บทที่ 42 เสวี่ยโจวต้องเป็นชายวัยกลางคนหัวล้านแน่ๆ
บทที่ 42 เสวี่ยโจวต้องเป็นชายวัยกลางคนหัวล้านแน่ๆ
"พี่ชิงเหม่ย เพลงนี้เพราะมากเลย! แม่เจ้า! ถ้าพี่เอาไปร้องในรายการ 'I Am a Singer' ครั้งหน้าล่ะก็ พี่ต้องได้ที่หนึ่งอีกแน่ๆ!"
โจวหยุนพูดด้วยความตื่นเต้น พลางวิ่งเข้ามาหาซูชิงเหม่ย
จางหงตบบ่าเธอเบาๆ แล้วพูดว่า "เพลงนี้มันเหมาะกับผู้ชายวัยกลางคนมากกว่า ชิงเหม่ยจะร้องได้ยังไง?"
หลินโจวที่ยืนอยู่ข้างๆ ถึงกับอึ้งไป คำว่า "เหมาะกับผู้ชายวัยกลางคน" นี่หมายถึงใครกัน? นี่เราแก่ขนาดนั้นเลยเหรอ?
"เอามือถือกับหูฟังมาหน่อยสิ"
ซูชิงเหม่ยที่ได้ยินก็รู้สึกอดใจรอไม่ไหว ยื่นมือไปขอมือถือจากโจวหยุน เนื่องจากต้องขึ้นเวทีโปรโมตงาน เธอจึงไม่ได้พกโทรศัพท์ไปด้วย
ตอนนี้เธอเพิ่งจะลงจากเวที และได้ยินว่าเพลงใหม่ของเสวี่ยโจวนั่นเพราะมาก ด้วยความที่เธอเป็นคนหลงใหลในเสียงเพลง เธอจึงไม่อยากรอแม้แต่วินาทีเดียว
"คุณซู ตอนนี้บ่ายโมงแล้วนะครับ เลยเวลาทานอาหารกลางวันของคุณแล้ว"
หลินโจวที่อยู่ข้างๆเอ่ยเตือนขึ้นมา การดูแลเรื่องการพักผ่อนและอาหารของซูชิงเหม่ยก็เป็นหนึ่งในหน้าที่ของเขา
ซูชิงเหม่ยหันมามองเขา โจวหยุนที่กำลังยื่นหูฟังก็ถึงกับชะงัก หลินโจวยิ้มแล้วรับหูฟังจากมือโจวหยุน พร้อมกับยื่นมือไปทางซูชิงเหม่ย
"คุณซู ให้ผมเก็บมือถือไว้ก่อนนะครับ ทานข้าวเสร็จแล้วค่อยฟังก็ไม่สาย"
ดวงตาที่เย็นชาของซูชิงเหม่ยเบิกกว้าง จ้องมองไปยังหลินโจว
หลินโจวยังคงมี่ท่าที่สงบ เขาหันไปมองจางหงแล้วเอ่ยถามว่า "พี่จาง ผมทำผิดอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ?"
จางหงเองก็ชะงักไปเช่นกัน เธอไม่คิดว่าหลินโจวจะทำงานอย่างเคร่งครัดถึงขนาดนี้ แม้จะดูเหมือนไม่ค่อยยืดหยุ่น แต่เมื่อลองคิดดูดีๆ แล้ว เขาก็ทำเพื่อประโยชน์ของซูชิงเหม่ย เธอจึงไม่สามารถกล่าวหาว่าเขาทำผิดได้
จางหงจึงหันไปพูดกับซูชิงเหม่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า "ชิงเหม่ย เธอเพิ่งจะหายปวดท้องได้ไม่นาน เราทานข้าวกันก่อนเถอะนะ"
เมื่อจางหงพูดเช่นนี้ ซูชิงเหม่ยก็ไม่มีทางเลือกอื่น ทำได้เพียงส่งมือถือของตัวเองให้หลินโจวด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะเดินออกไปด้วยท่าทีหงุดหงิด
"พี่ชิงเหม่ย รอด้วย อย่าเดินเร็วนักสิ!"
