ตอนที่แล้วบทที่ 31 ศาสตร์แห่งการบำเพ็ญเพียร
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 33 ผลของปลาดุก

บทที่ 32 สมบัติเต๋า: หอคอยมายาสวรรค์


###

ในด้านศาสตร์แห่งการบำเพ็ญเพียร จงซิวแม้จะไม่ได้คาดหวังมากนัก แต่ก็ยังคงรู้สึกอิจฉา

มู่หลินเองก็มีความคิดที่จะศึกษาวิชาสร้างยันต์และค่ายกลเช่นกัน

ประการแรกเพราะวิชาค่ายกลและยันต์จะช่วยเพิ่มพลังให้กับวิชาเรียกร่างกระดาษของเขา อีกทั้งยังสามารถทำเงินได้

“เงิน คำภีร์เต๋า พลัง สถานที่” ในการบำเพ็ญเพียรนั้น มู่หลินยิ่งฝึกฝนมากขึ้นก็ยิ่งตระหนักว่า สิ่งทั้งสี่นี้ขาดไม่ได้เลย และในโลกนี้ “เงิน” ถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

หากมีหินวิญญาณเพียงพอ เขาจะสามารถซื้อวัตถุดิบที่ดี ทรัพยากรในการบำเพ็ญ และสิ่งของล้ำค่าได้

แต่การได้มาซึ่งหินวิญญาณนั้นไม่ได้ง่ายดาย แม้ว่าเขาจะมีฝีมือในการวาดภาพและการเขียนลายมือดี แต่ผลงานศิลปะประเภทนี้ขายมากไม่ได้

เพราะศิลปะจะมีค่าต่อเมื่อหายาก ต่อให้เป็นงานศิลปะที่ยอดเยี่ยม แต่หากมีมากเกินไป ก็จะเสื่อมราคาลง

นี่เองที่เป็นเหตุผลว่า เหตุใดจิตรกรส่วนใหญ่ในชาติก่อนจึงมักมีชื่อเสียงหลังจากเสียชีวิตไปแล้ว

……

ขณะที่มู่หลินกำลังคิดหาวิธีหาเงิน จงซิวก็พูดถึงเรื่องสำคัญที่สุดในการเรียนในชั้นเรียนจริง นั่นคือ “การหาทีม”

“ทีม?”

คำพูดนี้ทำให้มู่หลินตกใจ

สิ่งที่จงซิวบอกมาก่อนหน้านั้นมู่หลินเข้าใจได้ทั้งหมด แต่เรื่องทีมเขากลับไม่เข้าใจนัก

“สำนักเต๋ากำหนดให้เราต้องจัดทีมกันหรือ?”

“ก็ไม่เชิง แต่พลังของคนคนเดียวมีขีดจำกัด สำนักเต๋าจึงสนับสนุนให้เราร่วมมือกัน…”

หลังจากคำอธิบายของจงซิว มู่หลินจึงได้รู้ว่า พวกเขาจำเป็นต้องมีทีม เพราะต้องเผชิญหน้ากับภูตผีปีศาจและสิ่งชั่วร้ายที่ยากจะต่อสู้ได้ด้วยตนเอง

ในสงครามอันยาวนาน ผู้คนในราชวงศ์ต้าหลิงที่มีความเฉลียวฉลาดหลังจากการเฝ้าศึกษาพวกหมาบ้านอยู่นานหลายสิบปี ก็ได้ค้นพบว่า ความสามารถของสิ่งชั่วร้ายเหล่านี้แปลกประหลาดและยากที่จะกำจัดได้โดยการต่อสู้แบบตัวต่อตัว

แต่โชคดีที่มนุษย์มีปัญญาและสามารถรวมกลุ่มกันได้

เมื่อเผชิญหน้ากับภูตผีสิ่งชั่วร้าย การต่อสู้เพียงลำพังอาจไม่ได้เปรียบ แต่หากใช้วิธีหมาหมู่รวมกลุ่มสองสามคนเพื่อโจมตี การต่อสู้จะเป็นไปได้ง่ายกว่า

อย่างไรก็ตาม การจัดทีมชั่วคราวภายนอกนั้นมักเกิดความหวาดระแวง ทำให้ไม่มีใครกล้าฝากใจได้เต็มที่ ทีมงานจึงไม่สามารถทำงานได้เต็มกำลัง จนเกิดปัญหาที่ว่า “1+1+1<1”

