ตอนที่ 14 ดูเผินๆ ก็เป็นพวกที่เคยผ่านมาแล้วทั้งนั้น
หลี่เหอขี้เกียจคุยกับหลี่เจาคุนและทำตามที่เขาต้องทำต่อไป เขาและหลี่หลงสองพี่น้องเพิ่งตื่นจากการพักกลางวันและเริ่มเกลี่ยลานบ้าน แม้ว่าจะไม่มีรั้ว แต่พวกเขาก็ปูอิฐและกรวดชั่วคราวในลานบ้านไปก่อนเพื่อป้องกันไม่ให้ดินเลอะเวลาฝนตก
การปูอิฐไม่ต้องพิถีพิถันอะไรมาก ใช้พลั่วตักดินและวางอิฐลงไปโดยตรง เว้นช่องว่างระหว่างอิฐให้ไม่กว้างเกินไป จุดประสงค์หลักคือป้องกันการลื่นและทำให้เดินได้สะดวกขึ้นหลังฝนตก มิฉะนั้นออกจากบ้านแต่ละครั้งก็ต้องเปรอะโคลนจนหงุดหงิด
มันเป็นงานเล็กๆ น้อยๆ ที่จัดการได้ในช่วงเวลาว่าง คาดว่าน่าจะเสร็จภายในค่ำวันนั้น
หลี่หลงพูดขึ้นมาทันทีว่า “พี่ ทำไมพ่อเรากลับมาอย่างกะทันหันแบบนี้ล่ะ? ปกติเขากลับแค่ตอนปลายปีไม่ใช่เหรอ?”
เขาคิดว่าฤดูเก็บเกี่ยวกำลังจะมาถึง และหลังฤดูเก็บเกี่ยวจะต้องสร้างแนวคันดิน เขาไม่เชื่อว่าหลี่เจาคุนจะช่วยอะไรได้ และทุกปีเขาก็จงใจหนีออกไปจากหมู่บ้านเพระาไม่อยากทำงานแบบนี้
หลี่เหอกลอกตาแล้วตอบว่า “อยู่ข้างนอกคงอยู่ไม่ไหวแล้วน่ะสิ อย่าไปใส่ใจเลย แค่ตามน้ำไปก่อน คิดซะว่าเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไปก็พอ แล้วเงินที่อยู่กับพี่สาวน่ะ? อย่าให้เขารู้เข้าล่ะ”
หลี่หลงหัวเราะคิกคักและพูดว่า “ผมขุดหลุมในบ้านเก่าและฝังหม้อดินไว้แน่น มีตู้วางอยู่ด้านบน หาไม่เจอ”
ทันใดนั้นหลี่เหอก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาแล้วพูดว่า “ทำไมหวังเฉียนจิ่นถึงมาหานายเมื่อวันก่อน? นั่นไม่ใช่เรื่องดีเลย อย่าไปหลงเชื่อคนอื่นง่ายๆ นะ ห้ามไปสุงสิงกับเขา ถ้าฉันเห็นนายอยู่กับเขาอีกจะโดนเล่นงานแน่”
ในช่วงต้นยุค 1980 มีกลุ่มคนรวมตัวกันบริเวณชายแดนระหว่างสองมณฑลเพื่อปล้นรถที่ผ่านไปมา พวกเขาน่าจะนับไม่ถ้วนแล้วว่าปล้นรถไปกี่คันหรือทำร้ายคนไปกี่คน หัวหน้ากลุ่มคือหวังเฉียนจิ่น ดูเผินๆ เป็นคนซื่อๆ แต่แท้จริงแล้วเป็นคนโหดร้าย จนแค่คิดก็รู้สึกขยะแขยง
ทันใดนั้นหลี่เหอก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาแล้วพูดว่า “ทำไมหวังเฉียนจิ่นถึงมาหาแกเมื่อวันก่อน? นั่นไม่ใช่เรื่องดีเลย อย่าไปหลงเชื่อคนอื่นง่ายๆ นะ ห้ามไปสุงสิงกับเขา ถ้าฉันเห็นแกอยู่กับเขาอีกจะโดนเล่นงานแน่”
