ตอนที่ 73 แมลงกู่ตัวใหม่ฟักออกมาแล้ว
ตอนที่ 73 แมลงกู่ตัวใหม่ฟักออกมาแล้ว
รอยแตกบนพื้นผิวของไข่ฟองสีดำนั้นค่อยๆเป็นวงกว้างขึ้นเรื่อยๆเหมือนกับใยแมงมุม และในไม่ช้าภายใต้การจ้องมองของฉู่เสวียนจู่ๆ มันก็ได้แตกออก
เมื่อมองเข้าไปก็เห็นว่ามีตัวอ่อนสีดำตัวหนึ่งได้นอนอยู่ท่ามกลางเปลือกไข่นั้น ตัวของมันถูกปกคลุมไปด้วยกระดอง แต่ก็บางราวกับกระดาษ
แขนขาของมันยังอ่อนมากและดูเหมือนจะสามารถหักเมื่อไหร่ก็ได้ที่เอามือไปสัมผัส เนื่องจากว่าหลังจากที่ตัวอ่อนออกมาจากไข่แล้ว มันจะอ่อนแอเป็นพิเศษ ไม่ต่างอะไรกับด้ายเส้นเล็กๆที่พร้อมจะขาดทุกเมื่อ
ตัวอ่อนนี้เกิดจากการผสมพันธุ์ของกระดองเหล็กและเส้นลวดโลหิตนั้นมีรูปร่างที่ผิดแปลกไปจากพ่อแม่ของมันโดยสิ้นเชิงและก็พิการ ก่อนที่ฉู่เสวียนจะทันได้ทำอะไรกับมัน ตัวอ่อนก็ตายลงไปอย่างน่าอนาถ
ฉู่เสวียนได้แต่ส่ายหัว....
ดูเหมือนว่าการผสมพันธุ์ในครั้งนี้จะล้มเหลวไม่เป็นท่านี่จึงเป็นสาเหตุที่แมลงกู่ไม่ผสมพันธุ์กันสุ่มสี่สุ่มห้า
แม้ว่ามีโอกาสสูงที่จะผสมพันธุ์เกราะเหล็กและเส้นลวดโลหิตได้สำเร็จ แต่ก็ใช่ว่าฉู่เสวียนจะทำได้สำเร็จตั้งแต่ครั้งแรก
ท้ายที่สุดแล้วอาหารและสภาพแวดล้อมในการเจริญเติบโตของแมลงกู่แต่ละตัวก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เรียกได้ว่ามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แม้แต่ผู้ที่ประสบความสำเร็จในการเพาะพันธุ์แมลงกู่มาแล้วนับไม่ถ้วน ก็ยังมีโอกาสที่จะประสบกับความล้มเหลวได้ทุกเมื่อ
จึงไม่มีใครสามารถพูดได้ว่ามันจะประสบความสำเร็จ 100%
แต่ฉู่เสวียนก็ไม่ท้อแท้
เขาได้สงบสติอารมณ์ลง และทำการฝึกฝนต่อไป
รอให้ไข่ฟองที่สองและสามฟักออกมาก่อน
หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งเดือน..ไข่ทั้งสองก็เริ่มมีรอยแตก
ภายใต้การจ้องมองของฉู่เสวียน ตัวอ่อนที่โปร่งใสสองตัวก็ได้ฟักออกมาจากไข่ทีละตัว
ตัวอ่อนที่เกิดจากหนอนปลุกใจและเส้นเลือดโลหิตนั้นจะมีสีขาวใส
ส่วนตัวอ่อนที่เกิดจากหลิงไห่จือและเส้นเลือดโลหิตนั้นจะมีสีฟ้า
ฉู่เสวียนรู้สึกประหลาดใจที่พบว่าตัวอ่อนทั้งสองตัวนี้ไม่มีรูปร่างผิดปกติ และก็ดูแข็งแรงกว่าตัวอ่อนก่อนหน้านี้มาก
หลังจากที่พวกมันฟักตัวออกมาจากไข่ พวกมันก็จะกินเปลือกไข่เป็นอาหาร จนท้องของพวกเขาบวมป่องและมองไปรอบ ๆ อย่างสงสัย
ฉู่เสวียนจึงนำพวกมันไปเก็บไว้ในถุงหนอนโลหิต และก็ให้ดูดซับลูกปัดโลหิตทันที
ในขณะเดียวกัน เขาก็ได้ใช้เทคนิคระบุตัวตนเพื่อสำรวจคุณสมบัติของพวกมันทั้งสองด้วยความอยากรู้
หลังจากที่ตรวจสอบเสร็จสิ้น ฉู่เสวียนก็ดูจะประหลาดใจมากยิ่งขึ้น
ตัวอ่อนสองตัวนี้มีคุณสมบัติที่จะเป็นแมลงกู่ระยะที่ 3 จริงๆ!
