ตอนที่ 11 : เคลื่อนไหวอย่างกล้าหาญเพื่อหาเงิน
การทำธุรกิจมีความเสี่ยง กล่าวอีกนัยหนึ่ง ไม่มีธุรกิจใดในโลกนี้ที่รับประกันว่าจะทำกำไรได้โดยไม่เสียเงิน
แต่เจียงฉินเป็นคนเกิดใหม่
มีหลายสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นและเขาก็รู้ผลลัพธ์แล้ว จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำกำไรโดยไม่เสียเงิน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากเฟิงหนานซู เจียงฉินก็ตัดสินใจที่จะใช้มาตรการรุนแรงเพื่อหาเงินคืน
การปรับปรุงย่านเมืองเก่าในเมืองจี้โจวกำลังจะเริ่มขึ้นเร็วๆ นี้โดยครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ แน่นอนว่าการชดเชยนั้นรวดเร็วและใจกว้าง ทำให้การซื้อบ้านที่สภาพพังยับเยินกลายเป็นเป้าหมายแรกของเจียงฉินไปโดยปริยาย
ช่วงนี้เขาพากัวจื่อหังตระเวนไปตามถนนรอบๆ และติดประกาศไว้ในชุมชนทั้งหมดที่กำลังจะถูกรื้อถอน
[ซื้อบ้านในย่านนี้ราคาสูง สนใจติดต่อ: XXXX]
ย่านฝานหัว หรงเฉิง ชุมชนซิ่งฝู ชุมชนหงหยุน พื้นที่อยู่อาศัยเหล่านี้ล้วนเป็นที่รู้จักกันดีในแง่ทรุดโทรมและมีขนาดเล็ก มีผู้อยู่อาศัยจำนวนมากที่รู้สึกไม่สบายใจและต้องการย้ายออกไป ทั้งยังมีผู้ที่ต้องการขายบ้านของตนเองเป็นจำนวนมาก
พวกเขาไม่รู้ว่าสถานที่เหล่านี้กำลังจะถูกเวนคืน ดังนั้นทันทีที่พวกเขาได้ยินว่ามีคนขอซื้อบ้านในราคาที่สูง พวกเขาจึงโทรหาเจียงฉินทันที
แน่นอนว่าเจียงฉินไม่สามารถซื้อทุกหลังได้
การปรับปรุงย่านเมืองเก่าเป็นโครงการของทางรัฐบาลและเป็นโครงการที่ถูกเก็บเป็นความลับอย่างเคร่งครัด ด้วยเหตุนี้ ถ้าก่อนที่จะมีการออกเอกสารอย่างเป็นทางการกลับมีคนมากว้านซื้อบ้านจำนวนมากในชุมชนที่ถูกรื้อถอน คุณคิดว่านี่มันหมายความว่าอย่างไร?
เจียงฉินอาจจะยังไม่ทันได้รับเงินค่ารื้อถอนบรรพบุรุษแปดรุ่นของเขาก็คงถูกขุดขึ้นมาสอบสวนก่อน
ดังนั้นไม่ว่าจะอยู่ในชุมชนเก่าหรือทรุดโทรมแห่งใดเขาก็จะซื้อเพียงยูนิตเดียวเท่านั้น
ผู้คนสามารถโลภได้ แต่ก่อนที่จะโลภ พวกเขาต้องประเมินก่อนว่ามีความสามารถกลืนมันลงไปได้หรือไม่
แน่นอนว่าการคัดเลือกผู้ขายก็ต้องเลือกอย่างระมัดระวังเช่นกัน
เขาไม่สามารถซื้อบ้านที่ยังมีคนอาศัยอยู่ได้
ไม่ต้องถามหาบ้านที่มีผู้สูงอายุอาศัยอยู่เลย
คนที่มีความเป็นอยู่ยากลำบากก็ไม่สามารถเลือกได้
แล้วเป้าหมายที่ดีที่สุดคืออะไร?