แต่กับนักเรียนของสำนักเต๋าที่อยู่ร่วมกันมาสามปีนั้นต่างรู้จักกันดี ทำให้สำนักเต๋าสนับสนุนให้พวกเขารวมทีมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ เพื่อเผชิญหน้ากับภัยคุกคามต่าง ๆ ร่วมกัน

—แต่การสนับสนุนให้สร้างทีมเล็ก ๆ เพียงสามถึงห้าคน เพราะการบำเพ็ญเพียรต้องการพลังสูงมาก และหากทีมมีขนาดใหญ่ไป ก็จะไม่สามารถปกป้องอาณาจักรต้าหลิงได้ทั่วถึง

เพราะสำนักเต๋าสนับสนุนการร่วมมือกันในการต่อสู้ การทดสอบของสำนักจึงสามารถทำเป็นทีมได้

เมื่อกล่าวถึงการทดสอบ สีหน้าของจงซิวก็เต็มไปด้วยความลึกลับ

“พี่มู่ ท่านลองเดาดูว่าการทดสอบของสำนักเต๋าเป็นอย่างไร?”

“ทดสอบ? สู้บนเวที?”

“ไม่ใช่”

“การต่อสู้แบบทีม?”

“ฮ่า ๆ ก็ไม่ใช่เช่นกัน”

จงซิวไม่ปล่อยให้มู่หลินเดาต่อ เขาพูดขึ้นด้วยความตื่นเต้นและคาดหวังว่า

“พี่มู่ คิดตามกรอบเกินไปแล้ว สำนักเต๋าของเราถูกสร้างขึ้นโดยเหล่าอาจารย์เต๋า และแม้แต่ท่านเต๋าจวินก็มีส่วนร่วม”

“เวทีประลอง การจัดทีม นั่นเป็นแค่การทดสอบธรรมดา การทดสอบของเราคือการฝึกฝนภาคสนาม!”

“?!!”

คำว่า “ภาคสนาม” ทำให้มู่หลินตกใจอย่างมาก

เขาไม่เข้าใจว่าทำไมสำนักเต๋าจึงทำเรื่องที่ดูเสี่ยงเช่นนี้

แน่นอนว่าการฝึกฝนจริงช่วยสะสมประสบการณ์การต่อสู้ได้ดี แต่มู่หลินยังคิดว่าพวกเขาอ่อนแอเกินไปที่จะเผชิญหน้ากับภูตผีและสิ่งชั่วร้าย หากไปสู่สนามรบในตอนนี้ก็คงจะไปตายเสียมากกว่า

แต่ไม่นานเขาก็ตระหนักได้

“การฝึกภาคสนามจริงหรือ… พวกอาจารย์เต๋าจับสิ่งชั่วร้ายมากักขังไว้ในสำนักเต๋าเพื่อให้พวกเราสู้ใช่หรือไม่?”

การคาดเดานี้ทำให้จงซิวยิ่งยิ้มออกมา

“ที่จริงก็มีสิ่งชั่วร้ายถูกจับมาขังไว้ในสำนักเต๋า แต่ พี่มู่ ท่านยังดูเบื้องหลังของเหล่าอาจารย์เต๋าและท่านเต๋าจวินต่ำไปนัก”

จงซิวพูดด้วยท่าทีเคารพอย่างสุดซึ้งว่า

“อาจารย์ในสำนักเล่าว่า ในการสร้างสำนักเต๋านั้น เหล่าอาจารย์เต๋าและท่านเต๋าจวินได้ร่วมมือกันสร้างสมบัติเต๋าขึ้นมาชิ้นหนึ่ง เรียกว่า หอคอยมายาสวรรค์”

“หอคอยฝึกฝนนี้สูงสามสิบสามชั้น ภายในมีภูตผีสิ่งชั่วร้ายและอสุรกายปีศาจนับไม่ถ้วน อีกทั้งยังมีพลังแห่งการแบ่งร่าง มายา และการฉายจิตวิญญาณ”

