ตอนที่ 74 เชื้อสายถ้ำจีหยินก็ต้องเข้าร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้ด้วย
ตอนที่ 74 เชื้อสายถ้ำจีหยินก็ต้องเข้าร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้ด้วย
ฉู่เสวียนยิ้มและพยักหน้า
หลิวเจิ้งสงจึงแนะนำอย่างกระตือรือร้น "ศิษย์น้องฉู่ นี่คือเจิ้งฉางชิง ศิษย์ของผู้อาวุโสจ้าวอู๋หยาเขาเชี่ยวชาญในการควบคุมอสูรและมีเลี้ยงสัตว์วิญญาณที่อยู่ในช่วงรากฐานหลายตัว "
เจิ้งฉางชิงหัวเราะออกมาเบาๆ "สหายลัทธิเต๋า ข้าแค่สนใจที่จะเอาอสูรมาเป็นสัตว์เลี้ยงก็เท่านั้น”
เขามองไปที่ฉู่เสวียน “นี่คือสหายลัทธิเต๋าฉู่หรือไม่ ยินดีที่ได้รู้จัก ข้าได้ยินความแข็งแกร่งของเจ้าจากสหายลัทธิเต๋าหลิวแล้ว การที่เจ้าสามารถทะลวงช่วงสร้างรากฐานในอายุเพียงแค่นี้ได้ถือว่าเจ้าเป็นอัจฉริยะที่หายากคนหนึ่ง!”
ฉู่เสวียนยิ้ม “ไม่มีอะไรหรอกขอรับ ข้าแค่โชคดีนะ”
เจิ้งฉางชิงยิ้ม “อาจารย์ของเรานั้นเป็นสหายเก่ากัน ต่อไปเราทั้งสองฝ่ายก็จะต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกัน”
พูดจบพวกเขาทั้งสามก็เข้าไปในถ้ำของหลิวเจิ้งสง ส่วนใหญ่แล้วเป็นหลิวเจิ้งสงและเจิ้งฉางชิงที่พูดกัน ในขณะที่ฉู่เสวียนพูดน้อยที่สุด
หลังจากนั้นไม่นาน เจิ้งฉางชิงก็พูดว่า "ศิษย์น้องของข้าก็มาด้วย"
หลิวเจิ้งสงดูตื่นเต้นเป็นอย่างมาก และถามออกมาว่า "สหายลัทธิเต๋าลู่หยินหรือ ครั้งล่าสุดข้าก็อยากจะเจอเขาเหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่เขาไม่มา ทำไมครั้งนี้เขาถึงมาที่นี่ล่ะ? "
เจิ้งฉางชิงยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “ศิษย์น้องลู่... มีนิสัยค่อนข้างหวาดระแวงและแปลกประหลาด ข้าต้องชักชวนเขาหลายครั้งกว่าที่เขาจะเต็มใจมา ฉะนั้นหากว่าหลังจากนี้ศิษย์น้องลู่มีคำพูดที่ไม่เหมาะสมใดๆ โปรดยกโทษให้เขาด้วย อย่าได้ถือสาคำพูดของเขาเลย”
หลิวเจิ้งสงและฉู่เสวียนพยักหน้า
ผู้บ่มเพาะแต่ละคนนั้นย่อมมีนิสัยที่ต่างกัน บางคนก็อาจจะมีนิสัยที่แปลกๆ บ้างเป็นธรรมดา
โดยเฉพาะผู้บ่มเพาะที่หมกมุ่นอยู่กับการบ่มเพาะและชอบปลีกวิเวกเป็นเวลาหลายสิบปี อุปนิสัยของพวกเขาย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทว่าในตอนนั้นก็ได้มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากข้างนอก “ข้ามาแล้ว”
เมื่อได้ยินเสียง หลิวเจิ้งสงก็ได้พาพวกเขาสองคนออกไปดู
ฉู่เสวียนเห็นบุคคลผู้นั้นอย่างชัดเจน เขามีรูปร่างที่ผอม เบ้าตาลึก และใบหน้าเหี่ยวเฉา
ทว่าหลิวเจิ้งสงกลับดูกระตือรือร้นอย่างยิ่ง "สหายลัทธิเต๋าลู่ ข้าหลิวเจิ้งสง ดีใจที่ได้พบเจ้า เชิญเข้าไปข้างในถ้ำก่อน"
ลู่หยินมองดูหลิวเจิ้งสงตั้งแต่หัวจรดเท้าสองสามครั้ง แล้วพยักหน้าเบา ๆ
จากนั้นเขาก็มองไปที่เจิ้งฉางชิงทันที "ศิษย์พี่ ข้ามาแล้ว เราเข้าไปข้างในกันเถอะ"
เจิ้งฉางชิงยิ้มออกมาอย่างช้าๆ "เอาล่ะ เข้าไปนั่งข้างในกันเถอะ"
หลิวเจิ้งสงลดเสียงลงและถามว่า "สหายลัทธิเต๋าลู่ เจ้ามีกู่ระยะที่ 2 ขายบ้างหรือไม่"