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตราบใดที่มีเลือดเนื้อเลี้ยงพวกมันอย่างเพียงพอ พวกมันก็สามารถเลื่อนระดับเป็นแมลงกู่ระยะที่ 3 ได้โดยไม่มีอุปสรรคใด ๆ ซึ่งความแข็งแกร่งนั้นก็เทียบได้กับพลังของบำเพ็ญแก่นปราณทองคำ!
นอกจากนี้ตัวอ่อนทั้งสองยังมีลักษณะเด่นของพ่อและแม่ในเวลาเดียวกัน!
ฉู่เสวียนแสดงสีหน้าโล่งใจออกมา ก็คงเป็นเพราะผลบุญของเขาเองที่มีบทบาทในครั้งนี้
ตราบใดที่มันพอจะมีความน่าจะเป็น ผลบุญก็จะช่วยส่งเสริมให้มันประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น
สมดั่งปรารถนา!
อย่างไรก็ตาม ตัวอ่อนทั้งสองนี้ยังไม่สามารถให้พลังในการต่อสู้ได้
พวกมันจำเป็นจะต้องได้รับการปลูกฝังเป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งถึงสองเดือน และเลื่อนระดับเป็นแมลงกู่ระยะที่ 1 ก่อนจึงจะสามารถแสดงประสิทธิภาพที่แท้จริงของมันออกมาได้
"ตัวอ่อนของหนอนปลุกใจสามารถเพิ่มพูนความคิดทางจิตวิญญาณของข้าได้ ซึ่งหลังจากนี้ข้าจะสามารถควบคุมอาวุธเวทย์มนตร์ได้พร้อมกันหลายๆอัน "
"ส่วนตัวอ่อนของหลิงไห่จือนั้น ก็เทียบเท่ากับหลิงไห่จือตัวเล็ก ๆ พลังวิญญาณทั้งหมดของข้าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในอนาคต!"
ฉู่เสวียนยิ้มเล็กน้อย หลังจากช่วงเวลาแห่งความสุขผ่านไป เขาก็นั่งลงเพื่อทำการฝึกฝนต่อ
ในชั่วพริบตา บนดาวเคราะห์โลกาวินาศก็ผ่านไปสองเดือน
แค่ฉู่เสวียนคิด แมลงกู่ทั้งสามตัวก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือของเขา
หนึ่งในนั้นคือเส้นลวดโลหิตระยะที่ 2 จากนั้นก็กู่เสี่ยวไป๋ระยะที่ 1 และกู่เสี่ยวหลานระยะที่ 1
ฉู่เสวียนขี้เกียจเกินกว่าจะคิดชื่อให้กับทั้งสอง ดังนั้นเขาจึงตั้งชื่อตามสีของมัน
สำหรับกู่สดับแล้ว เนื่องจากฉู่เสวียนได้รับการเลื่อนขั้นเข้าสู่ช่วงสร้างรากฐานแล้ว มันจึงไม่มีความสำคัญกับเขาอีกต่อไป และเพื่อไม่ให้ต้องสูญเสียแก่นแท้โลหิตเพิ่ม ฉู่เสวียนจึงได้ปล่อยมันไปให้เป็นอิสระ
หลังจากที่เสี่ยวไป๋และเสี่ยวหลานต่างก็หยั่งรากลึกในสมองและทะเลปราณแล้ว ฉู่เสวียนก็รู้สึกได้ชัดเจนว่าความคิดทางจิตวิญญาณและพลังทางวิญญาณของเขาเพิ่มขึ้น
ฉู่เสวียนจึงยืนขึ้นแล้วยื่นมือออกไป เชือกยึดวิญญาณนั้นเหมือนกับงูเหลือมสีดำที่ขดพันอยู่รอบตัวเขา จากนั้นเขาก็ได้หยิบธงหมื่นวิญญาณออกมาต่อ
ในอดีตเขาจะรู้สึกเวียนหัวทุกครั้งเมื่อใช้อาวุธเวทย์มนตร์ทั้งสองพร้อมกัน แต่ตอนนี้ มันยังไม่ถึงขีดจำกัดด้วยซ้ำ กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือเขาสามารถเปิดใช้งานอาวุธเวทย์มนตร์ที่สามได้
ฉู่เสวียนยื่นมือออกมาแล้วเช็ดบนถุงเก็บของ
จู่ๆ ระฆังบุญก็ปรากฏขึ้น ห้อยอยู่เหนือศีรษะของเขา และห่อหุ้มเขาเอาไว้
แสงศักดิ์สิทธิ์สีทองพุ่งพล่านออกมาราวกับว่ามันสามารถขับไล่วิญญาณชั่วร้ายทั้งหมดออกไปได้
แสงสีทองนี้เข้มข้นมากจนแทบจะทำให้ระฆังบุญกลายเป็นระฆังทองคำอันใหญ่โต
การโจมตีทั้งหมดในโลกดูเหมือนจะไม่สามารถทำลายมันได้เลย
ฉู่เสวียนดูมีความสุขมาก
เขาเปิดใช้งานอาวุธเวทย์มนตร์สามชิ้นพร้อมกัน!