“ด้วยสมบัติเต๋านี้ เราสามารถส่งจิตวิญญาณเข้าไปในหอคอยในรูปแบบของภาพฝันเพื่อฝึกฝนได้ ข้าเองก็เคยลองฝึกฝนมาแล้วครั้งหนึ่ง…”

เมื่อจงซิวพูดด้วยความรู้สึกประทับใจ มู่หลินก็เริ่มเข้าใจวิธีการทดสอบของชั้นเรียนจริงและพลังของหอคอยมายาสวรรค์

ในฐานะสมบัติเต๋าที่อาณาจักรต้าหลิงใช้ทรัพยากรทั้งหมดสร้างขึ้น หอคอยมายาสวรรค์มีพลังมหาศาล

ประการแรกคือการกักขัง หอคอยมายาสวรรค์สามารถกักขังสิ่งชั่วร้ายระดับภัยพิบัติไว้ได้หลายตน

ถัดมาคือการแบ่งร่าง หอคอยมายาสวรรค์แม้จะตั้งอยู่ที่เมืองหลวง แต่ด้วยพลังแห่งการแบ่งร่าง สำนักเต๋าทั้งสามสิบสามแห่งต่างมีหอคอยนี้ในรูปแบบย่อย นักเรียนทุกคนจึงสามารถฝึกฝนโดยใช้หอคอยย่อยได้

สุดท้ายคือการแปลงภาพ เมื่อเข้าสู่หอคอย มู่หลินและพวกจะไม่ได้อยู่บนแท่นเดียวกับสิ่งชั่วร้ายเพื่อสู้ตัวต่อตัว

ด้วยพลังมายาที่แข็งแกร่งและการสร้างสรรค์โดยอาจารย์เต๋าและฟ้าดิน หอคอยมายาสวรรค์สามารถจำลองสถานการณ์ที่เกิดหายนะหรือการมีอยู่ของผู้คนได้

ด้วยความเสมือนจริงที่ใกล้เคียง จึงทำให้การฝึกฝนในหอคอยแทบไม่ต่างจากการสู้รบจริง นี่คือเหตุผลที่จงซิวเรียกการทดสอบของสำนักเต๋าว่า “การฝึกฝนภาคสนาม”

“กล่าวกันว่า ภายในหอคอยมีฉากมากมายที่แตกต่างกัน และจนถึงบัดนี้ยังไม่เคยมีใครประสบการทดสอบที่ซ้ำกันเลย ดังนั้น เมื่อเข้าสู่หอคอยแล้ว เราจะไม่มีต้นแบบอ้างอิง ทุกอย่างต้องใช้การแก้ปัญหาตามสถานการณ์”

“และหอคอยมายาสวรรค์นั้นรองรับการเข้าไปเป็นทีม ขอเพียงไม่เกินห้าคนก็สามารถเข้าได้ เมื่อใช้การทำงานเป็นทีม ความก้าวหน้าของหยานอวิ๋นหยูไล่ตามจีเสวี่ยทันแล้ว ทั้งสองอยู่ที่ชั้นสามพอดี…”

จากคำบอกเล่าของจงซิว มู่หลินจึงได้รู้ว่า ในหอคอยมายาสวรรค์นั้น เขาสามารถเข้าไปได้ทุกวัน แต่เนื่องจากการเข้าไปต้องใช้พลังงาน จึงได้รับโอกาสเข้าฟรีเพียงครั้งเดียวในสิบวัน

หากต้องการเข้าเพิ่ม ต้องจ่ายด้วยหินวิญญาณ

ยิ่งไปกว่านั้น การปีนหอคอยยังมีรางวัลสำหรับทีมที่ปีนได้สูงสุดห้าทีมแรกในแต่ละสิ้นเดือน

เพราะทรัพยากรเป็นสิ่งจำกัด หลายคนจึงพยายามปีนหอคอยอย่างเต็มที่

อย่างไรก็ตาม มู่หลินยังไม่คิดจะเข้าไปตอนนี้

เขายังไม่มีหินวิญญาณมากพอจึงจะเข้าไปได้เพียงครั้งเดียวทุกสิบวัน ดังนั้นมู่หลินจึงวางแผนว่าจะเข้าไปในวันสุดท้ายของช่วงสิบวัน

