บทที่ 45 แม่เป็นห่วงลูกที่อยู่ห่างไกล
บทที่ 45 แม่เป็นห่วงลูกที่อยู่ห่างไกล
"เธอต้องการให้ฉันเขียนแทนเธองั้นเหรอ?"
หลินโจวอ่านข้อความจากเงือกสาวนักร้องพลางยิ้มน้อยๆ ก่อนพิมพ์ตอบกลับไปเช่นนั้น
มันช่างบังเอิญจริงๆ เขาเพิ่งรวบรวมบทกวีสมัยราชวงศ์ถังและซ่งครบถ้วนสมบูรณ์ ในจังหวะเดียวกับที่แพลตฟอร์มมือสมัครเล่นจัดการประกวดบทกวีพอดี
ตามที่ระบุในหน้าประชาสัมพันธ์ "การประกวดบทกวีแห่งชาติจีน" ครั้งนี้เกิดจากความร่วมมือของหน่วยงานชั้นนำหลายแห่ง ทั้งสมาคมนักเขียน สมาคมกวีนิพนธ์จีน เว็บไซต์กวีนิพนธ์จีน และเว็บไซต์วรรณกรรมจีน
งานนี้คงเป็นการประกวดใหญ่ทีเดียว
ในเมื่อยังไม่รู้จะนำบทกวีโบราณที่จดจำได้ไปใช้ประโยชน์อย่างไร การส่งผลงานเข้าประกวดก็น่าจะเป็นโอกาสที่ดี
"ใช่ๆ! แม่บังคับว่าฉันต้องติด 50 อันดับแรกให้ได้ ไม่งั้นจะไม่ให้ทำคอนเทนต์อีกเลย นี่มันเหมือนจะฆ่าฉันทั้งเป็นเลยนะ! พี่คงจะไม่ยืนมองฉันแห้งตายไปทั้งๆ แบบนี้หรอกถูกไหม?!"
ข้อความจากเงือกสาวนักร้องทยอยส่งมาติดๆ กัน
หลินโจวตอบกลับไปอย่างจนใจ "ถ้าเธอติดท็อป 50 รอบตัดสินต้องไลฟ์สดนะ ถ้าต้องแต่งกลอนสดล่ะจะทำยังไง? มันจะไม่เสี่ยงเกินไปเหรอ??"
ครู่ต่อมา เงือกสาวนักร้องก็ตอบกลับมาอย่างหงุดหงิด "บ้าเอ๊ย! ลืมคิดไปเลย! พี่พูดถูก พวกเราเพิ่งจะพ้นข้อกล่าวหาเรื่องลอกเลียนผลงานมาหมาดๆ ถ้าจู่ๆ มีเรื่องก็อปบทกวีคนอื่นอีก มันก็เหมือนตบหน้าตัวเองชัดๆ! คราวนี้ฉันคงต้องพึ่งฝีมือตัวเองแล้วล่ะ!"
หลินโจวอมยิ้มเมื่อเห็นเงือกสาวนักร้องสนิทใจกับเขาถึงขั้นใช้คำว่า "พวกเรา" แล้ว
เขาจึงพิมพ์ตอบไปสั้นๆ "สู้ๆ นะ!"
"อื้ม!! อ้อใช่แล้ว......"
เงือกสาวนักร้องถามขึ้นมาทันที "แล้วพี่ล่ะ พี่จะเข้าร่วมด้วยไหม?"
"ฉันก็คิดว่าจะลองดูเหมือนกัน" หลินโจวตอบ
"ว้าว พี่เขียนกลอนเป็นกับเขาด้วยเหรอ? งั้นเราก็มาสู้ไปด้วยกันนะ ต้องติดท็อป 50 ให้ได้ จะได้สร้างชื่อเสียงให้หมวดเพลงของพวกเรา!"
"ฉันจะพยายามดู"
หลังจากจบการสนทนากับเงือกสาวนักร้อง หลินโจวก็เข้าไปดูกติกาการประกวดบทกวีที่หน้าเว็บไซต์อีกครั้ง
รอบคัดเลือกให้ส่งผลงานทางอีเมลไปยังผู้จัด จากนั้นคณะกรรมการจะคัดกรองให้เหลือ 100 ผลงาน แล้วนำไปเผยแพร่บน Weibo เพื่อให้ชาวเน็ตร่วมโหวต โดย 50 อันดับแรกที่ได้คะแนนสูงสุดจะผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ
รอบชิงชนะเลิศจะจัดในรูปแบบไลฟ์สด และมีการเชิญศิลปินชื่อดังมาร่วมงานในฐานะแขกรับเชิญพิเศษ
การประกวดครั้งนี้ทำให้หมวดกวีโบราณของแพลตฟอร์มคึกคักขึ้นมาทันที
แม้หมวดนี้จะเป็นเพียงชุมชนเล็กๆ ที่รวมตัวกันของผู้หลงใหลในวัฒนธรรมจีนดั้งเดิม ไม่ว่าจะเป็นชุดฮั่นฝู ดนตรีโบราณ หรือบทกวี แต่มักไม่ค่อยได้รับความสนใจจากคนทั่วไปมากนัก
คนในแผนกมักจะถอนหายใจพูดว่า "วัฒนธรรมดั้งเดิมของพวกเราจะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งเมื่อไหร่นะ"
การประกวดบทกวีครั้งนี้จึงเปรียบเสมือนโอกาสทองที่ทุกคนจะได้เผยแพร่คุณค่าของวัฒนธรรมจีนดั้งเดิม และเป็นเวทีให้ครีเอเตอร์หน้าใหม่ได้แสดงความสามารถ
หากใครสามารถโลดแล่นจนติดอันดับท็อป 50 และได้ปรากฏตัวในรอบชิงชนะเลิศ นั่นคงเป็นเกียรติยศที่น่าภาคภูมิใจของวงศ์ตระกูลอย่างแท้จริง!
