บทที่ 104 เกาะเหออู ตอนที่ 7
บทที่ 104 เกาะเหออู ตอนที่ 7
เสียงไออีกหลายครั้งดังขึ้น คราวนี้ชายวัยกลางคนมีอาการรุนแรงกว่าเดิม จู่ๆ เขาก็กระอักเลือดก้อนหนึ่งออกมา เลือดสีแดงคล้ำซึมลงดินทันที
เขาเช็ดปากและหลบเลี่ยงจุดที่เลือดกระจาย จากนั้นจึงเดินต่อเพื่อค้นหาต่อไป
หัวหน้าหมู่บ้านบอกว่าเพียงแค่เห็นดินวิญญาณก็จะจำได้ หากเจอเมื่อไหร่ เขาจะกินทันที แล้วยังจะเก็บไปด้วยเพื่อนำกลับ เผื่อว่าหากล้มป่วยอีกก็จะได้ใช้
แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ หลังจากเขาเดินจากไป เลือดที่กระอักออกมาก็ถูกดินดูดซึมไปอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าไม่เคยมีเลือดหยดอยู่ตรงนั้น
ป่านี้เงียบสงัดจริงๆ ไม่มีแม้แต่เสียงนกหรือแมลง ทำให้เหมือนอยู่ในที่สุญญากาศ
ถึงจะรู้สึกเย็นยะเยือก แต่ก็แทบไม่มีลมพัดมาเลย ทั้งหมดนี้ดูแปลกประหลาดมาก
แต่ชายวัยกลางคนไม่สนใจ เขามีแต่ความคิดเกี่ยวกับดินวิญญาณเต็มหัว
เขาไม่รู้ว่าเดินมานานแค่ไหน รู้สึกเหนื่อยจนแม้แต่การก้าวขาก็ต้องใช้แรงมาก ตอนนี้เขาป่วยแล้ว พละกำลังย่อมไม่เหมือนแต่ก่อน
แม้อยู่ในป่าที่เย็นจัด แต่เขาก็เหงื่อท่วมไปทั้งตัว
ข้างหลังมีลมเย็นพัดมาจากที่ไหนสักแห่ง ซึ่งแทนที่จะรู้สึกสบาย กลับทำให้เขาหนาวจนตัวสั่น รู้สึกว่าตัวเองแต่งตัวน้อยเกินไป
เดิมเขาไม่คิดจะใส่ใจสิ่งเหล่านี้ แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงแปลกๆ คล้ายเสียงฝีเท้า
ชายวัยกลางคนระวังตัวขึ้น หยุดเดินและมองไปรอบๆ แต่รอบข้างกลับไม่มีต้นหญ้าแม้แต่ต้นเดียวที่ขยับ
หรือมีใครบางคนตามเขามา?
ไม่ได้ ต้องเป็นของเขาเท่านั้น ดินวิญญาณต้องเป็นของเขา
คิดได้ดังนั้น เขารีบเร่งฝีเท้าและหันกลับมามองเป็นระยะ คราวนี้เขาไม่ได้ยินเสียงแปลกๆ นั้นอีก
หลังจากที่เขาเดินไปไม่นาน รอบๆ เนินดินหลุมศพเริ่มมีหญ้าไหวเบาๆ ดินบนเนินค่อยๆ หล่นลงมาเล็กน้อย แต่ก็กลับมาสงบอีกครั้ง
ป่านี้บังแสงอาทิตย์อยู่แล้ว เมื่อเริ่มเห็นฟ้าค่อยๆ มืดลง เสิ่นชงหรานกับเฟิงอี้เฉินจึงตัดสินใจเดินกลับ
แม้ว่าป่านี้จะดูน่ากลัวและมืดครึ้ม แต่พวกเขาก็ยังสามารถหาทางกลับได้ ที่สำคัญ พวกเขาเดินมาเป็นเส้นตรงตลอด ไม่ได้วนไปมา
“ป่านี้ไม่น่าจะใหญ่ขนาดนั้น ทำไมเราไม่เจอใครเลย” เสิ่นชงหรานคิดว่า ถึงจะแยกกันเดิน ก็อาจเจอกันระหว่างทางได้บ้าง
เธอหยิบไม้ขึ้นมาเดินนำ ใช้ไม้กวาดสิ่งกีดขวาง
เฟิงอี้เฉินเดินตามหลัง “บางทีป่านี้อาจจะใหญ่กว่าที่เธอคิด อย่าลืมนะว่านี่คือเกาะ พื้นที่ที่ชาวบ้านใช้ก็จำกัด ไม่ทำลายสภาพแวดล้อมไปมากกว่านี้”
เสิ่นชงหรานพยายามนึกถึงภาพที่เห็นก่อนเข้าป่า ดูเหมือนว่าด้านตะวันตกจะเต็มไปด้วยต้นไม้ แต่ไม่ได้ใส่ใจว่ามันทอดยาวไปถึงไหน
“พรุ่งนี้เราต้องมาป่าตั้งแต่เช้าเลย เราจะหามื้อกลางวันกินในนี้ อาจสำรวจพื้นที่ได้กว้างขึ้น”
เฟิงอี้เฉินตอบ “ตกลง พรุ่งนี้เช้าตั้งเวลาไว้เลย ฉันมีอาหารสำเร็จรูปเตรียมมา เธอล่ะ?”