ในช่วงต้นยุค 1980 มีกลุ่มคนรวมตัวกันบริเวณชายแดนระหว่างสองมณฑลเพื่อปล้นรถที่ผ่านไปมา พวกเขาน่าจะนับไม่ถ้วนว่าปล้นรถไปกี่คันหรือทำร้ายคนไปกี่คน หัวหน้ากลุ่มคือหวังเฉียนจิ่น ดูเผินๆ เป็นคนซื่อๆ แต่แท้จริงแล้วเป็นคนโหดร้าย จนแค่คิดก็รู้สึกขยะแขยง
พวกเขาก่ออาชญากรรมอย่างบ้าคลั่งตั้งแต่ต้นยุค 1980 และกว่าทศวรรษต่อมาในต้นยุค 1990 พวกเขาถึงถูกกำจัดสิ้น ในการตัดสินโทษกลางแจ้ง มีคนถูกตัดสินประหารเพียงอย่างเดียวเป็นสิบๆ คนและพวกเขาถูกยิงเป้าภายในเวลาไม่นาน
เมื่อได้ยินเรื่องนี้ แม้ว่าเขาจะอยู่ห่างไกลจากบ้าน แต่เขาก็ยังตกใจ เขาไม่รังเกียจที่จะจัดการกับภัยพิบัตินี้ล่วงหน้าในชีวิตนี้ แต่นั่นก็ต้องขึ้นอยู่กับความสามารถของเขาด้วย เขาซึ่งเคยเห็นความยุติธรรมและความอยุติธรรมมามากเกินไป ถึงแม้ว่าเขาจะรักความยุติธรรม แต่เขาก็ไม่สามารถจัดการกับพวกเขาทั้งหมดได้ เขาไม่ใช่แบทแมนผู้ต่อสู้กับคนชั่วร้ายเสียหน่อย
หลี่หลงเชื่อฟังพี่ชายคนนี้มาตลอดและคนที่เขาชื่นชมมากที่สุดคือพี่ชาย แต่เขารู้สึกว่าพี่ชายของเขากำลังกลายร่างเป็นคนแก่ขี้บ่นมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก่อนพี่ชายของเขาจะบ่นหรือด่าเขาบ้าง แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจเขา แต่ตอนนี้พี่ชายบ่นเขามากขึ้นเพราะความเป็นห่วง แต่เขารู้สึกอบอุ่นในใจ เขาชินกับการถูกตำหนิแบบนี้แล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องพูดเบาๆ ว่า “ไม่มีอะไร พวกเขาแค่ชวนเล่นไพ่ พยายามจะเอาเงินจากผม แต่ผมไม่โง่หรอกนะ พี่ ผมเข้าใจแล้ว จะอยู่ห่างๆจากพวนี้แน่นอน”
หลี่เหอตัดสินใจเลิกทำธุรกิจปลาไหลก่อนเปิดเทอมด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย ตอนนั้นกำลังจะเข้าสู่ปี 1980 บรรยากาศของสังคมโดยรวมในทุกสาขาอาชีพไม่ได้เปิดกว้างมากนัก แต่เปิดกว้างในทุกแง่มุมของธรรมชาติของมนุษย์ โดยไม่มีมาตราวัดจำกัดใดๆ
