บทที่ 2 ความอิ่มท้อง
บทที่ 2 ความอิ่มท้อง
“ใจเย็นไว้ ฟางจือสิง”
เสี่ยวไหน่โก่ว หายใจหอบ หันศีรษะน้อยๆ เอียงข้าง ลิ้นยื่นออกมาเล็กน้อยพร้อมทำหน้าจริงจังในแบบหมาฮัสกี้
“เราต้องฮึดขึ้นมา ไม่อย่างนั้นได้อดตายกันแน่ๆ”
เสียงส่งความคิดอ่อนแรงดังขึ้นมา “นายก็ไม่อยากเป็นคนแรกที่ข้ามเวลามาแล้วอดตายหรอก ใช่ไหม?”
ฟางจือสิง สบถเบาๆ “แกรับสภาพว่าเป็นคนข้ามเวลาได้ไวเชียวนะ เจ้าหมาผอม!”
เสี่ยวไหน่โก่วเหลือบมองเท้าทั้งสี่ของตัวเอง ก่อนจะควบคุมไม่ให้เลียขนตัวเองไม่ได้ เอ่ยเสียงเศร้าว่า “คิดว่าฉันอยากข้ามเวลามาเป็นหมาหรือไง แล้วทำไมนายได้ข้ามมาเป็นคนนะ ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ”
ฟางจือสิง แค่นเสียง “แกรู้ไหมว่าเคยทำเรื่องชั่วๆ ไว้มากแค่ไหน สวรรค์น่ะยุติธรรมแล้ว แกมันไม่มีค่าพอจะเกิดเป็นคน เข้าใจไหม?”
เสี่ยวไหน่โก่วโต้กลับ “แล้วนายไม่เคยทำเรื่องเลวๆ เลยหรือไง หนี้สินที่ธนาคารนายจ่ายหมดแล้วหรือยัง?”
ฟางจือสิง ตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน “ฉันซื้อบ้านที่สร้างค้างทิ้งไว้ ทำไมฉันต้องผ่อนด้วย?”
พอพูดจบ ฟางจือสิง ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาอย่างประหลาด
เขานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “เอาล่ะ มาดูสภาพตอนนี้กันเถอะ ฉันกับแกตายไปพร้อมกัน แล้วยังข้ามเวลามาในโลกแปลกๆ นี้ด้วยกันอีก ตอนนี้ฉันคือ ‘ต้าเหนียว’ ส่วนแกคือ ‘เสี่ยวโก่ว’”
เสี่ยวไหน่โก่วหงุดหงิด “อย่ามาตั้งชื่อเล่นฉันมั่วๆ ฉันคือจางฉางจี๋ ไปที่ไหนก็ต้องชื่อจาง”
ฟางจือสิง เหลือบมองเสี่ยวไหน่โก่วอย่างโกรธจัด ก่อนจะตะโกน “เสี่ยวโก่ว เสี่ยวโก่ว แกมันก็คือเสี่ยวโก่วนั่นแหละ!”
โครกคราก~
ท้องของทั้งคน และ หมาร้องพร้อมกันอีกครั้ง
ความหิวดึงพวกเขากลับมาสู่ความเป็นจริงอย่างรวดเร็ว
ฟางจือสิง แทบไม่มีแรงโกรธอีกแล้ว เขาสูดลมหายใจลึก ข่มความหิวก่อนวิเคราะห์ต่อไป “จากความทรงจำของร่างเดิม โลกนี้ยังล้าหลังมาก เหมือนกับยุคโบราณแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มีจักรพรรดิ มีขุนนางประจำอำเภอ หมู่บ้านที่เราอยู่นี้เรียกว่า ‘หมู่บ้านฝูหนิว’ คนที่นี่ทำการเกษตร และ ล่าสัตว์เป็นอาชีพ แต่ช่วงไม่กี่ปีมานี้เกิดภัยพิบัติบ่อย ผลผลิตก็น้อยลง คนทั้งหมู่บ้านกำลังอดอยาก”
เสี่ยวโก่วก็วิเคราะห์บ้าง “จากความทรงจำของร่างเดิม หมู่บ้านฝูหนิวมีห้องน้ำสาธารณะสองแห่ง หนึ่งแห่งอยู่ทางตะวันออกของหมู่บ้าน อีกแห่งอยู่ทางตะวันตก แต่ทั้งสองที่นั้นก็ถูกหมาตัวใหญ่ของบ้านผู้ใหญ่บ้านยึดไปหมด”
แล้วมันก็ถอนหายใจ “เฮ้อ ยุคนี้น่ะนะ มีแต่หมาดุหมาร้ายเท่านั้นที่จะได้กินอิ่มท้อง”
ฟางจือสิง กรอกตามองบนแล้วสรุปว่า “สรุปก็คือตอนนี้หมู่บ้านกำลังอดอยาก ชาวบ้านทุกข์ยากลำบาก แถมเราก็รู้เรื่องโลกนี้น้อยมาก”
เสี่ยวโก่วพูดขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น “บางที นี่อาจเป็นโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร เต็มไปด้วยพลังวิญญาณทั่วฟ้า และ ดิน นายลองนั่งสมาธิดูสิ”
ฟางจือสิง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก และ พ่นออกยาวๆ
เสี่ยวโก่วตั้งหูด้วยความตื่นเต้นแล้วถาม “รู้สึกยังไงบ้าง?”