นี่ถือว่าเป็นการพัฒนาครั้งใหญ่เมื่อเทียบกับเมื่อก่อน
ต้องรู้ก่อนว่าผู้บ่มเพาะจำนวนมากที่อยู่ในช่วงสร้างรากฐานระดับกลางอาจไม่สามารถเปิดใช้งานอาวุธเวทย์มนตร์สามชิ้นพร้อมกันได้
แต่เขาก็แซงหน้าผู้บ่มเพาะจำนวนมากที่อยู่ในเขตแดนเดียวกันโดยอาศัยพลังของแมลงกู่ที่เลี้ยงไว้
...
ถ้ำม่านน้ำ
ฉู่เสวียนได้กลับไปที่ถ้ำตามปกติและทำการตรวจสอบข้อความในค่ายกลที่เขาได้ตั้งไว้
ตอนนี้เป็นเวลาที่ความขัดแย้งระหว่างนิกายเทียนหยินและนิกายพื้นเมืองอู๋โจวเริ่มชัดเจนมากขึ้นแล้ว
ฉู่เสวียนจึงบอกให้เฉินเกอมารายงานสถานการณ์ของแต่ละวันที่ค่ายกลหน้าถ้ำให้เขาทุกวัน
นอกจากนี้ ศิษย์พี่ทั้งสามคนของถ้ำจีหยินก็ได้ฝากข้อความมาถึงเขาด้วย
ดังนั้นในช่วงที่เขาไม่อยู่นี้จึงมีข้อความจำนวนมากที่เขายังไม่ได้เปิดฟัง
เขาจึงได้เปิดชุดบันทึกเสียงที่เขาได้ติดตั้งเอาไว้ตรงหน้าถ้ำทันที และเสียงแรกที่ได้ยินคือเสียงของเฉินเกอ “อาจารย์อาฉู่ ผู้บ่มเพาะกลุ่มแรกที่เข้าไปรบได้รับความสูญเสียอย่างหนัก แม้แต่ผู้บ่มเพาะสองคนที่อยู่ในช่วงสร้างรากฐานก็ตายลงไป อย่างพูดถึงผู้บ่มเพาะช่วงกลั่นลมปราณเลย พวกเขาตายเรียบ”
“อาจารย์อาฉู่ ถ้ำจีหยินของเราได้เริ่มสร้างเมืองมนุษย์แห่งที่สองแล้ว และยังคัดเลือกต้นกล้าทางจิตวิญญาณมาได้หลายคนซึ่งทั้งหมดนำโดยอาจารย์อู๋เถิง”
“อาจารย์อาฉู่ ถ้ำจีหยินของเรามีผู้บำเพ็ญช่วงสร้างรากฐานเพิ่มขึ้นมาแล้ว ข้าได้ยินมาว่าเป็นผู้บ่มเพาะทั่วไปจากนิกายเล็กๆ ได้เริ่มเข้าร่วมกับเราแล้ว”
“อาจารย์อาฉู่ ผู้บ่มเพาะชุดที่สองที่ห้องโถงใหญ่ภูเขาเทียนหยินส่งมา มาถึงแล้วขอรับ”
"อาจารย์อาฉู่..."