หลังจากพูดคุยกันอีกไม่กี่คำ จงซิวก็กล่าวลามู่หลิน เขาเคยบอกไว้ว่าจะลองปรึกษากับเพื่อนร่วมทีมและหัวหน้าทีมเพื่อดูว่าพวกเขาจะรับมู่หลินเข้าทีมหรือไม่ แต่กลับถูกมู่หลินปฏิเสธ

ระหว่างการสนทนาของทั้งสองคน มีคนหลายคนที่มองมาด้วยความไม่พอใจ

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคือเพื่อนร่วมทีมของจงซิว และจากสีหน้าที่มู่หลินสังเกตได้ ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ยินดีต้อนรับเขา

เมื่อคนอื่นไม่ต้องการตัวเขา มู่หลินก็ไม่คิดจะไปประจบเช่นกัน

สิ่งที่เขาคาดไว้ก็เป็นจริง

เมื่อจงซิวกลับไปที่ทีมของเขา ยังไม่ทันพูดอะไรออกมา ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังเล่นมีดเล็ก ๆ กล่าวขึ้นอย่างไม่พอใจ

“จงซิว เจ้าอยากคบหากับคนไร้ค่าเช่นนั้นก็เรื่องของเจ้า แต่อย่าเอาเขาเข้าทีมของเรา ที่นี่ไม่ต้อนรับคนไร้ค่า”

แม้จะมีคำพูดของอาจารย์ตงหยา แต่หลายคนก็ยังไม่ยอมรับมู่หลินที่มีรากวิญญาณระดับสาม

หลังจากที่ชายหนุ่มมีดเล็กพูดเสร็จ แม้คนอื่นจะไม่ได้พูดอะไร แต่จากสีหน้าก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ยินดีต้อนรับมู่หลินเช่นกัน

ส่วนหัวหน้าทีม หญิงสาวร่างกำยำคนหนึ่ง เธอไม่ได้กล่าวคำหยาบใส่มู่หลิน แต่ได้บอกว่า หากมู่หลินอยากเข้าร่วมทีมของพวกเขา ต้องผ่านการทดสอบเสียก่อน

หากผ่านการทดสอบจนพวกเขาพอใจ เขาจึงจะสามารถเข้าร่วมทีมได้

เมื่อได้ยินเช่นนั้น จงซิวจึงส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “ไม่ต้องทดสอบแล้ว พี่มู่เขาปฏิเสธไปแล้ว”

คำพูดนี้ทำให้คนอื่นประหลาดใจ ส่วนชายหนุ่มมีดเล็กกลับหัวเราะเยาะ

“ฮึ เขาก็ยังรู้ตัวดีนี่”

……

ส่วนเรื่องการขัดแย้งในทีมของจงซิวนั้นมู่หลินไม่ทราบ หลังจากไม่มีใครมารบกวน เขาจึงหาที่สงบเพื่อเริ่มฝึกฝนวิชา “คัมภีร์งูดำแห่งเหยียนลี่”

“หวือ…”

เมื่อพลังปราณไหลเวียนเข้าไปอย่างต่อเนื่อง พลังเวทหมอกดำของมู่หลินก็สะสมมากขึ้น

ฝึกฝนเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ การฝึกฝนร่างกายของมู่หลินถึงขั้นเปิดวิญญาณก็อยู่ไม่ไกลแล้ว

แต่ก็มีเรื่องที่ทำให้เขาหนักใจ

ด้วยรากวิญญาณระดับสามของเขา ทำให้การหลอมรวมพลังเวทช้าไปบ้าง แต่ด้วยแผงการฝึกฝนทำให้คัมภีร์งูดำแห่งเหยียนลี่ของเขาคืบหน้าเร็วมาก

จนถึงตอนนี้ พลังเวทหมอกดำของเขายังสะสมไม่ถึงขั้นเปิดวิญญาณ แต่คัมภีร์งูดำแห่งเหยียนลี่ของเขากลับคืบหน้าไปถึงขั้นสอง (480/900) แล้ว

ทำให้เขาเริ่มกังวลว่า อาจฝึกคัมภีร์ถึงขั้นสาม หรือขั้นสระสวรรค์แล้ว แต่พลังเวทยังคงติดอยู่ในระดับการดึงพลัง

“ไม่น่าจะเป็นไปได้... ใช่ไหม?”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด