ตอนที่ 13 : งานเลี้ยงรุ่น
ในขณะที่เจียงฉินกำลังพาเฟิงหนานซูไปทานอาหาร ในเวลาเดียวกันที่ห้องส่วนตัวหมายเลขหนึ่งของโรงแรมหลงเวย
ผู้คนจากชั้นเรียนปีสามห้องสองเริ่มทยอยเข้ามาพร้อมกับหาที่นั่ง
งานเลี้ยงครั้งนี้ริเริ่มโดยฉินจื่ออัง ผู้ซึ่งต้องการห้องส่วนตัวที่ดีที่สุดและสั่งอาหารที่พิเศษที่สุด
สมัยนี้ วัยรุ่นที่ยังมีทัศนคติไม่สมบูรณ์มักจะเลียนแบบพฤติกรรมจากพ่อแม่ของตัวเอง พ่อของฉินจื่ออังนั้นเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้นฉินจื่ออังจึงมีท่าทางเหมือนผู้ชายที่มีคุณภาพตั้งแต่อายุยังน้อย เขาเป็นคนเจ้าสำอาง ผมก็ถูกจัดทรงอย่างดี ใส่สูททั้งตัว และยังสวมนาฬิกาข้อมือสีทองด้วย
“ทุกคน สามปีในโรงเรียนมัธยมนั้นไม่ถือว่าสั้นหรือยาว แต่ฉันรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้มีโอกาสอยู่ห้องเรียนเดียวกับพวกนาย”
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเราทุกคนก็เป็นผู้ใหญ่กันแล้ว เพราะงั้นฉันเลยอยากแนะนำให้ทุกคนดื่มฉลองร่วมกัน แต่ใครก็ตามห้ามดื่มน้ำอัดลมเด็ดขาด เราต้องดื่มเหล้าเท่านั้น เพราะวันนี้สิ่งที่เราดื่มเข้าไปไม่ใช่เหล้า แต่เป็นความเป็นผู้ใหญ่”
“ฉันเคยเขียนประโยคหนึ่งไว้ในคิวโซนของฉัน ‘ดื่มให้ความขมขื่นและความยากลำบากที่ผ่านมาครึ่งชีวิต ดื่มให้ความเหงาและความเดียวดายอีกตลอดชีวิตที่เหลือ’ แก้วนี้ ฉันขอดื่มเป็นคนแรกเพื่อแสดงความเคารพให้ทุกคน”
ฉินจื่ออังยกแก้วเบียร์ขึ้นมาและดื่มมันลงไปในอึกเดียว
เขายังได้เลียนแบบวิธีคุยเรื่องธุรกิจที่โต๊ะเหล้าของพ่อเขาด้วย พลิกแก้วให้ทุกคนดูเพื่อโชว์ว่าอะไรคือการดื่มหมดแก้ว
เมื่อเห็นฉากนี้ เสียงปรบมือก็ดังก้องไปทั่วห้องส่วนตัวหมายเลขหนึ่งทันที
“พี่ฉิน นายดูไม่เหมือนนักเรียนเลยจริงๆ ทุกการกระทำของนายมันดูเป็นผู้ใหญ่เกินไป”
“ใช่ เมื่อเทียบกับนายเราดูเหมือนเด็กตัวกะเปี๊ยกเลย”
“คนอย่างจื่ออังต้องกลายเป็นคนชั้นสูงแน่นอนเมื่อตอนเข้าสู่สังคม แถมเขายังหล่อด้วย”
“ดื่มให้ครึ่งชีวิตที่เคว้งคว้าง ดื่มให้ทั้งชีวิตที่เดียวดาย นี่เป็นวลีที่เจ๋งที่สุดที่ฉันเคยได้ยินมาเลย”
ฉินจื่ออังโบกมือปฏิเสธอย่างถ่อมตัว กล่าวว่าตนเองแค่รู้สึกอย่างนั้นจึงพูดมันออกมา พร้อมทั้งแอบเหลือบมองฉู่ซือฉีที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
นกยูงรำแพนหางเพื่อดึงดูดเพศตรงข้าม เช่นเดียวกับนักเรียนมัธยมปลายที่แสร้งทำท่าทางเป็นผู้ใหญ่