โจวหยุนรีบวิ่งตามไปทันที
เมื่อเห็นดังนั้นจางหงก็หันไปพูดกับหลินโจวด้วยความรู้สึกทั้งชื่นชมและจนใจว่า "เสี่ยวหลิน เธอทำงานได้ละเอียดและรับผิดชอบมาก ฉันชื่นชมและสนับสนุนเต็มที่ เพียงแต่บางเรื่องก็ช่วยผ่อนปรนให้กับชิงเหม่ยบ้างเถือะ จริงๆ แล้วเธอไม่ใช่เด็กนิสัยไม่ดีอะไร แค่มีความหัวดื้อบ้างนิดหน่อยเท่านั้น"
คำว่า "หัวดื้อ" ที่จางหงใช้นั้น เป็นการบอกเป็นนัยว่าหลินโจวเองก็มีความดื้อรั้นเช่นกัน เธอจึงอยากแนะนำให้เขาปรับตัวหรือยอมยืดหยุ่นบ้าง พยายามปฏิบัติกับซูชิงเหม่ยให้อ่อนโยนมากกว่านี้
หลินโจวยิ้มเล็กน้อย "พี่จาง หน้าที่ของผมคือการปกป้องและดูแลคุณซู หากผมผ่อนปรนมากเกินไป ผมคิดว่ามันอาจจะไม่เป็นผลดีกับคุณซูเท่าไหร่"
เดิมที เขาเริ่มต้นทำงานนี้ด้วยความตั้งใจเพียงแค่หางานที่มีที่พักและอาหารทำไปชั่วคราว เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศเท่านั้น
แต่หลังจากที่ได้ใช้เวลาร่วมกับซูชิงเหม่ยมาระยะหนึ่ง หลินโจวก็พบว่าเทพธิดาผู้เย็นชาคนนี้ไม่ได้นิ่งเฉยเย็นชาอย่างที่เห็นภายนอก และไม่เหมือนกับดาราสาวหลายคนในวงการบันเทิงที่ทำทุกวิถีทางเพื่อให้มีชื่อเสียง
อย่างน้อยในเรื่องดนตรี ซูชิงเหม่ยก็เป็นนักร้องที่บริสุทธิ์และทุ่มเททุกอย่างเพื่อการร้องเพลงจริงๆ
การเป็นผู้ช่วยให้เธอ นับว่าเป็นงานที่น่าพึงพอใจกว่าการทำงานกับเซิ่นเหยามาก ดังนั้น หลินโจวจึงตั้งใจที่จะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อช่วยให้ซูชิงเหม่ยรักษาสภาพร่างกายและจิตใจให้เข้าที่เข้าทางอย่างที่ควรจะเป็น
เมื่อได้ยินสิ่งที่หลินโจวพูด จางหงเงียบไปครู่หนึ่ง คิดทบทวนแล้วพยักหน้าเบาๆ "เสี่ยวหลินพูดถูกแล้ว เป็นฉันที่คิดไม่รอบคอบเอง"
จากนั้นเธอก็พูดกับหลินโจวด้วยน้ำเสียงจริงจัง "เสี่ยวหลิน ฉันขอฝากดูแลชิงเหม่ยที่บ้านด้วย ถ้าเธอไม่ยอมเชื่อฟัง ก็โทรหาฉันได้ทุกเวลา"
"ได้ครับ ขอบคุณพี่จาง"
หลินโจวยิ้มพยักหน้าตอบรับ หากซูชิงเหม่ยได้ยินที่จางหงพูดแบบนี้ เธอคงโมโหจนหน้าซีดไปแล้ว แต่การได้เห็นผู้หญิงที่ดูเยือกเย็นขนาดนั้นโมโห ก็เป็นอะไรที่น่าสนใจไม่น้อยเลย
ทั้งสี่คนขับรถไปยังร้านอาหารที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งโจวหยุนได้จองห้องส่วนตัวไว้ล่วงหน้าแล้ว
เมื่อเข้าไปในห้องอาหาร อาหารก็ถูกเสิร์ฟขึ้นโต๊ะอย่างรวดเร็ว
ซูชิงเหม่ยหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วมองไปที่หลินโจว "ทานเสร็จแล้วก็ฟังเพลงได้ใช่ไหม?"
หลินโจวยิ้มพยักหน้า
แต่แล้วในวินาทีถัดมา ฉากที่ทำให้โจวหยุนและจางหงต้องตกตะลึงก็บังเกิดขึ้น
ซูชิงเหม่ยหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารอย่างรวดเร็ว แล้วตักข้าวเข้าปากแบบไม่หยุดยั้ง เพียงไม่กี่อึดใจ ข้าวในชามพร้อมกับอาหารที่คีบมาก็หมดเกลี้ยง
ท่าทางของเธอตอนนี้ไม่เหลือคราบของเทพธิดาผู้เย็นชาเลยสักนิด ดูแล้วเหมือนกับขอทานที่หิวโซมาสามวันมากกว่า
"ปัง" ซูชิงเหม่ยวางชามที่กินจนหมดเกลี้ยงลงบนโต๊ะ แล้วหันไปมองหลินโจว
"ตอนนี้ฟังได้แล้วใช่ไหม?"