ฟางจือสิง ตอบอย่างสิ้นหวัง “ฉันรู้สึกหิวมากกว่าเดิมอีกต่างหาก”
เสี่ยวโก่วทิ้งหูลงแล้วบ่น “เราสองคนอย่างน้อยก็ข้ามเวลามา มีโชคพิเศษไหมนะ ว่าแต่นายไม่มีระบบอะไรติดตัวมาบ้างหรือ? หรือว่าไม่มีปรมาจารย์แก่ๆ มาช่วยบ้าง?”
ฟางจือสิง ที่ไม่มีอะไรพิเศษเช่นกันจึงย้อนถาม “แกมีหรือไง?”
เสี่ยวโก่วตอบ “ฉันว่า การที่เราสามารถสื่อสารกันทางจิตใจได้นี่ล่ะ อาจจะเป็นโชคพิเศษของเรา”
ฟางจือสิง ยิ้มเยาะ “มีไปก็เท่านั้น”
เขาลุกขึ้นยืน มองออกไปยังนอกกำแพงไม้ พูดว่า “ต้องหาอะไรมาใส่ท้องแล้วล่ะ”
เสี่ยวโก่วรีบพูด “ทั้งหมู่บ้านต่างหมดเสบียงกันหมด ยกเว้นแต่บ้านผู้ใหญ่บ้านที่ยังพอมีอาหาร ส่วนชาวบ้านคนอื่นๆ ก็ต้องออกไปล่าสัตว์”
ฟางจือสิง พยักหน้า “งั้นเราไปล่าสัตว์กันบ้าง”
เสี่ยวโก่วถาม “นายล่าสัตว์เป็นหรือไง? นายได้รับทักษะการล่าสัตว์จากร่างเดิมมาด้วยหรือ?”
ฟางจือสิง มองดูตัวเอง สูงสักราวๆ ร้อยเจ็ดสิบกว่า ตัวผอมบาง แขนขาเล็ก ใบหน้าเหลืองอิดโรย ดูยังไงก็เหมือนคนขาดสารอาหารมานาน
เขากำหมัดเล็กน้อย มองดูมือหยาบของตัวเองก่อนส่ายหน้า “ร่างเดิมไม่เคยมีทักษะล่าสัตว์อะไรพิเศษเลย ทำได้แค่จับปลากลางลำธารกับปีนต้นไม้ไปเก็บไข่นกเท่านั้นแหละ”
เสี่ยวโก่วมองไปที่กระบอกธนูที่แขวนอยู่ใต้ชายคาบ้านก่อนถาม “ใช้ธนูเป็นไหม?”
ฟางจือสิง ยิ้มเจื่อน “ฉันจะหิวจนเดินไม่ไหวอยู่แล้ว จะเอาแรงที่ไหนไปง้างธนูยิงลูกธนูอีกล่ะ?”
เสี่ยวโก่วคิดตามแล้วก็เห็นด้วย
คนหนึ่งคน และ หมาหนึ่งตัวเดินโซเซออกจากบ้าน
ตอนนี้ ชาวบ้านคนอื่นๆ ก็เริ่มทยอยตื่นกันแล้ว เดินออกจากบ้านมุ่งหน้าไปในภูเขา แยกย้ายกันออกไปหาอาหาร
ฟางจือสิง สะพายตะกร้าไม้ไผ่เก่าๆ มุ่งหน้าตามทางในความทรงจำ เดินผ่านป่าเขาไปไกลสองสามลี้ จนได้ยินเสียงน้ำไหลเซาะจากลำธาร
“นายจะจับปลา?” เสี่ยวโก่วพูดด้วยน้ำเสียงสงสัย “แต่นายไม่มีคันเบ็ด ไม่มีตาข่าย จะจับยังไง?”
ฟางจือสิง ตอบ “ตอนเด็กๆ เจ้าของร่างเดิมเคยเห็นพ่อของเขาลงน้ำจับปลา ที่ริมน้ำน่ะมีรูเยอะ อาจจะควักเจอพวกลูกกุ้งกับปลาไหลก็ได้”
เสี่ยวโก่วรู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมา ขาสี่ข้างเริ่มวิ่ง “ฉันจะช่วยหาหลุมให้นาย แล้วนายก็ไปล้วงดู แล้วนายว่ายน้ำเป็นใช่ไหม?”
“ต้องถามด้วยหรือ?”