ปี 2008 ถือเป็นจุดสูงสุดของยุคนอกกระแส วลีและคำพูดที่ไม่ใช่กระแสหลักก็ได้รับความนิยมมากเช่นกัน ฉินจื่ออังรู้สึกว่าตัวเองมีความเป็นผู้นำและอำนาจเหนือกว่ามาก ดังนั้นมุมปากเขาจึงโค้งขึ้นอยู่ตลอดเวลา
แต่สีหน้าท่าทางของฉู่ซือฉีกลับดูเฉยเมย ราวกับว่าไม่ค่อยมีอารมณ์อยากทำอะไร
เธอกำลังจ้องไปที่โทรศัพท์ เพราะเจียงฉินยังไม่มาและรูปโปรไฟล์ QQ ของเขาก็เป็นสีเทา มันจึงทำให้เธอกังวลเล็กน้อยว่าเจียงฉินรู้เกี่ยวกับงานเลี้ยงหรือไม่
แต่ในขณะนี้เอง จู่ๆ ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดออกด้วยมืออ้วนๆ และกัวจื่อหังก็รีบเข้ามาพร้อมกับเอ่ยขอโทษทุกคน
“เมื่อกี้ฉันหลงทางน่ะ ใช้เวลาพอควรเลยกว่าจะหาเจอ”
“เฮ้ ทำไมกัวจื่อหังถึงมาคนเดียวล่ะ เจียงฉินไม่ได้มาด้วยเหรอ?”
“โอ้ เขาไปทำธุรกิจ ช่วงนี้ยุ่งมากเขาก็เลยบอกว่าจะไม่มา”
เดิมทีกัวจื่อหังต้องการบอกว่าเจียงฉินพาสาวไปเที่ยว แต่ไม่รู้ทำไมพอคำพูดมาถึงปากมันก็เปลี่ยนไปซะงั้น
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ฉู่ซือฉีที่อยู่อีกด้านก็กัดริมฝีปากทันที มือที่อยู่ใต้โต๊ะถูกกำเป็นหมัดแน่น
ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาพบกันที่ถนนคนเดิน เธอรอให้เจียงฉินสำนึกผิดมาโดยตลอด รอให้เขามาหาเธอเพื่อยอมรับความผิดพลาดของตัวเองและขอร้องให้เธอให้โอกาสเขาอีกครั้ง
และเพียงชั่วพริบตาเวลาหนึ่งสัปดาห์ก็ผ่านไป แต่แทนที่จะเขาจะสำนึกผิด อีกฝ่ายกลับไม่ได้ส่งข้อความ QQ หาเธอด้วยซ้ำ
เธอรู้สึกว่าเจียงฉินเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ และดูเหมือนจะอดทนได้มากขึ้น ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงจะอึดอัดมากหากไม่ได้พูดกับเธอแค่ครึ่งวัน แต่ตอนนี้เขาสามารถทนได้นานถึงหนึ่งสัปดาห์
ความคิดนี้ทำให้เธอค่อนข้างรู้สึกหงุดหงิด
เจียงฉินซึ่งเคยเชื่อฟังมาก่อนกลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง?
เห็นได้ชัดว่าที่ฉันทำก็เพื่อประโยชน์ของตัวเขา เพราะงั้นจึงนึกถึงเขา แถมยังให้กำลังใจเขาด้วย…
เธอไม่ได้อยากมางานเลี้ยงนี้เพราะฉู่ซือฉีไม่ชอบบรรยากาศมัน แต่เธอแค่อยากจะมาดูว่าเจียงฉินยังคงใจแข็งอย่างที่เขาพูดหรือเปล่า
ในความเห็นของฉู่ซือฉี เจียงฉินคงต้องทนทุกข์กับความเจ็บปวดแสนสาหัส และทันทีที่เขาเห็นเธอ เขาต้องกระเสือกกระสนเข้ามาขอโทษเธอแน่นอน
ทว่าสิ่งที่เธอไม่คาดคิดก็คือเจียงฉินรู้ว่ามีงานเลี้ยงแต่กลับไม่มาด้วยซ้ำ
“เจียงฉินทำธุรกิจ?” ฉินจื่ออังมองกัวจื่อหังด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ใช่”
“เขาทำธุรกิจอะไร เปิดร้าน?”
ฉู่ซือฉีกลับมาได้สติอีกครั้ง เธอหัวเราะเบาๆ: “เขาจะไปมีความสามารถขนาดนั้นได้ยังไง เขาก็แค่ขายข้าวกล่องที่ถนนคนเดิน ฉันกับฮุ่ยหรูเจอเขาตอนเราไปเดินเล่นกันครั้งที่แล้ว”
“หืม? แค่ขายข้าวกล่องก็ถือว่าทำธุรกิจแล้วเหรอ?” ฉินจื่ออังยิ้ม แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดอะไรมาก แต่สีหน้าก็แสดงถึงความดูถูกเล็กน้อย
นักเรียนคนอื่นๆ รอบตัวเขาอดไม่ได้ที่จะพากันหัวเราะคิกคัก โดยคิดว่าเป็นเรื่องดีที่เจียงฉินไม่มาร่วมงานเลี้ยง ไม่เช่นนั้นเขาคงจะรู้สึกอับอายแน่นอน
ถึงแม้จะพูดกันว่าทุกอาชีพไม่มีสูงต่ำ แต่กระทั่งขงอี๋จี่[1]ก็ยังไม่ยอมถอดเสื้อคลุมของตัวเองเลย โดยธรรมชาติแล้วนักเรียนมัธยมปลายเหล่านี้ยังคงดูถูกอาชีพระดับล่างเหล่านั้น ยิ่งพวกเขาเป็นเด็กที่เกือบจะเข้ามหาวิทยาลัย ในสายตาของพวกเขา พวกตนคือทรัพยากรบุคคลที่มีค่าของสังคมและคืออนาคตของชาติ การไปขายข้าวกล่องจึงเป็นเรื่องน่าอายมาก
กัวจื่อหังถึงกับของขึ้นจนอยากจะสบถออกมาทันทีเมื่อได้ยินสิ่งนี้
พวกนายรู้ไหมว่าวันนี้พี่เจียงของฉันเพิ่งจ่ายเงินไป 650,000 หยวน?
พี่เจียงของฉันเป็นลูกค้าขาประจำของร้านล้างเท้า พวกนายทำแบบนั้นได้ไหม?
แต่เขาไม่ได้พูดคำเหล่านี้ออกไปเพราะเจียงฉินเพิ่งพูดอะไรบางอย่างกับเขาเมื่อวันก่อน บางคนหัวเราะเยาะคุณไม่ใช่เพราะสิ่งที่คุณทำ แต่เป็นเพราะพวกเขาแค่อยากหัวเราะเยาะคุณ
ให้ตายเถอะ คำพูดของพี่เจียงคงไม่ได้มีนัยยะแอบแฝงอะไรใช่ไหม?!
หรือว่าเขาจะทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้เหมือนเทพเจ้า?
โห สุดยอด
สมกับเป็นพ่อบุญธรรมของฉันจริงๆ!
พอคิดถึงตรงนี้ กัวจื่อหังก็หันไปมองฉู่ซือฉีที่นั่งอยู่อีกด้านทันที เขาคิดมาตลอดว่าฉู่ซือฉีเป็นเหมือนไป๋เยว่กวงที่สมบูรณ์แบบ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าภาพลักษณ์นั้นมันหายไปแล้ว ปรากฏว่าเทพธิดาก็พูดจาไม่ดีลับหลังคนอื่นเหมือนกัน แล้วอย่างนี้จะเรียกเธอว่าเทพธิดาได้อีกยังไง?
