บทที่ 1 โชคร้ายจากคน
บทที่ 1 โชคร้ายจากคน
“เลิกกันก็ได้ แต่เงินสินสอดสามแสนแปดหมื่นหยวนนั่น เธอต้องคืนให้ฉัน!”
หลี่ตงซวี่ถือโทรศัพท์ในมือ สีหน้าบิดเบี้ยว เสียงแหบแห้งกดอารมณ์โกรธจัดไว้แทบไม่ไหว
เขาแทบจะคลั่ง!
สองเดือนก่อน ด้วยโอกาสบังเอิญ เขาได้รู้จักผู้หญิงคนหนึ่งชื่อหูเตี๋ยฮวา สวยขายาว ใสซื่อแต่น่าหลงใหล เจอครั้งแรกก็หลงรักทันที เลยเริ่มจีบเธออย่างจริงจัง
ไม่น่าเชื่อ หูเตี๋ยฮวาก็มีใจให้เขาเหมือนกัน
หลังจากเดตกันไม่กี่ครั้ง ทั้งคู่ก็กลายเป็นแฟนกันอย่างรวดเร็ว ไม่ถึงเดือนก็เริ่มคุยเรื่องแต่งงาน ทุกอย่างดูราบรื่นเป็นไปตามคาดหวัง
หลี่ตงซวี่คิดว่าตัวเองจะได้แต่งงาน และ มีครอบครัวที่อบอุ่นในไม่ช้า
แต่แล้วหูเตี๋ยฮวาก็พูดขึ้นอย่างจริงจังว่า ถ้าอยากแต่งกับเธอ ต้องเตรียมเงินสินสอดห้าแสนหยวน!
หลี่ตงซวี่ก็เป็นแค่พนักงานออฟฟิศธรรมดา จะไปหามากขนาดนั้นจากที่ไหนได้ สุดท้ายเขาต่อรองอยู่หลายครั้งจนลดเหลือสามแสนแปดหมื่นหยวน
เขาเอาเงินเก็บจากการทำงานเจ็ดปีมารวมเข้าด้วยกัน แล้วยังไปขอยืมจากญาติๆ อีกนิดหน่อย ถึงจะรวบรวมเงินสินสอดครบตามที่ต้องการ
หลังจากนั้น เขาก็เตรียมงานแต่งด้วยใจที่เต็มไปด้วยความหวัง
แต่เมื่อเย็นวานนี้ ขณะที่เขากลับจากทำงานต่างจังหวัดเร็วกว่ากำหนด ซื้อดอกไม้ไปเซอร์ไพรส์หูเตี๋ยฮวาที่บ้าน
แต่แล้วก็เห็นหูเตี๋ยฮวากำลังเดินกลับเข้าบ้านไปพร้อมกับผู้ชายอีกคน โอบกันแน่น เดินตัวติดกันราวนกน้อยในกรงรัก
หลี่ตงซวี่ไม่อยากเชื่อสิ่งที่เห็น จึงถามหูเตี๋ยฮวาด้วยความโกรธว่าชายคนนั้นเป็นใคร
ไม่ทันที่ชายคนนั้นจะพูดอะไร เขาแสยะยิ้มมองหลี่ตงซวี่ก่อนตอบเย้ยๆ ว่า เขากับหูเตี๋ยฮวาน่ะคือรักแท้ ส่วนหลี่ตงซวี่ก็แค่ตัวสำรอง
หูเตี๋ยฮวาไม่พูดอะไรเลย ไม่แม้แต่จะมองหลี่ตงซวี่สักนิด ทำเหมือนเธอยอมรับคำพูดนั้นไปแล้ว
หลี่ตงซวี่อับอาย และ โกรธจัด ปรี่เข้าหาชายคนนั้น แต่ถูกต่อยจนล้มลงทันที ตาเห็นดาว ปากจมูกมีเลือดไหล
“ฮ่าๆ คบกับเธอสองเดือน ได้จับมือแค่ไม่กี่ครั้ง แม้แต่จูบยังไม่มีเลยใช่ไหม?”
“โง่เอ๊ย เรานอนด้วยกันทุกวันเลยนะ!”