ฟางจือสิง เดินมาถึงริมน้ำ เห็นว่าน้ำไหลค่อนข้างแรง และ ขุ่นมัว มีเศษกิ่งไม้ และ ใบไม้แห้งลอยอยู่
เขาถอดรองเท้าฟางออก มัดด้วยหญ้าป่าแล้วคล้องไว้ที่คอ จากนั้นค่อยๆ ก้าวลงไปในน้ำอย่างระมัดระวัง
แม้จะเป็นเดือนกันยายนที่อากาศอบอ้าว แต่น้ำในลำธารก็ยังเย็นอยู่เล็กน้อย
ฟางจือสิง ใช้เวลาปรับตัวสักครู่ ก่อนจะเริ่มเดินตามริมตลิ่งขึ้นไปทางต้นน้ำ ค่อยๆ ใช้เท้าเหยียบโคลนเป็นระยะๆ
โชคดีที่เป็นยุคโบราณ ไม่มีเศษกระจกอยู่ในน้ำ
ไม่นานนัก เขารู้สึกเหมือนเหยียบเจออะไรบางอย่าง ใบหน้าแสดงความแปลกใจ เขาก้มลงล้วงมันขึ้นมา พอมองดูชัดๆ ก็เผยรอยยิ้มออกมา
“หอยทาก!”
ฟางจือสิง เจอหอยทากตัวใหญ่เท่ากำปั้น ยังมีชีวิตอยู่ เห็นเนื้อขาวๆ ภายใน
สักพัก เขาก็ควักเจอหอยอีกตัวขนาดเท่าฝ่ามืออยู่ในโคลน
“ในน้ำนี้มีของดีเยอะเลยแฮะ”
ฟางจือสิง ยิ้มกว้างขึ้น รู้สึกมีกำลังใจมากขึ้น
“โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง!”
เสี่ยวโก่วเห่าอยู่ไกลๆ
ฟางจือสิง ไม่รู้ว่ามันพูดอะไร เพราะการสื่อสารทางจิตมีระยะจำกัด เกินระยะแล้วไม่ว่ามันพูดอะไรก็ฟังเป็นแค่เสียงเห่า
เขาจึงเดินไปหา
เสี่ยวโก่วกำลังจ้องไปที่รูเล็กๆ ข้างลำธาร มันส่งเสียงเข้ามาในหัวว่า “ที่นี่มีรู ฉันว่าในนี้น่าจะมีตัวอะไรอยู่”
ฟางจือสิง แปลกใจ “แกมองทะลุได้หรือยังไง หรือว่าได้กลิ่น?”
เสี่ยวโก่วตอบอย่างภาคภูมิใจ “นายลองดูดีๆ สิ ดินตรงปากรูมันร่วนๆ นะ ฉันเดาว่านี่น่าจะเป็นรูกุ้ง”
ฟางจือสิง นิ่งไปเล็กน้อย เขาย้ายไปที่ตำแหน่งใหม่ แล้วย่อตัวลงยื่นมือขวาล้วงเข้าไปในรู
เสี่ยวโก่วเตือน “ระวังหน่อยล่ะ เดี๋ยวโดนก้ามกุ้งหนีบเอา”
“ไม่ต้องให้แกบอกหรอก” ฟางจือสิง ระวังตัวเต็มที่ ร่างกายเขาเกร็งขึ้น มือค่อยๆ ล้วงเข้าไปทีละนิด
ทันใดนั้น เขารู้สึกเหมือนมือไปโดนอะไรบางอย่าง มันพยายามถอยลึกเข้าไปในรูทันที
ฟางจือสิง สะดุ้งเฮือก รีบชักมือกลับออกมาก่อนจะล้วงเข้าไปใหม่ คราวนี้คว้าจับสิ่งนั้นไว้ได้แน่น
“ไม่ใช่กุ้ง…”
ฟางจือสิง ใช้มือจับแล้วดึงออกมาทันที
เสี่ยวโก่วมองดูด้วยความลุ้นสุดขีด หันซ้ายหันขวาอย่างร้อนรน
พรึบ!
ฟางจือสิง ยืดตัวตรง สิ่งที่ดึงออกมาคือปลาไหลตัวใหญ่ ยาวเกือบหนึ่งเมตร
ปลาไหลดิ้นสุดแรง ทั้งลื่นทั้งเหนียว
ฟางจือสิง จับไม่ถนัด จึงโยนมันขึ้นฝั่งให้ตกลงบนพื้นหญ้า
ปลาไหลดิ้นไปมาแล้วพยายามหนีลงไปข้างล่าง
“ดูฝีมือฉันซะ!”
เสี่ยวโก่ววิ่งพุ่งไปงับหางปลาไหล แต่ไม่ทันไร ปลาไหลสะบัดหางฟาดหน้าเสี่ยวโก่วเต็มแรง
“อ๊ากกก~” “อ๊ากกก~”
เสี่ยวโก่วร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บปวด
“ไร้ประโยชน์สิ้นดี” ฟางจือสิง รีบกระโจนขึ้นฝั่ง ใช้เท้าเหยียบปลาไหลไว้เต็มแรง สองมือกดคอมันแน่น
..........