ฉู่เสวียนเปิดฟังข้อความทั้งหมดของเฉินเกอด้วยความสนใจ
ศิษย์ที่อยู่ในช่วงกลั่นลมปราณคนนี้ ทำงานที่เขาสั่งอย่างระมัดระวังและตั้งใจจริงๆ
จากคำอธิบายของเฉินเกอ มันทำให้ ฉู่เสวียนรู้เกี่ยวกับสงครามระหว่างนิกายเทียนหยินและนิกายพื้นเมือง แคว้นอู๋โจว
ผู้บ่มเพาะกลุ่มแรกของนิกายเทียนหยินที่มายังแคว้นอู๋โจวส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ถูกส่งมาเป็นเหยื่อในสงครามครั้งนี้ ซึ่งพวกเขาก็มีภูมิหลังเพียงเล็กน้อย ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วพวกเขาจึงไม่แข็งแกร่งมากนัก
ความเข้มแข็งของนิกายพื้นเมืองของแคว้นอู๋โจวเองก็ไม่ได้อ่อนแออย่างที่หลายคนได้จินตนาการเอาไว้
พวกเขาเตรียมการตอบโต้มาอย่างดี และอีกอย่าง การต่อสู้ครั้งนี้ก็ทำให้พวกเขาเกือบจะมาถึงอาณาเขตของถ้ำจีหยินแล้ว
“โอ้...ข้อความของหลิวเจิ้งสง?” ฉู่เสวียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินน้ำเสียงนี้
“ศิษย์น้องฉู่! ผู้บ่มเพาะชุดที่สองที่ห้องโถงหลักส่งมา มาถึงแล้ว สองคนที่ถูกส่งมาเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสจ้าวอู๋หยา ถ้าเจ้าว่างก็มาที่ถ้ำของข้าได้ ข้าจะได้พาเจ้าไปทำความรู้จักกับสองคนนั้น”
ฉู่เสวียนเลิกคิ้วเล็กน้อย
จ้าวอู๋หยาผู้นี้คือผู้บำเพ็ญแก่นปราณทองคำที่ช่วยให้ถ้ำจีหยินของพวกเขาได้เข้าร่วมกับนิกายเทียนหยินในครั้งนั้น และเป็นคนที่ไม่ชอบพฤติกรรมของนิกายเสินกังมาโดยตลอด ซึ่งหวันอู๋อิงและจ้าวอู๋หยาก็ดูเหมือนจะเป็นเพื่อนกันมานาน
เห็นได้ชัดว่าในสายตาของหลิวเจิ้งสงแล้ว ผู้บ่มเพาะที่เป็นศิษย์สายตรงของจ้าวอู๋หยานั้นก็ไม่ต่างจากสหายของพวกเขาเหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม ผู้บ่มเพาะทั้งสองนี้กลับถูกส่งมายังแคว้นอู๋โจวเป็นชุดที่สอง
ซึ่งก็พอจะคาดเดาได้ว่าฝ่ายของจ้าวอู๋หยากำลังถูกอีกฝ่ายปราบปรามอยู่
“ในกรณีนั้นข้าสามารถพบกับพวกเขาได้อยู่แล้ว แม้ว่าเราจะไม่ใช่สหายเก่ากันมาก่อน แต่อย่างน้อยเราก็สามารถแลกเปลี่ยนอะไรบางอย่างจากพวกเขาได้” ฉู่เสวียนคิดอย่างมีเหตุผล
จากนั้นเขาก็เปิดใช้งานดาบบังเหินเทียนกัง และพุ่งทยายออกจากถ้ำม่านน้ำตรงไปยังถ้ำของหลิวเจิ้งสงในทันที
ถ้ำของหลิวเจิ้งสงตั้งอยู่ทางเหนือของถ้ำจีหยิน
ฉู่เสวียนขี่ดาบบังเหินวนเวียนดูอยู่สองสามครั้ง ก่อนจะพบถ้ำนั้นในที่สุด
นี่เป็นครั้งแรกที่เขามาที่ถ้ำของหลิวเจิ้งสง
ก่อนที่จะมาถึงถ้ำ ฉู่เสวียนก็หยิบหยกส่งเสียงออกมาแล้วส่งข้อความไปหาหลิวเจิ้งสง
แต่แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจที่หมอกจางลงอย่างรวดเร็วเผยให้เห็นทางเดินเข้าไปในถ้ำ
หลิวเจิ้งสงและผู้บ่มเพาะรูปหนึ่งก็ได้ออกมาทักทายเขา
“ศิษย์น้อง เรากำลังพูดถึงเจ้าอยู่เลย! ไม่คิดว่าเจ้าจะมาได้เวลาพอดี!” หลิวเจิ้งสงยิ้มไปทั่วใบหน้าของเขา