ชายคนนั้นหัวเราะเย้ยหยัน โอบกอดหูเตี๋ยฮวาไว้แน่นก่อนเดินจากไปอย่างไม่แยแส
หลี่ตงซวี่กลับบ้านไปด้วยจิตใจมืดมน ไม่รู้เลยว่าจะผ่านค่ำคืนนั้นไปได้อย่างไร จนเช้าวันถัดมา เขาค่อยสงบสติอารมณ์ได้จึงรีบโทรหาหูเตี๋ยฮวา ไม่ได้ต้องการอะไรมาก แค่อยากได้เงินสินสอดสามแสนแปดหมื่นหยวนคืนเท่านั้น
“เงินสินสอดอะไร? เธอเคยให้ฉันเมื่อไหร่?”
เสียงหัวเราะเย็นชาในสายตอบกลับมา “ฉันกับเธอก็แค่เล่นๆ ฉันไม่ได้ติดค้างอะไรเธอหรอก แล้วจากนี้ไปไม่ต้องติดต่อฉันอีก”
เธอวางสายไปทันที
“เธอมันผู้หญิงเลว ทำไมถึงหลอกฉัน?” หลี่ตงซวี่แทบคลั่ง รีบโทรกลับไปทันที แต่กลับพบว่าฝั่งนั้นปิดเครื่องไปแล้ว
ความโกรธของหลี่ตงซวี่ทะลักออกมา เขาคว้ามีดครัวติดมือแล้วพุ่งออกไปข้างนอกทันที
...
ค่ำคืนเย้ายวน ร้านปิ้งย่างคึกคักสุดๆ
เพื่อนสนิทสี่คนล้อมวงอยู่หน้าตั้งโต๊ะ เบียร์เย็นๆ ลื่นคอเสียบไม้ปิ้งย่าง ย่างกรอบเคี้ยวเต็มคำ คุยโม้เมามัน
พวกเขาไม่ใช่แค่เพื่อนเล่นตั้งแต่เด็ก แต่ยังเป็นพี่น้องร่วมสาบาน
พอมีเวลาว่างทีไร พวกเขาก็จะมานั่งสังสรรค์ด้วยกันเสมอ
“มามา วันนี้พวกเรากว่าจะได้เจอกันทั้งที ดื่มกันเยอะๆ หน่อย”
พวกเขาผลัดกันยกแก้ว ชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้
ฟางจือสิงมองไปที่จางฉางจี๋ซึ่งเต็มไปด้วยรอยสัก ดูเหมือนพวกอันธพาลข้างถนน แล้วหัวเราะพลางถาม “เป็นไงบ้างได้ข่าวว่าไปมีแฟนใหม่อีกแล้วเหรอ?”
“ฮ่าๆๆ อะไรคือ ‘อีกแล้ว’ ฉันเป็นคนแบบนั้นเหรอ?”
จางฉางจี๋ยกข้อมือขึ้นเล็กน้อย เขย่านาฬิกาข้อมือประดับเพชรบนข้อมือพลางยิ้มพอใจสุดๆ
ฟางจือสิงจึงรีบถามต่อ “ผู้หญิงคนนั้นเป็นยังไง? นอนด้วยกันหรือยัง?”
จางฉางจี๋ยักคิ้วหลิ่วตา ทุกอย่างชัดเจนโดยไม่ต้องพูดอะไร
แต่ทันใดนั้น จางฉางจี๋เงยหน้าขึ้น สายตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ
ชายคนหนึ่งที่ถือมีดอยู่ในมือ ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ หน้าตาบิดเบี้ยวอย่างน่ากลัว วิ่งพรวดเข้ามาแล้วฟาดมีดลงทันที
...
ต้าจิว ตันโจว เขตชิงเหอ!