ไม่นานหลังจากประกาศการประกวด บรรดาครีเอเตอร์จากหมวดวรรณคดีโบราณต่างทยอยโพสต์ผลงานที่ส่งเข้าประกวด
หนึ่งในนั้นคือเสี่ยวชาน นักศึกษาสาววัยยี่สิบกว่าจากคณะภาษาและวรรณคดีจีน เธอมักโพสต์คลิปวิดีโอที่แต่งกายด้วยชุดฮั่นฝูอันงดงาม พร้อมสาธิตการเขียนบทกวีด้วยพู่กันจีนอย่างวิจิตรบรรจง
ด้วยรูปร่างหน้าตาที่ดีและและกิริยาท่าทางที่สะท้อนความเป็นกุลสตรีจีนโบราณได้อย่างกลมกลืน ทำให้เสี่ยวชานมีผู้ติดตามไม่น้อยทีเดียว
เสี่ยวชานเพิ่งโพสต์วิดีโอนำเสนอผลงานที่จะส่งเข้าประกวด และได้รับกระแสตอบรับอย่างท่วมท้นจากแฟนคลับ จนถูกผลักดันขึ้นหน้าแรกของแพลตฟอร์มอย่างรวดเร็ว หลินโจวเองก็บังเอิญได้เห็นคลิปนี้พอดี
"เร็วจริงๆ"
หลินโจวพบว่าไม่เพียงแค่เสี่ยวชาน แต่เหล่าครีเอเตอร์ชื่อดังในหมวดวรรณกรรมโบราณหลายคนต่างก็ร่วมส่งผลงานเข้าประกวดด้วยเช่นกัน
สิ่งที่น่าสนใจคือ ผลงานของพวกเขาล้วนมุ่งไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือการถ่ายทอด "เรื่องราวความรัก" ราวกับว่าความรู้สึกทั้งมวลต้องผูกติดอยู่กับความรักโรแมนติกเท่านั้น
หลินโจวขมวดคิ้วเล็กน้อย ในหัวเขามีบทกวีดีๆ มากมาย จึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อนส่งผลงาน
เขาเพียงแต่รู้สึกว่า คำว่า "ความรัก" นั้นกว้างใหญ่และลึกซึ้งเกินกว่าจะจำกัดอยู่แค่ "ความรักโรแมนติก" เพียงอย่างเดียว
ในจังหวะนั้น เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น บนหน้าจอแสดงชื่อ "แม่ จางหลิง"
"แม่ครับ"
ภาพใบหน้าอันอ่อนโยนและแววตาเปี่ยมเมตตาของแม่ผุดขึ้นในความทรงจำ มุมปากของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ โดยไม่รู้ตัว
"เสี่ยวโจว งานที่นั่นเป็นยังไงบ้างลูก?" เสียงอ่อนโยนของแม่ดังมาตามสาย
หลินโจวเคยบอกครอบครัวเพียงคร่าวๆ ว่าเขาได้งานที่มีที่พักและอาหารให้ในหลินเจียง แต่ไม่ได้เล่ารายละเอียดว่าเป็นงานอะไร
เรื่องการหย่าทางบ้านของเขารู้อยู่แล้ว แต่แม่ผู้อ่อนโยนไม่เคยซักไซ้หรือตำหนิอะไร เพียงแค่กำชับให้เขาดูแลสุขภาพ และบอกว่าหากต้องการพักใจ ก็ให้กลับมาอยู่บ้านสักระยะก็ได้
แต่เมื่อหลินโจวได้งานผู้ช่วยส่วนตัวนี้ เขาจึงตัดสินใจไม่กลับบ้าน เพราะเขารู้ดีว่าการกลับไปคงทำให้แม่ยิ่งเป็นห่วงและกังวลใจมากขึ้นเท่านั้น
"ครับแม่ ทุกอย่างราบรื่นดี เจ้านายก็ใจดี เพื่อนร่วมงานก็เป็นกันเอง" หลินโจวตอบพร้อมรอยยิ้ม
"ดีแล้วลูก... แต่พยากรณ์อากาศบอกว่าสองวันนี้หลินเจียงอุณหภูมิจะลดลง ลูกต้องใส่เสื้อให้หนาๆ หน่อย กินข้าวก็ต้องกินเยอะๆ ด้วย ตอนวิดีโอคอลคราวที่แล้วแม่เห็นลูกผอมลง แม่จะทำกระต่ายผัดที่ลูกชอบ พรุ่งนี้จะไปตลาดแล้วห่อส่งไปให้..."