ลู่หยินเหลือบมองเขาจากด้านข้าง "สหายลัทธิเต๋าหลิว กู่ระยะที่สอง นั้นจะต้องเอาฝังไว้ในอวัยวะภายในร่างกาย และเลี้ยงมันด้วยเลือดเนื้อของเจ้าของ ถ้าเจ้ามีอาหารให้มันไม่เพียงพอ ก็ไม่ควรซื้อกู่ระยะที่ 2 "
หลิวเจิ้งสงยิ้ม "แม้ว่าข้าจะไม่มีเลือดเนื้อเลี้ยงมัน แต่ข้าก็อยากจะรู้ว่ามันราคาเท่าไหร่ "
ลู่หยินพูดอย่างใจเย็น “ราคาขั้นต่ำของแมลงกู่ระยะที่2 คือ 1,200 ก้อนหินวิญญาณระดับต่ำ”
รอยยิ้มของหลิวเจิ้งสงหุบลงทันที...ราคานี้แพงเกินไป
ฉู่เสวียนเหลือบมองลู่หยินอีกสองสามครั้ง แม้ว่าสองคนที่เขาเคยเห็นจะดูไม่เหมือนกันก็ตาม แต่เมื่อฟังจากน้ำเสียงที่ลู่หยินพูดออกมา เขาก็พอจะคาดเดาตัวตนของบุคคลนั้นได้คร่าวๆ หนอนลัทธิเต๋าที่เขาไปเจอในร้านน้ำชาวันนั้นและลู่หยินคนนี้น่าจะเป็นคนเดียวกัน
และเนื่องจากนิสัยของทั้งสองก็มีความคล้ายคลึงกันมาก...นั้นก็คือไม่แยแสใคร
เจิ้งฉางชิงรีบพูดออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า "ศิษย์น้องลู่ อาจารย์ของสหายลัทธิเต๋าหลิวคือผู้อาวุโสหวันอู๋อิงที่เป็นสหายเก่ากับอาจารย์ของเรา ในอนคตเราจะต้องสนับสนุนและช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เจ้าพอจะลดราคาได้หรือไม่ ?"
ลู่หยินสับสนเล็กน้อย เขาดูเป็นคนใจร้อน แต่ก็ยังพยักหน้า "ถ้าอย่างนั้นก็เหลือ 1000 ก่อนหินวิญญาณ แต่ต่ำกว่านี้ไม่ได้แล้ว"
หลิวเจิ้งสงและลู่หยินได้ต่อรองราคากัน แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้
ในท้ายที่สุด ลู่หยินก็ขี้เกียจเกินกว่าจะพูดอะไรอีก เขาจึงรีบจากออกไปทันที
เจิ้งฉางชิงจึงกล่าวขอโทษหลิวเจิ้งสงออกมา และไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องขอตัวจากไป
หลังจากที่พวกเขาจากไปแล้ว หลิวเจิ้งสงก็ขมวดคิ้วและถอนหายใจ
“ศิษย์พี่ ลู่หยินคนนี้แข็งแกร่งมากเลยหรือ?” ฉู่เสวียนถามขึ้นมา
หลิวเจิ้งสงกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกว่า "ข้าได้สอบถามแล้ว มีผู้บำเพ็ญช่วงสร้างรากฐานไม่มากนักในนิกายเทียนหยินที่แอบเพาะพันธุ์แมลงกู่ได้สำเร็จ และลู่หยินคนนี้ก็ได้รับการยอมรับว่าประสบความสำเร็จที่สุดในการเพราะพันธุ์แมลงกู่ แมลงกู่ที่เขาเลี้ยงนั้นก็ค่อนข้างทรงพลัง และเชื่อฟังเขามาก ข้าได้เชิญเขามาครั้งที่แล้ว แต่ก็ไม่ได้ผล"
หลิวเจิ้งสงถอนหายใจ "ข้าเป็นเชื้อสายของถ้ำจีหยิน แต่ข้าก็ได้สูญเสียทรัพยากรไปมากมาย ตำราพื้นฐานเล่มเดียวที่ข้าเหลืออยู่คือ ‘หนอนโลหิต’ เท่านั้น เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตนเอง ข้าจะต้องเข้าหาผู้อื่น ตอนนี้ข้ากำลังตามหาแมลงกู่ และคนที่เหมาะสมที่สุดก็คือลู่หยินคนนี้ แต่ใครจะไปคิดว่าเขาจะมีอารมณ์ร้ายเช่นนี้? เขาไม่คิดจะลดราคาให้ข้าเลย”
ฉู่เสวียนคิดไตร่ตรองในขณะที่ฟังหลิวเจิ้งสงพูดไปด้วย
เพิ่มความแข็งแกร่งอย่างนั้นหรือ? เป็นไปได้ไหมว่าเชื้อสายถ้ำจีหยินจะมีส่วนร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้ด้วย?
นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีอย่างแน่นอน
สงครามระหว่างนิกายเทียนหยินและนิกายพื้นเมืองของแคว้นอู๋โจวตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงเวลาวิกฤติ
ผู้บ่มเพาะที่เข้าร่วมสงครามในครั้งนี้ นอกจากผู้บำเพ็ญช่วงสร้างฐานรากระดับสูงแล้ว ผู้บ่มเพาะที่อยู่ในเขตแดนต่ำกว่านั้นก็ไม่ต่างไปจากเหยื่อของสงครามเลย เพราะมันไม่ต่างจากเครื่องบดเนื้อที่จะบดขยี้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดให้แหลกสลายลงไป
เมื่อความสงสัยเกิดขึ้นมาในใจ ฉู่เสวียนจึงได้ถามคำถามสองสามข้อกับหลิวเจิ้งสง จากนั้นหลิวเจิ้งสงก็ได้อธิบายสถานการณ์ต่างๆให้เขาฟัง
"...ผู้อาวุโสจ้าวอู๋หยาร่วมมือกับอาจารย์ของเราและผู้อาวุโสฮวงหยวนอู๋จากนิกายเทียนหยินบุกเข้าไปในอาณาจักรลับของภูเขาซีหมิงในแคว้นอู๋โจวและยึดเอาสมบัติสำคัญของที่นั่นออกมา การที่นิกายเทียนหยินเข้าไปรุกรานนิกายพื้นเมืองเมื่อเร็ว ๆ นี้กลายเป็นเรื่องร้ายแรงมาก เพราะมีสมบัติล้ำค่ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นจึงมีข่าวจากห้องโถงใหญ่ของภูเขาเทียนหยินว่าเราซึ่งเป็นศิษย์ของถ้ำจีหยิน ก็จะได้เข้าร่วมในสงครามครั้งนี้ด้วย”หลิวเจิ้งสงยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
ฉู่เสวียนเองก็รู้สึกหนักใจไม่ต่างกัน เขาอยู่แค่ช่วงสร้างรากฐานขั้นที่ 4 เท่านั้น แม้ว่าเขาจะมีไพ่ตายมากมายอยู่ในมือ แต่เขาก็สามารถเอาชนะได้แค่ผู้บำเพ็ญช่วงสร้างรากฐานขั้นที่ 5
หากว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับปรมาจารย์ที่อยู่ในช่วงสร้างรากฐานระดับสูง มันจะต้องจบลงด้วยความพ่ายแพ้อย่างแสนสาหัสหรือแม้กระทั่งตายลงไป เมื่อเชื้อสายของถ้ำจีหยินจะต้องเข้าสู่สงคราม อัตราการตายของเขาก็จะเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ถ้ามันไม่ได้ผล ก็แค่หนีไปอยู่ที่ดาวเคราะห์โลกาวินาศเพื่อเร่งการบ่มเพาะ เมื่อข้าสามารถบ่มเพาะจนไปถึงระดับที่ 7 ของพระสูตรกลั่นโลหิตปีศาจบนดาวเคราะห์โลกาวินาศ และทะลวงเข้าสู่ช่วงสร้างรากฐานระดับสูงได้ มันก็ไม่สายเกินไปที่จะกลับมาที่นี่” ฉู่เสวียนคิดกับตัวเองอย่างลับๆ
ไพ่เด็ดที่สุดของเขาคือเขาสามารถเดินทางข้ามมิติระหว่างสองโลกผ่านกระจกโลหิตได้
หากว่าที่นี่อันตรายเกินไป เขาก็แค่หนีไปอยู่ที่ดาวเคราะห์โลกาวินาศ
“...ศิษย์น้อง นี่คือสถานการณ์ปัจจุบันที่เราต้องเผชิญ และมันก็คือเหตุผลที่ข้าพยายามพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเองให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ศิษย์พี่ใหญ่หลี่และศิษย์พี่อู๋ก็วิ่งไปรอบ ๆ เพื่อตามหาทรัพยากรมาพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเองเหมือนกัน”
หลิวเจิ้งสงมองไปที่ฉู่เสวียน “เจ้าควรคิดเกี่ยวกับเรื่องเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตัวเองให้มากกว่านี้”
ฉู่เสวียนพยักหน้า...