แสงแดดอ่อนยามใบไม้เปลี่ยนสี ประดับทิวทัศน์ด้วยใบไม้ร่วงลู่ลง ค้างคาวน้ำค้างเย็นยะเยียบยังคลี่ม่านราตรีไม่พ้น
“กุ๊กๆๆ~”
ไก่ขันอยู่ข้างนอก
ฟ้ายังไม่สว่างดี ฟางจือสิงสะดุ้งตื่นจากฝันร้าย มองไปรอบๆ กระท่อมมุงฟางโทรมๆ ที่มีรูรั่วอยู่ทุกด้าน ราวกับอยู่คนละโลก
เสียงไก่ที่หยุดขัน ทำหน้าที่เป็นนาฬิกาปลุกแบบดั้งเดิม ทำให้ฟางจือสิงมั่นใจอีกครั้งว่าเขานั้นทะลุมิติจริงๆ
เจ้าของร่างนี้ชื่อว่า ต้าเหนียว อายุสิบแปดปี เกิดในหมู่บ้านกลางภูเขาในเทือกเขาฝูหนิว เขตชิงเหอ
ต้าเหนียวเสียแม่ตั้งแต่ยังเล็ก และ เสียพ่อในวัยรุ่น เหลือไว้แค่กระท่อมมุงฟางหลังหนึ่ง (มีรั้ว รอบข้างหนาวเย็นในฤดูหนาว และ อบอุ่นในฤดูร้อน) ที่นาแค่ครึ่งไร่ ลูกหมาหนึ่งตัว คันธนูหนึ่งคัน ลูกธนูสิบแปดดอก และซองเก็บธนูอีกหนึ่งซอง
สามวันก่อน ต้าเหนียวพาสุนัขบ้านไปล่าสัตว์ในภูเขา บังเอิญเจอหมีดำเข้า เขาตกใจจนพลัดตกลงไปในหุบ เขาร่างกระแทกกับก้อนหินเสียชีวิต
แล้วพอตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ร่างของเขาก็ได้กลายเป็นของฟางจือสิง
“กุ๊กๆๆ~”
ฟางจือสิงพอตื่นขึ้นมา ท้องก็ร้องโครกคราก ความหิวโถมเข้าใส่ เขาลงจากเตียง มองรอบๆ กระท่อมที่พังโทรมไร้ทรัพย์สินอะไรเหลือแม้แต่อาหารสักชิ้นก็ไม่มี
หมดหนทาง เขาจึงเปิดประตู เดินไปที่โอ่งน้ำใหญ่ซึ่งขอบโอ่งหัก ใช้กระบวยน้ำเต้าตักน้ำมาดื่มประทังความหิวไปก่อน
“โฮ่ง โฮ่ง!”
ลูกสุนัขตัวหนึ่งวิ่งกระโจนมาข้างหลัง ขนเป็นสีด่าง ดูเหมือนจะมีเชื้อฮัสกี้อยู่เจ็ดส่วน ผสมกับพันธุ์ไทยสามส่วน
“หิว หิวจะแย่แล้ว!”
เสียงบ่นดังขึ้นในหัวฟางจือสิง “ฟางจือสิง รีบหาของกินเร็ว ไม่งั้นฉันอดตายแน่!”
ฟางจือสิงหันไปมองลูกหมาน้อยหูตกที่นอนแผ่หลาบนพื้น อายุไม่ถึงสองสามเดือน ก็มันนั่นแหละ เขาถึงได้โกรธจนทนไม่ไหวแล้วตวาดใส่ไปว่า
“ยังกล้ามีหน้ามาพูดอีกเหรอ ถ้าไม่ใช่เพราะแกไปจีบคู่หมั้นคนอื่น ฉันจะถูกคนบ้าถือมีดไล่ฆ่ารึไง!”
“โธ่ ทำไมต้องดุด้วยล่ะ!”
เจ้าหมาน้อยทำเสียงน่าสงสาร รู้ตัวว่าผิด ยอมรับเบาๆ ว่า “ฉันผิดเองก็ได้ ใครจะไปรู้ว่าหมอนั่นจะถือมีดมาไล่ฟันล่ะ อีกอย่างตอนหมอนั่นไล่ฟันนาย นายไม่คิดจะหลบเลยเหรอ?”
“หลบ? ยังกับแกจะหลบเก่งนักนี่!”
ฟางจือสิงหยิบไม้ขึ้นมาหวดใส่ลูกหมาน้อย
“โฮ่ง โฮ่ง~”
ลูกหมาวิ่งเตลิดหนีไป ฟางจือสิงไล่ตามไปติดๆ
แต่ยังไม่ทันวิ่งครบสองรอบ ทั้งคนทั้งหมาต่างก็หยุดลง ทิ้งตัวนั่งแผ่บนพื้นด้วยกัน
เพราะทั้งคู่ต่างหิวจนไม่มีแรงจะสู้กันต่อแล้ว
..........