หลินโจวไม่ตอบ แต่หยิบกระดาษทิชชูออกมายื่นให้เธอ พร้อมกับส่งสัญญาณให้เธอเช็ดปาก
ซูชิงเหม่ยชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรู้ตัวว่าตอนนี้ท่าทางของตัวเองคงดูไม่ค่อยดีนัก เธอจึงรีบคว้ากระดาษทิชชูอีกแผ่นขึ้นมาเช็ดปากอย่างรวดเร็ว จนในที่สุดคราบมันบนริมฝีปากก็ถูกเช็ดออกจนสะอาด
โจวหยุนมองซูชิงเหม่ยตาค้าง จางหงเองก็ดูงุนงงเล็กน้อย เพราะตั้งแต่รู้จักกันมา เธอก็ไม่เคยเห็นซูชิงเหม่ยทานอาหารแบบตะกละตะกลามแบบนี้มาก่อน
ใบหน้าของซูชิงเหม่ยขึ้นสีแดงเล็กน้อย แต่เธอก็ยังดื้อรั้น ไม่ยอมแพ้ ยื่นมือไปหาหลินโจว
"ตอนนี้เอามือถือคืนมาได้หรือยัง?"
หลินโจวพยักหน้าและยื่นมือถือคืนให้เธอ ซูชิงเหม่ยจึงขอหูฟังจากโจวหยุน แล้วเปิดแพลตฟอร์มมือสมัครเล่นและคลิกเข้าไปที่วิดีโอเพลงใหม่ของเสวี่ยโจว ใส่หูฟังและเริ่มฟังเพลงทันที
ขณะที่ซูชิงเหม่ยกำลังฟังเพลงอย่างตั้งใจ โจวหยุนก็มองไปที่หลินโจวซึ่งยังคงมีท่าทีสงบนิ่ง ก่อนจะกระซิบกับจางหงว่า
"พี่หง ทำไมฉันรู้สึกว่าตั้งแต่พี่หลินเข้ามา พี่ชิงเหม่ยก็เปลี่ยนไป?"
จางหงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบเบาๆ ว่า "เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไร"
โจวหยุนพยักหน้าเห็นด้วย ตอนที่พี่หลินเข้ามาทำงานกับพี่ชิงเหม่ยเป็นช่วงที่พี่ชิงเหม่ยเพิ่งหายจากอาการป่วยหนัก ร่างกายยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แถมยังถูกโจมตีบนโลกออนไลน์อย่างหนัก เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด
แต่ภายในเวลาเพียงครึ่งเดือน ร่างกายของพี่ชิงเหม่ยก็ฟื้นตัวขึ้นมาก แม้แต่อาชีพการงานเองก็เริ่มกลับมาเติบโตอีกครั้ง
คิดแบบนี้แล้ว พี่หลินก็เป็นเหมือนดาวนำโชคจริงๆ!
ทั้งสามคนนั่งทานอาหารไปพลาง พร้อมกับรอให้ซูชิงเหม่ยฟังเพลงจบ
ไม่นานนัก ซูชิงเหม่ยก็ฟังเพลงจบ เธอวางหูฟังลง ดวงตาของเธอเปล่งประกายสดใส
โจวหยุนถามว่า "พี่ชิงเหม่ย คิดว่าเป็นยังไงบ้าง?"
ใบหน้าของซูชิงเหม่ยแดงระเรื่ออย่างเห็นได้ชัด แสดงความตื่นเต้นออกมาอย่างชัดเจน "เขาเป็นอัจฉริยะ!"
"ใช่ ฉันเองก็คิดอย่างนั้น มีแต่อัจฉริยะเท่านั้นที่เขียนเพลงดีๆ แบบนี้ได้!" โจวหยุนเห็นด้วย แล้วพูดต่อด้วยความเสียดายว่า
"แต่น่าเสียดายที่เสวี่ยโจวคนนี้น่าจะอายุไม่น้อยแล้ว ไม่อย่างนั้นฉันว่าพี่ชิงเหม่ยน่าจะเหมาะกับเขาดี!”
จางหงคีบเนื้อวัวชิ้นใหญ่ยัดเข้าปากโจวหยุน “พูดอะไรเพ้อเจ้อ!”
หลินโจวถามด้วยความสงสัยว่า "เสี่ยวหยุน ทำไมเธอถึงคิดว่าเสวี่ยโจวอายุมากแล้วล่ะ?"
