เมื่อเห็นด้ามดาบ หลี่จิ้งรู้สึกเจ็บใจ
น่าเสียดายดาบเหล็กมาตรฐานของเขา หลังจากบ่มเพาะมากว่าหนึ่งสัปดาห์เพิ่งจะได้ 59% ยังไม่ทันได้เลื่อนระดับคุณภาพก็ถูกหลอมละลายไปเสียแล้ว
อาวุธธรรมดาก็คืออาวุธธรรมดา
สามารถรองรับปราณวิญญาณได้ แต่ต้านทานการโจมตีจากวิชาอาคมขั้นสูงไม่ได้
ตอนนี้ อี้ซิวจู่เดินเข้ามา
"นี่คือชวีเหลียงหงงั้นเหรอ?"
"เป็นเธอไม่ผิดแน่"
หลี่จิ้งตอบ พลางตรวจสอบงูในมือ สายตาหยุดอยู่ที่หางของมันแล้วเลิกคิ้ว
ที่หางของงู มีแผ่นเกล็ดโปร่งแสงเป็นแถว
ลักษณะพิเศษที่ชัดเจนเช่นนี้ ชี้ไปที่งูพิษชนิดหนึ่งที่มีชื่อเสียงมาก
งูหางกระดิ่ง
ในระดับระบบนิเวศ ประเทศหลงอวีไม่มีงูหางกระดิ่ง
คาดว่าชวีเหลียงหงเดิมเป็นงูเลี้ยง ก่อนที่จะฝึกฝนจนสำเร็จก็ถูกนำเข้ามาในประเทศ
สิ่งมีชีวิตที่กลายร่างเป็นปีศาจ โดยปกติจะไม่ออกจากที่อยู่อาศัยของตน
แม้จะฝึกฝนจนสำเร็จและแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ ก็จะกลมกลืนเข้ากับสังคมมนุษย์ในบริเวณใกล้เคียง
นอกจากจะถูกบีบบังคับ ปีศาจจะไม่เลือกที่จะจากบ้านเกิดไปไกลจากสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย
ขณะที่คาดเดาถึงที่มาของชวีเหลียงหงอยู่นั้น หลี่จิ้งก็จ้องมองที่เกล็ดบนหางของมัน
เดิมทีเขาคิดว่าชวีเหลียงหงเรียนรู้วิธีหลอกล่อผู้คนบางอย่าง โดยยังไม่ชำนาญนัก
แต่พอตอนนี้ได้ยืนยันร่างที่แท้จริงของเธอ ความจริงก็กระจ่างแล้ว
ที่งูหางกระดิ่งถูกเรียกว่างูหางกระดิ่ง เพราะหางของมันจะส่งเสียงสั่นไปมา
เสียงสั่นมีประโยชน์หลายอย่าง รวมถึงการล่อและหลอกเหยื่อที่อ่อนแอ
จากนี้สามารถสรุปได้ว่า ชวีเหลียงหงไม่ได้เรียนรู้วิธีการบางอย่าง แต่เป็นพรสวรรค์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิด
ไม่แปลกที่วิธีการของเธอมีข้อจำกัดมาก เป็นเพียงรูปแบบคล้ายการสะกดจิตเท่านั้น
การใช้เสียงสั่นของหางเพื่อล่อและหลอกเหยื่อที่อ่อนแอถือเป็นพรสวรรค์ของงูหางกระดิ่งก็จริง แต่โดยพื้นฐานแล้วไม่มีพลังหลอกล่อมากนัก
พูดถึงพรสวรรค์ พิษต่างหากคือพรสวรรค์ที่แท้จริงของชวีเหลียงหงในฐานะปีศาจงู
เมื่อเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว หลี่จิ้งหัวเราะแล้วมองไปทางลู่หยางเฉิงที่ยังมีสีหน้าหวาดกลัว
"งูปีศาจตัวนี้ตายไปแล้ว นายเป็นผู้ชายตัวโตจะกลัวทำไม?"