หลี่เหอไม่กล้าปล่อยให้หลี่หลงออกไปเผชิญโลกสังคมด้วยตัวเองได้โดยไม่ระมัดระวัง แม้ว่าชีวิตก่อนหน้านี้ครอบครัวจะยากจนและลำบาก แต่ก็ไม่ได้มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นกับเขา เขารู้สึกกังวลลึกๆ ว่าอิทธิพลของเขาอาจทำให้เส้นทางของหลี่หลงเปลี่ยนไปมากเกินไป ในชาติก่อน หลี่หลงยังไม่เคยไปถึงเมืองหลวงของมณฑลในช่วงนี้ แต่ตอนนี้เขากลับตามหลี่เหอไปกลับจากเมืองหลวงทุกวัน ใจของเขาก็เริ่มเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะกลัวอยู่บ้างแต่หลี่เหอก็ต้องระมัดระวัง เขาจะรอจนกระทั่งโลกภายนอกสงบอีกสักสองปี และเขาก้าวหน้าในชีวิตก่อนที่จะปล่อยให้หลี่หลงออกไป มิฉะนั้นเขาจะไม่สบายใจ
หลี่เหอ ชายแก่ตัวเล็กผู้ดื้อรั้น ดูเหมือนกำลังจะเลี้ยงน้องชายให้กลายเป็นลูกแทน
หลี่หลงไม่ได้มีจิตใจชั่วร้ายเลย เขายังเด็ก โกรธง่าย อ่อนไหว ดื้อรั้น แต่ไม่มีความคิดเป็นของตัวเองมากนัก มิเช่นนั้นเขาคงไม่ยอมทนอยู่กับภรรยาอย่างนั้นอย่างเต็มใจในชาติก่อน
ขณะที่น้องสาวที่สี่ให้อาหารและน้ำกับไก่ เธอก็ต้องคอยระวังไม่ให้น้องสาวคนเล็กจับไก่เล่น น้องสาวตัวน้อยนั่งยองๆ ขุดดินอย่างเบื่อหน่าย ทุกคนยุ่งกันอยู่และไม่มีใครสนใจเธอเลย
เป็นระยะๆ น้องสาวที่สี่จะเงยหน้ามองเข้าไปในบ้านและเห็นพ่อกรนเสียงดัง เธอรู้สึกเบื่อและบ่นพึมพำกับตัวเองว่าเมื่อพ่อตื่นแล้วจะต้องทำความสะอาดเสื่ออีก หลี่ผิงเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่สี่และผลการเรียนค่อนข้างดี ทุกวันนี้ธอได้กินอิ่มทุกวันและกินเนื้อทุกมื้อ ใบหน้าของเธออ้วนเต็มขึ้นมาก
ในอดีตเธอไม่ค่อยสนิทกับหลี่เหอมากนัก เธอรู้เพียงว่าเมื่อพี่ชายคนโตกลับมา เขามักจะซ่อนตัวอยู่ในบ้านและอ่านหนังสือ โดยไม่สนใจเรื่องครอบครัวเลย ถ้าเธอไม่ดูแลพี่ชาย เธอจะถูกด่า แต่สิ่งที่เธอไม่เข้าใจก็คือ ตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ถ้าเธอทำผิดพลาดเล็กน้อยก็ยังจะโดนด่าหรือโดนตีอยู่ดี แต่เธอกลับชอบพี่ชายมากขึ้นเรื่อยๆ เธอรู้สึกว่าการมีพี่ชายเป็นสิ่งที่ดี พี่ชายยังบอกอีกว่า ถ้าสอบผ่านเขาจะซื้อจักรยานให้เมื่อเธอขึ้นชั้นมัธยมต้นและบอกให้เธออ่านหนังสือทุกวัน ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกดีใจ
หลี่เจาคุนตื่นขึ้น สูบบุหรี่ เทน้ำใส่แก้ว แล้วเดินวนไปมาที่ประตูในกางเกงขาสั้น พูดว่า “แม่ของแกยังไม่กลับมาอีกเหรอ?”