ทันใดนั้นหลิวเจิ้งสงก็จำบางสิ่งบางอย่างได้และพูดอย่างรวดเร็วว่า "เจ้าสามารถไปหาซื้อของที่ตลาดมืดได้ เมื่อเร็ว ๆ นี้ข้าได้ยินมาว่ามีชายลึกลับเอาลูกปัดโลหิตเม็ดใหญ่ออกมาขายจำนวนมาก"
ฉู่เสวียนรู้สึกแปลก ๆ ในใจ
ชายลึกลับ? ไม่ใช่ว่าเป็นข้าอย่างนั้นหรือ?
แต่เขาก็ไม่ได้แสดงอาการใดๆ ออกมาให้หลิวเจิ้งสงเห็น และยังพยักหน้าอย่างจริงจัง
“ยังไงก็ตาม ท่านอาจารย์เพิ่งรับลูกศิษย์คนใหม่ เขาเป็นลูกหลานของตระกูลผู้บ่มเพาะที่อยู่ทางตอนเหนือของแคว้นอู๋โจว เดิมทีเขาอยู่ในอาณาเขตของนิกายหยูหลิง ทว่าตระกูลเฉินของเขาได้ก่ออาชญากรรมจนถูกนิกายหยูหลิงทำลายล้าง เขาจึงได้หลบหนีมาที่นี่ และเข้าเป็นเชื้อสายถ้ำจีหยินของเรา ชื่อของเขาคือเฉินจ้าวเฟิง เขามีความสามารถมาก สามารถเทียบได้กับศิษย์พี่ใหญ่หลี่”
หลิวเจิ้งสงยังกล่าวอีกว่า “ถ้ำของเขาตั้งอยู่ในหุบเข้าทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ของถ้ำของข้า พวกเจ้าควรหาเวลามาพบกันเพื่อทำความรู้จักกันบ้างเมื่อมีเวลา เพราะอีกไม่นานเราทุกคนจะต้องเข้าร่วมสงครามนี้ จะได้มีเพื่อนฝูงให้คอยช่วยเหลือมากมาย”
ฉู่เสวียนพยักหน้า“ขอบใจท่านมาศิษย์พี่ที่เตือนข้า”
ผู้บำเพ็ญช่วงสร้างรากฐานของเชื้อสายถ้ำจีหยิน เขาสมควรที่จะไปทำความรู้จักจริงๆ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเขาวางแผนที่จะหลีกเลี่ยงสงครามที่เหมือนเครื่องบดเนื้อนี้ไปยังดาวเคราะห์โลกาวินาศ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นจะต้องทำความรู้จักกับเฉินจ้าวเฟิงให้มากนัก
หลังจากออกจากถ้ำของหลิวเจิ้งสงแล้ว ฉู่เสวียนก็มุ่งหน้าไปยังถ้ำของเฉินจ้าวเฟิงในทันที
แต่ก็ไม่มีใครอยู่ในถ้ำของเฉินจ้าวเฟิงเลย ดังนั้นฉู่เสวียนจึงฝากข้อความสั้นถึงอีกฝ่าย เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขามีความตั้งใจที่จะมาหา