ดูเหมือนว่าวันนั้นที่พี่เจียงหันหลังกลับและจากไปคงจะมีเหตุผลบางอย่าง
อย่างไรก็ตาม แม้กัวจื่อหังต้องการที่จะจบหัวข้อนี้ แต่คนอื่นๆ นั้นไม่สามารถปล่อยหัวข้อของเจียงฉินไปได้ง่ายๆ
นอกจากหวังฮุ่ยหรูแล้ว ฉู่ซือฉียังมีเพื่อนสนิทอีกคนชื่อว่าหยูชาชา ซึ่งปกติแล้วชอบพูดจาเสียดสีคนอื่น ดังนั้นเธอจึงโดดขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินชื่อของเจียงฉิน
“ยังไงก็เถอะ ซือฉี ไม่ใช่ว่าในวันสุดท้ายของการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเจียงฉินเขาไปสารภาพรักกับเธอหรอกเหรอ?”
ฉู่ซือฉีพลันโมโหขึ้นมาเมื่อนึกถึงวันนั้น: “อย่าพูดถึงวันนั้นอีก พูดถึงทีไรฉันก็โมโหทุกที พอสารภาพรักแล้วไม่สำเร็จเขาก็เอาจดหมายรักคืน แถมยังบอกว่าไม่ได้ชอบฉันแล้วจริงๆ ทำให้ฉันดูเหมือนคนคิดไปเองซะงั้น เป็นคนแบบไหนกัน!”
หยูชาชาเม้มริมฝีปาก: “เขาคงจะรู้ตัวว่าจีบไม่ติดและก็กลัวเสียหน้าโดนคนอื่นหัวเราะเยาะ เลยทำเป็นปากแข็งไม่ยอมรับความจริง”
“อืม ฮุ่ยหรูก็พูดแบบเดียวกัน”
“บางทีวันนี้ก็อาจจะเหมือนกัน”
“เธอหมายความว่าไง” ดวงตาของฉู่ซือฉีกระพริบด้วยความสับสน
“เขารู้ว่าตัวเองจะต้องถูกหัวเราะเยาะ เพราะงั้นวันนี้เลยไม่กล้ามา” หยูชาชาพูดขณะเติมน้ำใส่แก้วตัวเอง
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ คิ้วที่ขมวดเป็นปมของฉู่ซือฉีก็ผ่อนคลายลง
ใช่แล้ว ทำไมเธอถึงนึกไม่ถึงกันนะ เจียงฉินคงไม่ได้ใจแข็งอะไรขนาดนั้นหรอก อันที่จริงไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากเจอเธอ เขาแค่กลัวว่าจะถูกหัวเราะเยาะ!
ฮึ่ม! เขาสมควรได้รับมัน
ใครบอกให้เขาทำกับเธอถึงขนาดนี้ ลองเจ็บปวดดูบ้างจะได้รู้สึก มาดูกันว่าในอนาคตใครจะเป็นคนร้องไห้เสียใจ
ทันทีที่ความเย่อหยิ่งของฉู่ซือฉีพลุ่งพล่านขึ้นมา ฟันสีเงินของเธอก็ถูกบดเข้าด้วยกัน
ในตอนนี้เอง ประตูห้องถูกผลักให้เปิดออกอีกครั้ง และหวังฮุ่ยหรูก็รีบวิ่งเข้ามา เธอพูดขอโทษเหมือนกับกัวจื่อหัง
“ระหว่างทางเกิดเรื่องนิดหน่อย ฉันขอโทษจริงๆ เมื่อกี้พวกเธอกำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่?”
“เรากำลังพูดถึงเจียงฉิน เขากลัวเสียหน้าเลยไม่กล้ามา เธอคิดว่ามันตลกหรือเปล่า?”
เมื่อหวังฮุ่ยหรูได้ยินสิ่งนี้สีหน้าของเธอก็แข็งค้างไป และแม้กระทั่งการเคลื่อนไหวในท่าที่กำลังนั่งก็หยุดชะงักลงครู่หนึ่ง
เหตุผลที่เธอมาช้ามากจริงๆ ก็เพราะว่าเธอได้พบกับเจียงฉินตอนอยู่ข้างนอก
และที่เธอพบก็ไม่ใช่แค่เจียงฉิน…
(จบตอน)
[1] ขงอี๋จี่ ตัวละครในนวนิยายของหลู่ซวิ่น ประโยคที่ว่าไม่ยอมถอดเสื้อคลุมของตัวเองสื่อถึงการยึดติด