สองพี่น้องเกือบจะเก็บกวาดลานบ้านเสร็จแล้ว เหลือแค่เก็บกรวดที่เกินไปและจัดเรียงอิฐแดงที่ไม่ใช้ให้เรียบร้อย หลี่เหอทนมองพ่อในสภาพนี้ไม่ไหวจึงพูดขึ้นว่า “พ่อ ตื่นแล้วเหรอ? แม่คงจะกลับมาเร็วๆ นี้ พ่อรู้ไหมว่าแม่ดีใจมากที่พ่อกลับมา คิดถึงพ่อทุกวัน ทำไมพ่อไม่อาบน้ำก่อนล่ะ? มันร้อนนะ จะได้สดชื่นขึ้น”
จากนั้นเขาหันไปบอกหลี่ผิงว่า “ไปเอากางเกงใหญ่ในห้องพี่มาให้พ่อด้วยนะ แล้วก็มีเสื้อเชิ้ตในตู้เสื้อผ้าด้วย”
น้องสาวคนที่สี่จำใจไปหยิบของมาให้ แต่เมื่อพ่อใส่เสื้อเชิ้ตของพี่ชายอย่างไม่เกรงใจ เธอก็ขมวดคิ้ว เพราะเสื้อเชิ้ตตัวนั้นเป็นเสื้อที่พี่สาวทำเป็นพิเศษให้พี่ชายเอาไว้ใส่ตอนเปิดเทอม
เมื่อหวังหยูหลานกลับมา เธอก็เห็นหลี่เจาคุนกำลังอาบน้ำที่บ่อน้ำ เธอดีใจมากเพราะไม่ได้เจอสามีมานานกว่าหนึ่งปี คิดถึงความยากลำบากที่เขาต้องเผชิญข้างนอกแล้วก็อดสะเทือนใจไม่ได้
“พ่อ ดูสิผิวคล้ำอีกแล้ว พ่อต้องอดทนมากเลยนะ รีบอาบน้ำให้เสร็จเถอะ แล้วเดี๋ยวแม่จะเช็ดผม โกนหนวดให้”
เมื่อหลี่เจาคุนเห็นหวังหยูหลาน เขาไม่สนว่าจะมีใครเห็นหรือไม่ เขาจูบเธอแรงๆ หลายครั้ง แล้วใช้ผ้าเช็ดตัวเช็ดหน้าอกของตัวเองจนสะอาด ยืนหันหลังให้หวังยู่หลันช่วยถูหลังให้ หวังหยูหลาน รับผ้ามาถูหลังให้เขาอย่างดี หลี่เจาคุนหลับตาและเพลิดเพลินไปกับมัน และพูดว่า “พ่อเป็นผู้ชาย ไม่ต้องอดทนสักหน่อยแล้วจะได้เหรอ? นี่ไม่ใช่ที่งานผู้หญิงที่ไหนจะทำได้?”
หลี่เมยและหวังหยูทำงานด้วยกันจบแล้ว แต่หวังหยูหลานอยากกลับบ้านเร็ว ๆ เลยเดินนำหน้าไป หลี่เมยไม่รีบร้อนและเดินตามอย่างอ่อนแรง หลังจากทำงานมาทั้งวัน เธอยังมีแรงเหลือบ้าง เธอไม่ได้แปลกใจอะไรเมื่อเห็นพ่อแม่ตัวติดกันขนาดนี้แรกกะจะทักทายสักหน่อย แต่เมื่อได้ยินคำพูดหน้าด้านของพ่อมุมปากก็อดกระตุกไม่ได้ เธอเลยเดินกลับเข้าบ้านไปล้างหน้าล้างตา
เธอจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าพ่อของเธอเป็นยังไง ตั้งแต่จำความได้เขาไม่เคยทำงานรวมกลุ่มกับใครได้เลย บางครั้งแค่ถูกกดดันนิดหน่อยก็ทำงานบ้าง ไม่ทำบ้าง สามวันลงแหและสองวันตากแห้ง
เขามักจะออกข้างนอก หายหัวไปหาไม่เคยเจอ จะกลับมาอีกทีก็ช่วงปีใหม่เท่านั้น บางครั้งที่เขาเบื่อที่เห็นหวังหยูหลานร้องไห้ เขาก็จะหยิบเงินออกมาให้สักหนึ่งหรือสองหยวน แต่ไม่กี่วันเขาก็ใช้ไปจนหมด ทั้งซื้อบุหรี่ ดื่มเหล้า เล่นไพ่
จะบอกว่าเขาเลี้ยงครอบครัว ก็ไม่รู้ว่าเลี้ยงยังไง ?