ผู้ช่วยสาวเคี้ยวเนื้อวัวคำใหญ่อยู่นาน กว่าจะกลืนลงไปได้ แล้วจึงตอบว่า:
"หนุ่มหล่อที่เต็มไปด้วยพลังชีวิตสดใส จะเขียนเพลงที่เศร้าและมีความหมายลึกซึ้งแบบนี้ออกมาได้ยังไง?"
โจวหยุนหัวเราะคิกคักแล้วพูดต่อว่า "ฉันเดาว่า เสวี่ยโจวคนนี้จะต้องเคยถูกผู้หญิงทำร้ายจิตใจมาก่อน อายุอย่างน้อยก็ต้องสามสิบห้าขึ้นไป เป็นผู้ชายวัยกลางคนที่เคยเจ็บปวดจากความรัก บางทีเขาอาจจะหัวล้านนิดๆ ด้วย ไม่อย่างนั้นทำไมเขาถึงไม่กล้าเปิดเผยหน้าตาตัวเองเลยล่ะ?"
"..." หลินโจวรู้สึกพูดไม่ออก
เขายกมือขึ้นมาลูบผมดำขลับเป็นเงางามของตัวเองโดยไม่รู้ตัว คิดในใจว่า "ฉันหัวล้านตรงไหนกัน?"
ซ้ำร้าย ซูชิงเหม่ยยังพยักหน้าเห็นด้วย "ที่เธอพูดก็มีเหตุผลนะ"
เหตุผลอะไรกัน?!
หลินโจวคีบหมูสามชั้นชิ้นหนึ่งเข้าปากแล้วเคี้ยวอย่างแรง ตัดสินใจเลิกสนใจเรื่องไร้สาระของผู้หญิงสองคนนี้
จางหงยิ้มแล้วพูดว่า "ไม่ว่าเสวี่ยโจวจะหัวล้านหรือไม่ก็ตาม เขาก็ช่วยพวกเราไว้ได้มาก ตอนนี้กระแสเรื่องนี้กำลังร้อนแรง แถมยังพิสูจน์ได้ด้วยว่าชิงเหม่ยของเราไม่ได้ลอกเลียนเพลงใคร คนทั่วไปก็จะเห็นใจเธอมากขึ้น แถมจำนวนแฟนคลับของเธอยังเพิ่มขึ้นอีกเยอะเลย!"
จากนั้น จางหงก็หันไปมองซูชิงเหม่ยแล้วพูดต่อว่า "ในครั้งต่อไปของรายการ 'I Am a Singer' เธอต้องทำให้เต็มที่นะ ตอนนี้กระแสของเธอกำลังมาแรง พยายามคว้าอันดับหนึ่งมาให้ได้อีกครั้ง!"
ซูชิงเหม่ยพยักหน้า "เรากลับหลินเจียงกันเถอะ ฉันจะไปซ้อมเต้น"
ในรายการ 'I Am a Singer' รอบต่อไปซูชิงเหม่ยจะร้องเพลงเร็ว ซึ่งมีท่าเต้นประกอบด้วย นี่เป็นสิ่งที่เธอไม่เคยลองทำมาก่อน
แต่เมื่อพูดถึงใบหน้าสวยงาม และรูปร่างที่ดีขนาดนี้ แถมยังเรียวยาวนั่นอีก ไม่เต้นก็น่าเสียดายแย่
ซูชิงเหม่ยต้องฝึกซ้อมในห้องซ้อมของบริษัทตลอดสองวันนี้ เพื่อให้การแสดงบนเวทีออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด
หลังจากทานอาหารเสร็จ ทั้งสี่คนก็ออกจากร้านและขึ้นรถตู้ โดยมีโจวหยุนเป็นคนขับ จางหงนั่งเบาะหน้าข้างคนขับ ส่วนซูชิงเหม่ยนั่งพักผ่อนอยู่ที่เบาะหลังพร้อมกับหลินโจวที่นั่งอยู่ข้างเธอ
หลินโจวคิดว่าซูชิงเหม่ยกำลังงีบหลับไปจริงๆ แต่ไม่นานหลังจากรถออก เขาก็ได้รับข้อความส่วนตัวในแอปจากผู้ใช้ไอดีชื่อ "กู่เหมย" ซึ่งก็คือซูชิงเหม่ยนั่นเอง:
"อาจารย์เสวี่ยโจว ขอบคุณมากนะคะ ไม่ทราบว่าคุณอายุเท่าไหร่แล้ว? เคยผิดหวังกับความรักมาก่อนหรือเปล่า?"