เป็นคนประเภทที่ครอบครัวร่ำรวยแต่ทนอยู่ร่วมกับคนแก่และคนจนไม่ได้ พวกเขาย้ายออกไปนานแล้วและบ้านหลังนั้นก็ว่างเปล่ามานานแล้ว
เพราะบ้านแบบนี้สามารถส่งมอบได้เร็วกว่าและจะไม่มีความล่าช้า
จะเป็นยังไงถ้าเกิดมีการโอนบ้านแล้วแต่ผู้ขายดื้อดึงไม่ยอมย้ายออก ยังอยากอยู่ต่ออีกสักพักใหญ่ๆ จนกระทั่งได้รับหนังสือแจ้งจากทางการแล้วพบว่าบ้านตัวเองกำลังจะถูกรื้อถอน คนแบบนี้ไม่ต้องรอให้มาหาเรื่องถึงที่หรอก เผลอๆ จะก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่โตด้วยซ้ำ
ตัวตนในปัจจุบันของเจียงฉินเป็นแค่นักเรียนธรรมดาที่เพิ่งจบชั้นมัธยมปลาย แน่นอนว่าเป็นเรื่องยากที่จะจัดการกับปัญหาประเภทนี้
ดังนั้นในช่วงนี้เขาจึงคัดเลือกผู้ขายอยู่แทบจะตลอดเวลา และใช้เวลาสองวันในการตัดสินใจเลือกเป้าหมายที่เขาจะซื้อบ้าน
คุณสวีจากย่านฝานหัว คุณหลิวจากหรงเฉิง คุณไป๋จากชุมชนซิ่งฝู และคุณหวังจากชุมชนหงหยุน
สี่คนนี้มีลักษณะเหมือนกันคือย้ายบ้านไปอยู่เมืองอื่นและไม่ได้กลับมาที่นี่หลายปีแล้ว เป็นเพราะบ้านเก่าและทรุดโทรมมากก่อนหน้านี้จึงขายไม่ออก ทำให้บ้านเหล่านี้ถูกทิ้งร้างและต้องการขายทิ้งด่วนๆ
ช่วงกลางเดือนมิถุนายนอากาศร้อนระอุ
เจียงฉินและคุณไป๋จากชุมชนซิ่งฝูกำลังนั่งอยู่ในร้านบะหมี่ โดยตรงหน้าของแต่ละคนมีเอกสารการโอนกรรมสิทธิ์และสัญญาซื้อขายวางอยู่
กัวจื่อหังเองก็มากับเจียงฉิน และเขาก็นั่งอยู่ข้างๆ อย่างสงบเสงี่ยมราวกับว่าเป็นคนอ้วนที่หนัก 140 ปอนด์
“ลุงไป๋ เราตกลงกันไว้ที่หกแสนสามหมื่นหยวน ผมโอนเงินให้แล้วนะ”
“เอ๊ะ? อ้อ…โอเค”
คุณไป๋มองหน้าเจียงฉินและรู้สึกเหลือจะเชื่อเล็กน้อย: “ฉันเพิ่งเห็นบัตรประจำตัวนายที่สำนักงานที่ดิน นายอายุสิบแปดเองเหรอ?”
เจียงฉินยิ้ม เขาไม่สนใจเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติด้านอายุเช่นนี้: “ท่านหลู่ซวิ่นกล่าวว่ามีบ้านไม่จำเป็นต้องมีอายุมาก”
“แต่ทำไมนายถึงมาซื้อบ้านแบบนี้ล่ะ?”
“พ่อของผมชอบบ้านเก่าๆ แบบนี้น่ะ เขาบอกว่ามันมีกลิ่นอายเฉพาะตัว”
คุณไป๋พยักหน้าอย่างครุ่นคิด โดยคิดว่านี่คงจะเป็นลูกคนรวยแน่ๆ แถมยังมีนิสัยแปลกๆ ที่ชอบมองเงินเป็นเศษกระดาษอีก อย่างไรก็ตาม ขอแค่ขายบ้านออกไปได้ก็พอแล้ว เขาไปตั้งรกรากอยู่ที่เมืองอื่นมานานหลายปีจึงไม่ได้คิดถึงที่นี่มากนัก ถ้าจากไปครั้งนี้ก็คงไม่ได้กลับมาอีกแล้ว
คุณไป๋เก็บสัญญาซื้อขายไว้ในกระเป๋าและบอกว่าต้องขึ้นรถไฟเพื่อออกเดินทางช่วงบ่ายจึงรีบจากไป
จากนั้นกัวจื่อหังก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่เจียงฉินอย่างเคร่งขรึม รู้สึกกังวลอย่างมาก
คนที่เพิ่งเรียนจบมัธยมปลายใช้เงินหกแสนกว่าหยวนเพื่อซื้อบ้าน ไม่ว่าอีกฝ่ายจะอายุมากหรือน้อยก็ตาม ในความคิดของกัวจื่อหังมันล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้เขาอ้าปากค้าง
ขณะที่ตัวเองยังมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับการทำให้คิวโซนดูสดใสสวยงาม เพื่อนร่วมชั้นเรียนกลับไปไกลถึงขั้นซื้อบ้านอยู่แล้ว
ใครมันจะไปยอมรับเรื่องนี้ได้ฟะ?