นี่แหละที่ทำให้แม่เธอหลงกลโดนพ่อปั่นหัวได้ง่าย ๆ
หลี่เหมยรู้ดีว่าตอนนี้น้องชายสองคนของเธอ โดยเฉพาะน้องชายคนโตเริ่มมีความสำเร็จมากขึ้นเรื่อย ๆ ครอบครัวก็คงต้องพึ่งเขาในอนาคต แม้แต่ชีวิตแต่งงานของเธอเองก็จะต้องพึ่งพาน้องชายในอนาคต
ตอนนี้เมื่อเธอออกไป ใบหน้าของเธอก็สว่างไสวมากขึ้น ใครจะไม่พูดว่านี่คือพี่สาวของหลี่เหอ น้องชายเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย น้องชายมีอนาคตที่สดใส ก็ถือว่ามีครอบครัวพื้นฐานที่ดีที่จะไม่ทำให้ครอบครัวสามีดูถูกเธออีกต่อไป
นับตั้งแต่ที่ตั้งแผงรับซื้อปลาไหลที่หัวสะพานแม่น้ำหงสุ่ย ครอบครัวก็เร่งทำอาหารเย็นให้เสร็จไว ๆ เพื่อจะได้ออกไปตั้งแผงได้ทัน วันนี้เพราะหลี่เจาคุนกลับมาจึงล่าช้ากว่าปกติ หวังหยูหลานนำเบคอนที่แขวนอยู่ที่ชายคาลงมา โดยเลือกส่วนที่มีไขมันเยอะ ๆ นำไปนึ่งในหม้อหุงข้าว กลิ่นหอมน่าทานยิ่งนัก
เธอทำตุ๋นไก่อีกหม้อและผัดผักเล็กน้อย ก็เสร็จทันเวลา อาหารน่าทานเหมือนเทศกาลตรุษจีน
ขวดเหล้ารูปทรงเจดีย์สีแดงสองหลังบนหัวเตียงของหลี่เหอก็ถูกหวังหยูหลานมอบให้หลี่เจาคุนราวกับเหมือนของมีค่า ไม่ต้องพูดถึงอย่างอ่ื่นแต่เหล้าสำหรับต้อนรับแขกบนหัวเตียง ครึ่งหนึ่งอยู่ในท้องของเขาแล้ว
หลี่เหอและคนอื่น ๆ ต้องลากรถในตอนกลางคืน ดังนั้นจึงไม่สะดวกที่จะดื่ม
หลี่เจาคุนจู่ ๆ ก็รู้สึกว่าชีวิตที่สงบสุขแบบนี้มันดีเหลือเกิน แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมลูกชายสองคนถึงอยู่ ๆ ก็มีความสามารถขึ้นมา
แต่เขาเป็นผู้เฒ่าแล้ว จะถามอย่างโจ่งแจ้งก็อายเกินไป จึงจิบเหล้าแล้วพูดขึ้นว่า “พ่อไม่ได้อยู่บ้าน แต่ลูกชายสองคนนี้กลับมีชื่อเสียงขึ้นมาเรื่อย ๆ ต่อไปพวกแกหาเงินได้ก็เก็บไว้ให้แม่ของแกนะ อายุพอสมควรแล้ว จะแต่งใครก็แต่งไป หาคนดี ๆ ไว้แต่งให้เหมาะ ตอนนี้เจ้ารองเหอก็สอบติดมหาวิทยาลัยแล้ว พ่อก็ไม่ต้องรีบแล้ว มีงานดี ๆ ก็ทำไว้ ต่อไปก็ให้แกเป็นคนเลือกเจ้าสาวเองละกัน”
พี่น้องมองหน้ากันและคิดว่า ฉากน้ำเน่านี้ในที่สุดก็มาถึง
ถ้าไม่รู้จักนิสัยของพ่อ ฟังคำพูดนี้อาจจะคิดว่าเขาเป็นพ่อที่แสนอบอุ่นและอุทิศตนเพื่อลูก