หากไม่ใช่เพราะบทสนทนาในร้านอาหารก่อนหน้านี้ หลินโจวอาจเข้าใจผิดคิดว่าซูชิงเหม่ยเริ่มมีใจให้เสวี่ยโจว แต่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเธอเพียงต้องการพิสูจน์ข้อสันนิษฐานของโจวหยุน ที่ว่าเสวี่ยโจวคงเคยผ่านประสบการณ์ชีวิตมามากพอจนสามารถแต่งเพลง "เส้นทางธรรมดา" ขึ้นมาได้
แต่การถามแบบนี้ก็ดูตรงเกินไปหน่อย ใครจะไปกล้าถามเรื่องอกหักกันตรงๆ นี่มันเหมือนจงใจหาเรื่องโดนตบชัดๆ!"
หลินโจวอดขำไม่ได้ เขาเหลือบมองซูชิงเหม่ยที่กำลังแกล้งทำเป็นหลับพักผ่อน ด้วยความคิดอยากแหย่เธอสักหน่อย เขาจึงพิมพ์ตอบกลับไป:
"ผมยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่เลย ไม่เคยมีแฟนมาก่อน"
แล้วก็เป็นไปตามคาด ซูชิงเหม่ยเงียบไปนาน ไม่มีข้อความตอบกลับมา เธอคงกำลังงุนงงกับคำตอบที่ได้รับแน่ๆ
หลินโจวมองเธอที่นอนเอียงตัวเหมือนกำลังคิดหนัก และกำลังจะส่งข้อความไปแกล้งอีกครั้ง แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้รับข้อความจากเงือกสาวนักร้อง:
"ฮ่าฮ่าฮ่า! เสวี่ยโจว คุณโคตรเจ๋งเลย! ฉันชอบคุณมากเลย ว้า ฮ่าฮ่าฮ่า!"
หญิงสาวคนนี้แตกต่างจากซูชิงเหม่ยอย่างสิ้นเชิง เธอเป็นคนตรงไปตรงมา ร่าเริงเหมือนผู้ชาย แต่รูปร่างของเธอกลับไม่เลวเลย โดยเฉพาะทรวดทรงที่โดดเด่นสะดุดตานั่น
"คุณทำให้พ่อฉันร้องไห้อีกแล้วนะ ฉันไม่เคยเห็นพ่อร้องไห้มาก่อนเลย นี่เป็นครั้งแรก...เอ๊ะ ไม่สิ ครั้งที่สองแล้ว ฮ่าๆๆ!"
ดูเหมือนว่าในเวลานี้เงือกสาวนักร้องจะตื่นเต้นสุดๆ เธอรีบส่งข้อความมาติดๆ
หลินโจวขมวดคิ้วสงสัย "ทำให้พ่อเธอร้องไห้? อีกแล้ว?"
"ใช่สิ! คุณยังคงไม่รู้ ตอนพ่อฉันฟังซูชิงเหม่ยร้องเพลง 'เสียดายที่ไม่ใช่เธอ' เขาก็ร้องไห้ แล้วเมื่อกี้พอได้ฟังเพลง 'เส้นทางธรรมดา' พ่อก็ร้องไห้อีก! ยินดีด้วย คุณเป็นผู้ชายคนแรกที่ทำให้พ่อฉันร้องไห้ได้ถึงสองครั้ง!"
หลินโจวขมวดคิ้ว รู้สึกว่าอะไรบางอย่างในข้อความนี้ฟังดูแปลกๆ
"ฮ่าฮ่าฮ่า ฉันไปทวงหนี้พนันละ คุณรอดูให้ดีนะ!"
ไม่นานนัก ในช่องคอมเมนต์ของเพลง "เส้นทางธรรมดา" เงือกสาวนักร้องที่มีผู้ติดตามนับแสนได้แท็กไปหาผู้ใช้บัญชีชื่อ "ราชาคีย์บอร์ด" โดยตรง:
"เมื่อไหร่จะออกมาไลฟ์สดคุกเข่าขอโทษ? บอกเวลามาเลย ฉันรอดูอยู่นะ! 😆"
ทันทีที่เธอโพสต์แบบนั้น แฟนคลับจำนวนมากที่จำเรื่องพนันระหว่างเธอกับราชาคีย์บอร์ดได้ ก็พากันกรูเข้ามาทวงสัญญากันยกใหญ่:
"ไลฟ์สดเลย! @ราชาคีย์บอร์ด 🙌"
"ก้มกราบงามๆ มาซะดีๆ เดี๋ยวฉันจะรอกดไลค์ให้รัวๆ! 🤣 @ราชาคีย์บอร์ด"
"พิมพ์คีย์บอร์ดเก่งนักนี่ ตอนคุกเข่าขอโทษก็อย่าให้น้อยหน้านะ! 😎 @ราชาคีย์บอร์ด"