เสิ่นชงหรานใช้ไม้กวาดเศษหญ้าออกจากทาง “แน่นอนว่าฉันเตรียมมาแล้ว ของสำคัญนอกจากอุปกรณ์ก็ต้องเป็นอาหาร”
ในช่องเก็บของของเธอเกือบครึ่งเป็นอาหารและของใช้จำเป็น ส่วนที่เหลือคืออุปกรณ์ต่างๆ
ทั้งสองสนทนากันไปพลางคาดเดาเกี่ยวกับภารกิจในครั้งนี้โดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งมาถึงขอบป่า ที่นั่นสามารถมองเห็นบ้านเรือนในหมู่บ้านได้
เสิ่นชงหรานเริ่มรู้สึกหิว “ฉันเห็นบ้านแล้ว โชคดีนะที่ไม่หลงป่า”
เธอไม่อยากหลงอยู่ในป่ามืดๆ แบบนี้เลย
เฟิงอี้เฉินมองเห็นท่าทางของเสิ่นชงหรานที่ดูมีชีวิตชีวาขึ้น ก็อดยิ้มไม่ได้
พวกเขาเดินออกจากป่าจนได้ เสิ่นชงหรานหันมา “เราไม่รอคนอื่นแล้วดีไหม?”
เฟิงอี้เฉินไม่หยุดเดิน “ฉันไม่รอ เธออยากรอก็รอ”
เสิ่นชงหรานไม่รอเช่นกัน รีบตามเฟิงอี้เฉินไปทันที
ก่อนที่ฟ้าจะมืดสนิท คนอื่นๆ ก็กลับออกจากป่าเช่นกัน เพียงแต่กลับมาในเวลาที่แตกต่างกัน
เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น ทั้งสิบสองคนมีเพียงชายวัยกลางคนหน้าซีดเซียวคนเดียวที่ยังไม่กลับมา
“คนที่หน้าซีดๆ นั่นจะไม่เกิดเรื่องอะไรไปแล้วใช่ไหม” กัวเจี้ยนไป๋พูดพลางยืนมองไปทางตะวันตก ขณะที่คนอื่นๆ ยังคงนั่งทานอาหารอยู่ในบ้าน
“พวกเขาทุกคนต้องรับผิดชอบความปลอดภัยของตัวเอง อีกอย่าง เขาก็เป็นคนบอกเองว่าจะไปคนเดียว นายจะไปยุ่งทำไม” หนิงเจียเหม่ยพูดด้วยน้ำเสียงดูถูก พลางกินข้าวอย่างไม่ใส่ใจ
กัวเจี้ยนไป๋กัดแอปเปิ้ลพลางมองหนิงเจียเหม่ยอย่างเย้ยหยัน “ใจคอจะเย็นชากันหมดเลยหรือไง”
หนิงเจียเหม่ยหัวเราะเย็นชา ในภารกิจแบบนี้ ใครจะมีจิตใจดีได้ตลอดเวลา “ถ้านายห่วงจริงๆ ก็เข้าไปในป่าตามหาเขาสิ”
พอกัวเจี้ยนไป๋ได้ยินเช่นนั้น ท่าทีก็เปลี่ยนทันที “เขาอายุเท่าไหร่แล้ว ฉันแค่เด็กนิดเดียวเอง”
หนิงเจียเหม่ยไม่สนใจเขาอีก
หลังจากทุกคนทานอาหารเสร็จ ชายวัยกลางคนก็เดินกลับมาที่ลานบ้านด้วยท่าทีอ่อนแรง
กัวเจี้ยนไป๋กระโดดลุกขึ้นรีบไปหาเขา “ลุง ทำไมกลับเอาป่านนี้ พวกเราเป็นห่วงว่าคุณอาจจะหลงอยู่ในป่านะ”
ชายวัยกลางคนไม่สนใจเขา เพียงแค่กุมท้องเดินเข้าไปในลานหลังบ้าน ไม่แม้แต่จะสนใจอาหาร
หนิงเจียเหม่ยมองดูเหตุการณ์นี้พลางหัวเราะเยาะ ส่วนกัวเจี้ยนไป๋ก็ไม่พูดอะไรอีก เดินกลับเข้าห้องไปเงียบๆ