ลู่หยางเฉิงขยับริมฝีปากแต่ไม่พูดอะไร ยืนอยู่ที่เดิมทำท่าไม่คิดจะเข้ามาใกล้
หลี่จิ้งเห็นดังนั้นก็ยิ้มขำ
กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แสงกระบี่สว่างจ้าก็พุ่งผ่านท้องฟ้ามาตกลงใกล้ๆ
เมื่อแสงจางหายไป ร่างของไต้หงก็ปรากฏขึ้น
เมื่อเห็นหลี่จิ้งปลอดภัยดี ไต้หงแสดงสีหน้าโล่งอกอย่างชัดเจน มองเขาด้วยความประหลาดใจ
"ระดับที่สามแล้วงั้นเหรอ?"
"ครับ"
หลี่จิ้งพยักหน้า
"ไม่เลว"
ไต้หงพูดแล้วเดินเข้ามา
"ระดับที่สามเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญบนเส้นทางการฝึกฝน จะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงด้านคุณภาพของพลังครั้งแรก มีเรื่องที่ต้องระวังมากมาย เรื่องอื่นๆ ฉันสอนนายไม่ได้ ได้แต่ให้นายค่อยๆ เรียนรู้เอง แต่ในฐานะรุ่นพี่ ฉันขอเตือนนายสักประโยค ต่อไปอย่าเพิ่งรีบเรียนวิชาโจมตีและป้องกันระดับสาม"
พูดพลางเล่าต่อ
"พวกวิชาฟุ่มเฟือยเหล่านั้นไม่มีประโยชน์มากนักสำหรับนายในตอนนี้ การเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงด้านคุณภาพของพลังครั้งแรก ต้องใช้เวลานานพอสมควรในการปรับตัว สิ่งที่นายต้องการตอนนี้คือวิชาเสริมที่จะช่วยให้ปรับตัวได้เร็วขึ้น ในบรรดาวิชาเสริม ฉันขอแนะนำวิชาควบคุมปราณ แค่นายฝึกวิชาควบคุมปราณจนถึงระดับแรกเริ่ม ก็จะสามารถปรับตัวเข้ากับพลังใหม่ได้แล้ว"
ตอนนี้หลี่จิ้งเองก็รู้สึกว่าปรับตัวกับพลังที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วไม่ได้จริงๆ การควบคุมน้ำหนักในการร่ายคาถายังทำได้ยาก การเปลี่ยนแปลงระดับพลังในร่างกายก็ทำให้เขารู้สึกไม่สบายตัวอีกด้วย
ความรู้สึกนี้ เหมือนกับทารกแรกเกิดที่ยังเดินไม่ได้แต่จู่ๆ ก็มีร่างกายของผู้ใหญ่
เขาพอจะยืนได้ แต่หัวก็หนัก เท้าก็เบาทรงตัวไม่มั่นคงนัก
ได้ยินคำเตือนของไต้หง หลี่จิ้งรับฟังอย่างถ่อมตน แต่ก็ถามเสียงอ่อย
"หัวหน้าไต้ครับ วิชาควบคุมปราณที่คุณพูดถึง...มันแพงไหมครับ?"
"..."
ไต้หง
เขาวางตัวเป็นรุ่นพี่สอนประสบการณ์ให้หลี่จิ้ง ย่อมเตรียมพร้อมที่จะตอบคำถาม
หลี่จิ้งก็ถามจริงๆ แต่คำถามนี้พูดตามตรงแล้วค่อนข้างแปลก
พอเจอกันก็ถามว่าวิชาควบคุมปราณแพงไหม จำเป็นขนาดนั้นเลยหรือ?
อี้ซิวจู่กับลู่หยางเฉิงเห็นหลี่จิ้ง "จริงจัง" ขนาดนี้ ก็รู้สึกอึ้งไปเหมือนกัน
เมื่อมีผู้เชี่ยวชาญระดับสี่มายืนอยู่ตรงหน้า ไม่ควรถามอะไรที่มีประโยชน์กว่านี้หรอกเหรอ?
อย่างน้อยสิ่งที่ไต้หงพูดเมื่อครู่ก็เป็นความรู้ที่ไม่มีสอนในสถาบัน
ต่างจากหลี่จิ้ง อี้ซิวจู่กับลู่หยางเฉิงต่างก็เคยเข้าเรียนในสถาบัน
แต่สาขาที่พวกเขาเรียนไม่ตรงกับงานตรวจการ เพราะแต่ละวิชาชีพมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน จึงไม่สามารถนำมาใช้สอบเป็นผู้ตรวจการได้
ในตำราของสถาบันแนะนำว่า สำหรับผู้ฝึกระดับสามที่ยังปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงระดับพลังในเวลาอันสั้นไม่ได้ ให้พยายามปรับตัวและเลือกเรียนวิชาควบคุมสิ่งของสำหรับระดับสามก่อน
เมื่อตำราเขียนไว้เช่นนั้น จะมีอาจารย์คนไหนกล้าขัดแย้งกับตำรา?