เสียงพร่ำบ่นแสนคุ้นเคยของแม่ยังคงดังมาจากโทรศัพท์ จู่ๆ หลินโจวก็รู้สึกแสบจมูก ความรู้สึกบางอย่างพลันผุดขึ้นในใจ 'บางทีทุกคนที่จากบ้านมาไกล เมื่อได้ยินเสียงบ่นคุ้นหูของแม่ คงจะมีความรู้สึกอ่อนไหวแบบนี้เหมือนกันสินะ?'
หลินโจวฟังเสียงแม่พร่ำบ่นอย่างเงียบๆ และตอบรับด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะวางสาย แม่พูดขึ้นมาว่า:
"เสี่ยวโจว ลูกยังหนุ่มยังแน่น แล้วก็ยังไม่มีพันธะผูกพัน ไม่ต้องรีบหรอก เดี๋ยวก็ต้องได้เจอคนที่เหมาะสมกับลูกแน่"
หลินโจวรับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงของแม่ แม่คงกังวลว่าการหย่าร้างจะกระทบกระเทือนจิตใจเขา แต่ไม่กล้าพูดตรงๆ จึงได้แต่ปลอบโยนด้วยถ้อยคำอ้อมๆ แบบนี้
หลินโจวยิ้มตอบ "แม่ไม่ต้องห่วงนะครับ ต่อไปผมจะหาลูกสะใภ้ที่ดีกว่าเดิมมาให้แม่เอง!"
"ดี ดี ไม่ต้องรีบหรอกลูก" แม่ตอบพร้อมรอยยิ้ม
"แม่ครับ แล้วกระดูกต้นคอของแม่ล่ะครับ ดีขึ้นหรือยัง?" หลินโจวถามขึ้น
แม่ของเขาชอบก้มหน้าทำงานตั้งแต่สมัยยังสาว จนเป็นต้นเหตุให้มีปัญหาเรื่องกระดูกต้นคอ
"แม่สบายดี ไม่ต้องเป็นห่วงแม่หรอก ลูกรีบไปทำงานเถอะ!" หลังวางสายจากแม่ หลินโจวรู้สึกหงุดหงิดใจ
ถึงหลินเจียงจะอยู่ห่างจากบ้านเกิดที่กงเฉิงกว่าสองพันกิโลเมตร แต่ก็นั่งเครื่องบินเพียงครึ่งวันก็ถึง เขากลับไม่ได้กลับไปเยี่ยมบ้านมานานเท่าไหร่แล้ว?
'ลูกจากไปพันลี้ แม่ยังเป็นห่วง' สำนวนโบราณผุดขึ้นในความคิด ไม่ว่าตัวเองจะเติบโตแค่ไหน ในสายตาแม่เขาก็ยังคงเป็นเด็กน้อยที่ต้องคอยห่วงใยอยู่เสมอ
แล้วตัวเขาล่ะ? มัวแต่จมอยู่กับงาน วุ่นวายอยู่กับการจัดการชีวิตตัวเอง ดูแลเอาใจใส่แม่... มีมากพอหรือยัง?
"คุณ...ไม่เป็นไรใช่ไหม?"
เสียงเย็นๆ ดังมาจากด้านหลัง หลินโจวหันไปมอง เห็นซูชิงเหม่ยในชุดลำลองยืนอยู่ตรงนั้น ดวงตาของเธอดูอ่อนโยนราวกับสายน้ำ แฝงแววเป็นห่วงอยู่เล็กน้อย
หลินโจวรีบเช็ดหยดน้ำตาที่เอ่อที่มุมตา ก่อนจะฝืนยิ้มและตอบว่า "ไม่เป็นไรครับ อ้อ คุณซ้อมเสร็จแล้วหรือครับ?"
ซูชิงเหม่ยมองเขา แต่ไม่ได้ซักไซ้อะไรเพิ่มเติม เพียงแค่บอกว่า "พี่หงคุยกับผู้อำนวยการเฉินเสร็จแล้วค่ะ เสี่ยวหยุนจะมารับพวกเรากลับบ้าน"
พูดจบ ซูชิงเหม่ยก็พลันรู้สึกว่าคำว่า "พวกเรากลับบ้าน" ที่เพิ่งเอ่ยออกไปนั้น ดูจะมีความหมายกำกวมอยู่บ้าง เธอจึงกัดริมฝีปากเบาๆ แล้วเลือกที่จะไม่พูดอะไรต่อ หมุนตัวเดินไปทางลิฟต์
หลินโจวเดินตามหลังเธอไป แต่ในหัวของเขากลับผุดบทกวีที่เกี่ยวกับ "ความรัก" ขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
แต่บทกวีนี้ไม่ได้เกี่ยวกับ "ความรักโรแมนติก" หากแต่เป็นความรักของครอบครัว!