แม้ทุกคนจะไม่รู้ว่าเหตุใดชายวัยกลางคนถึงกลับมาช้าขนาดนี้ แต่ตราบใดที่เขากลับมาอย่างปลอดภัย ความอึดอัดในใจก็คลายลง
เช้าวันต่อมา เสิ่นชงหรานถูกปลุกด้วยเสียงปี่ เธอหันมองเวลา พบว่ามันเพิ่งจะหกโมงกว่าๆ ทั้งที่เมื่อวานเธอนัดกับเฟิงอี้เฉินว่าจะตื่นตอนเจ็ดโมงกว่า
คาดไม่ถึงเลยว่าชาวบ้านจะเป่าปี่แต่เช้าเช่นนี้
ไม่ใช่แค่เธอที่ตื่น หลายคนก็ลุกขึ้นเช่นกันขณะที่เธอกำลังขยี้ตาเดินออกจากห้อง
เธอยังไม่เห็นเฟิงอี้เฉิน แต่ไม่นานเขาก็เดินมาจากเรือนหน้า
“อาหารเช้าส่งมาแล้ว วันนี้มีแค่โจ๊กกับผักดอง”
แค่ฟังเสิ่นชงหรานก็หมดความอยากอาหาร จึงเดินกลับห้องไปล้างหน้าแปรงฟัน
เฟิงอี้เฉินตามเข้าไป “เหมือนพวกชาวบ้านจะมีพิธีศพ พวกเขากำลังแบกโลงศพไปทางป่าทิศตะวันตก”
เสิ่นชงหรานได้ยินดังนั้น รีบเร่งล้างหน้าด้วยน้ำเย็นเพื่อให้สดชื่นขึ้น “งั้นเราตามไปดูดีกว่า”
เฟิงอี้เฉินเห็นเธอเช็ดหน้าเสร็จ ก็ออกไปยืนรอที่ประตู
วันนี้เสิ่นชงหรานสวมกางเกงขายาว เสื้อด้านบนเป็นเสื้อแขนสั้น ทว่าตอนออกมาก็หยิบเสื้อถักมาสวมทับ เนื่องจากอากาศในป่านั้นเย็นจัดผิดปกติ
ทั้งสองรีบออกไปอย่างรวดเร็ว คนอื่นๆ ที่นั่งทานข้าวอยู่เห็นทั้งคู่รีบออกไป ก็รีบยกชามดื่มโจ๊กรวดเดียวโดยไม่สนว่าจะร้อนหรือไม่
ขบวนแห่ศพเดินไปได้ระยะหนึ่งแล้ว เสิ่นชงหรานและเฟิงอี้เฉินจึงต้องวิ่งเบาๆ เพื่อไล่ตาม
เสียงปี่ดังก้องจนแม้จะมองไม่เห็นขบวน ก็สามารถตามทิศทางของเสียงได้
หลังจากวิ่งตามไปประมาณสิบนาที พวกเขาก็มองเห็นขบวนท้ายสุด คนเหล่านี้ก็เหมือนเมื่อวาน ต่างคาดผ้าขาวไว้ที่เอว และมีบางคนจูงลูกมาด้วย
สิ่งที่โดดเด่นที่สุดนอกจากโลงศพใหญ่ก็คือหัวหน้าหมู่บ้านแซ่วังที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่
เขายังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้และอยู่ด้านหน้าโลงศพ
เพื่อไม่ให้ชาวบ้านรู้สึกขุ่นเคือง พวกเขาจึงรักษาระยะห่างและเดินตามอยู่ข้างหลัง
ขบวนแห่ศพนั้นเดินเข้าสู่ป่าอย่างรวดเร็ว และทันทีที่ขบวนเข้าไปในป่า เสียงปี่ก็เงียบลงอย่างเห็นได้ชัดจากบริเวณนอกป่า
เมื่อเห็นว่าคนข้างหน้าทั้งหมดเข้าไปในป่าแล้ว เสิ่นชงหรานและเฟิงอี้เฉินจึงเดินตามเข้าไป
พวกชาวบ้านยังคงเดินต่อไปโดยไม่หันกลับมา เสิ่นชงหรานคิดว่า บางทีคนเหล่านี้อาจจะไม่ว่าอะไรที่พวกเธอตามมา
เสียงดังขนาดนี้ หากไม่ได้หูหนวกคงจะได้ยินกันหมด
..........