ที่ไต้หงกล้าพูดเช่นนั้น ต้องมีเหตุผลของเขาแน่
เพียงเท่านี้ อี้ซิวจู่กับลู่หยางเฉิงก็ได้เรียนรู้แล้ว
เมื่อเทียบกับอาจารย์ในสถาบันที่สอนตามตำราทุกขั้นตอน ประสบการณ์ส่วนตัวของไต้หง ผู้เชี่ยวชาญระดับสี่ ดูจะน่าเชื่อถือกว่า
เห็นไต้หงถูกคำถามของหลี่จิ้งทำให้อึ้งไป ลู่หยางเฉิงที่ยืนอยู่ห่างๆ จึงกระแอมเบาๆ
"ฉันเคยได้ยินเกี่ยวกับวิชาควบคุมปราณ มันเป็นวิชาเสริมระดับสูงสุดในบรรดาวิชาเสริทของระดับสาม การเริ่มต้นยากมาก และการฝึกให้ชำนาญยิ่งยากกว่า แต่หากเริ่มต้นได้แล้ว การควบคุมปราณวิญญาณจะเหนือกว่าคนทั่วไป ถ้าฝึกจนถึงขั้นสมบูรณ์ การควบคุมการปล่อยปราณจะละเอียดประณีตมาก ช่วยเพิ่มความเสถียรในการสร้างโครงคาถาได้อย่างมาก ลดเวลาเตรียมตัวในการใช้คาถาระดับสูง และยังเพิ่มพลังของคาถาได้ด้วย"
เขาพูดเสริมอีกว่า
"โดยทั่วไปผู้ฝึกระดับสามที่มีโอกาสก็จะเรียนวิชาควบคุมปราณ แต่เพราะการเริ่มต้นค่อนข้างยาก คนส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะเรียนหลังจากที่เชี่ยวชาญวิชาอื่นๆ แล้ว"
หลี่จิ้งฟังลู่หยางเฉิงอธิบายแล้วรู้สึกตื่นเต้นมาก
ประโยชน์ที่ได้หลังจากฝึกวิชาควบคุมปราณจนถึงระดับสมบูรณ์นั้นครอบคลุมมากเหลือเกิน
แถมยังทำให้เขานึกถึงจู่โจมวิญญาณที่เหนือธรรมดาของไต้หง...
วิชาควบคุมปราณที่ไต้หงแนะนำ แน่นอนว่าต้องเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้จู่โจมวิญญาณของเขาเหนือชั้นขนาดนี้
หลี่จิ้งไม่อาจหวังว่าตนจะมีความเข้าใจและทักษะในการใช้พลังโจมตีด้วยปราณเท่าไต้หงที่ศึกษามาอย่างลึกซึ้ง แต่วิชาที่เกี่ยวข้องนั้นเขาก็เรียนได้
การเริ่มต้นและการฝึกให้ชำนาญไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา
สิ่งสำคัญคือราคาของวิชาควบคุมปราณ
ขณะที่กำลังจะถามลู่หยางเฉิง ไต้หงก็พูดขึ้นเบาๆ
"วิชาควบคุมปราณไม่แพงหรอก แค่ครึ่งหนึ่งของราคากระบี่ธรรมดาเท่านั้น"
"..."
หลี่จิ้งอึ้งไป
กระบี่ธรรมดาที่ว่าก็ยังราคาเริ่มต้นสามล้านขึ้น
ครึ่งหนึ่ง...
หนึ่งล้านห้าแสน!?
นี่เรียกว่าไม่แพง?
เขาไม่เคยดูวิชาเสริมระดับสาม
เคยแค่สนใจวิชาโจมตีและป้องกันระดับสามเท่านั้น
ในบรรดาวิชาโจมตีและป้องกัน นอกจากวิชาควบคุมกระบี่ที่ได้รับความนิยม วิชาที่แพงที่สุดก็ยังไม่เกินแปดแสน
นี่มันสองเท่าแล้ว!
แต่ถ้าถามว่าจะเรียนวิชาควบคุมปราณไหม?
ต้องเรียนแน่นอน!
ไม่เรียนก็โง่แล้ว!
หลี่จิ้งมองหน้าไต้หงอย่างเกรงใจ พูดว่า
"หัวหน้าไต้ เงินรางวัลที่คุณสัญญากับผมไว้..."
เมื่อเห็นท่าทีลังเลของหลี่จิ้ง มุมปากของไต้หงกระตุก พูดว่า
"เงินรางวัลของนายยังอยู่ในขั้นตอนการอนุมัติ จะไม่ขาดตกไปแน่นอน อีกทั้งจากการปฏิบัติการครั้งนี้ ผลงานอันโดดเด่นของหน่วยเทียนหวังของพวกนาย รวมถึงการที่นายต่อสู้กับผู้ฝึกตนนอกรีตคนเดียวจนสามารถรักษาความปลอดภัยของพื้นที่โดยรอบไว้ได้ หลังจากนี้เงินรางวัลที่นายจะได้รับอย่างน้อยก็สองล้าน การอนุมัติต้องผ่านขั้นตอนตามระเบียบ เดี๋ยวฉันจะโอนสองล้านให้นายก่อน ถ้ามีเพิ่มเติมฉันจะให้เพิ่มทีหลัง"
สถานการณ์ของหลี่จิ้ง เขารู้ดี
คนคนนี้ กำลังขาดเงินมาก
และด้วยสถานะปัจจุบันของหลี่จิ้ง แม้จะมีพลังระดับสามแล้ว แต่ในระยะสั้นก็ยังไม่สามารถเข้าทำงานในสำนักตรวจการเพื่อรับเงินเดือนสูงได้
การสอบเข้าเป็นผู้ตรวจการเป็นข้อกำหนดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อหลี่จิ้งได้ยินว่าเงินรางวัลที่จะได้รับหลังจากนี้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ดวงตาก็เปล่งประกายวาบขึ้น เขาโบกมือหยิบยาเม็ดที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ออกมา
"หัวหน้าไต้ นี่คือตัวอย่างของยาต้องห้าม"
ไต้หงเห็นแล้วตกตะลึง อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
"นายได้ตัวอย่างมาด้วย!?"
"ตัวอย่างนี้ นับเป็นผลงานไหมครับ?"
หลี่จิ้งถามอย่างมีความหวัง แสดงธาตุแท้ของคนรักเงินออกมาอย่างเต็มที่
"นับสิ เดี๋ยวฉันจะโอนให้นายเพิ่มอีกห้าแสน"
ไต้หงยื่นมือคว้าตัวอย่างไป พูดว่า
"ปฏิบัติการจับกุมได้เริ่มขึ้นพร้อมกับตอนที่นายมาติดต่อและสำเร็จลุล่วงแล้ว 'หนูทดลอง' ที่รู้จักทั้งหมดถูกส่งไปโรงพยาบาลที่หนึ่งเพื่อเฝ้าสังเกตอาการ พวกเขาจะรอดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตา มีตัวอย่างไว้วิเคราะห์ อัตราการรอดชีวิตอาจจะสูงขึ้น ฉันจะรีบนำไปที่ห้องทดลองทางการแพทย์เดี๋ยวนี้"
พูดจบ เขาก็เรียกกระบี่ออกมา มองดูงูที่หลี่จิ้งถือไว้ในมือ แล้วลอยขึ้นไปในอากาศพร้อมทิ้งคำพูดไว้
"พวกนายทั้งสามคนอยู่ที่นี่ก่อน เจ้าหน้าที่ของสำนักตรวจการกำลังปิดล้อมและค้นหาทั่วเมือง จึงส่งคนมาไม่ได้ เดี๋ยวจะมีคนจากแผนกผู้ช่วยตรวจการมา ตอนนั้นพวกนายช่วยแนะนำการเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุด้วย อย่าลืมคำให้การของผู้เกี่ยวข้องด้วย เสร็จแล้วมาพบฉันที่สำนักงาน ฉันต้องการฟังรายงานโดยละเอียด"