ประเด็นคือเจียงฉินมีความกล้าหาญมากเกินไป กัวจื่อหังรู้สึกว่าถึงแม้เขาจะมีเงินหกแสนหยวนอยู่ในมือแต่เขาก็คงไม่กล้าใช้ เงินจำนวนนี้มันมากเกินไปสำหรับคนอายุเท่าพวกเขา
“นายซื้อบ้านจริงดิ? มันมีมูลค่ามากกว่าหกแสนหยวนเลย”
เจียงฉินผลักแก้วน้ำตรงหน้าไปข้างหน้า: “ได้เวลาเปิดเผยความจริงสักที ขี้เกียจเสแสร้งแล้ว ฉันนี่แหละเศรษฐีเงินล้าน”
กัวจื่อหังกลืนน้ำลาย: “ฉันยังไม่เคยไปร้านล้างเท้าเลย…”
“งั้นรอให้ได้จดหมายตอบรับก่อน แล้วเดี๋ยวฉันจะหาเวลาพานายไปเรียนรู้เอง”
“ขอบคุณพ่อบุญธรรม!”
เจียงฉินยิ้มแล้วคิดในใจว่า: เหล่ากัว นายทำได้ดีจริงๆ สามารถเปิดเส้นทางให้กว้างขึ้นได้ขนาดนี้เลย
แถมมันยังดีกว่าการมีความรักอีกไม่ใช่เหรอ?
คุณเก็บเงินเดือนไว้สามเดือนเพื่อมอบสร้อยคอให้เทพธิดา แล้วเทพธิดาก็จะกล่าวขอบคุณคุณด้วยใบหน้าที่เย็นชา จากนั้นก็เอาช่อดอกไม้ที่ติดมาด้วยโยนลงถังขยะเมื่อคุณมองไม่เห็น
ดูที่พี่น้อง เพื่อน เพื่อนร่วมห้องของคุณสิ แค่ให้ความช่วยเหลือนิดหน่อยพวกเขาก็พร้อมเรียกคุณว่าพ่อบุญธรรมแล้ว
“ยังไงก็เถอะพี่เจียง ห้องเรียนของเรามีงานเลี้ยงตอนบ่าย นายจะไปไหม?”
เจียงฉินกลับมาได้สติอีกครั้ง เขาดูตกใจเล็กน้อย: “ไม่ใช่เทศกาลอะไรสักหน่อย มากินเลี้ยงอะไรตอนนี้?”
กัวจื่อหังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง: “ผลสอบใกล้จะออกแล้วไม่ใช่เหรอ ถ้าเราไม่รวมตัวกันตอนนี้ หลังจากที่ผลสอบออกมาคนที่สอบไม่ผ่านก็คงไม่มีอารมณ์มารวมตัวกันแน่ๆ”
“ถ้านายอยากไปก็ไปสิ ฉันไม่ไป ช่วงบ่ายมีเรื่องต้องทำ นายไปกินดื่มให้เต็มที่เถอะ”
“แต่ฉู่ซือฉีก็จะไปด้วยนะ!”
เจียงฉินเอาแขนโอบไหล่เขาแล้วจ้องมองด้วยสายตาคมกริบ: “ทำไมนายถึงชอบพูดถึงฉู่ซือฉีเวลาที่อยู่ต่อหน้าฉันนัก?”
กัวจื่อหังหดคอ: “ไม่ใช่ว่านายชอบเธอหรอกเหรอ? ฉันก็นึกว่านายอยากจะเจอเธอซะอีก”
“ถ้าฉันอยากเจอเธอ วันนั้นที่ถนนคนเดินฉันจะหันหลังกลับแล้วเดินหนีไปทำไม?”
“ไม่ใช่ว่านายกำลังปล่อยเหยื่องั้นเหรอ? บอกตามตรงเลยนะ เคล็ดลับนี้ได้ผลจริงๆ เธอถึงกับร้องไห้ด้วยซ้ำ ถ้าคนไม่รู้ก็คงคิดว่านายเป็นคนทิ้งเธอไป”
เจียงฉินขี้เกียจจะอธิบายกับเขา ดังนั้นเขาจึงหยิบเงินออกมาและยื่นให้เถ้าแก่: “ช่วงนี้ฉันเพิ่งรู้จักผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วก็สัญญากับเธอว่าจะพาไปเที่ยว เพราะงั้นลืมเรื่องงานเลี้ยงไปเลย”
กัวจื่อหังมองเพื่อนสนิทของเขาด้วยความประหลาดใจ: “ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ฉันรู้จักเธอไหม?”
“ไม่รู้สิ”
“แล้วพวกนายจะไปเที่ยวที่ไหนกัน? ถ้าไปร้านล้างเท้าฉันขอไปด้วยนะ ที่งานเลี้ยงก็ทำได้แค่นั่งฟังพวกเด็กเรียนคุยโม้กัน ไม่ค่อยอยากไปเท่าไหร่”
เจียงฉินรู้สึกว่าสมองของกัวจื่อหังอาจมีขนาดเท่ากับถั่วลิสง: “เคยเห็นแต่พาคนไปเที่ยวสวนสัตว์ นายเคยเห็นคนพาเด็กผู้หญิงไปร้านล้างเท้างั้นเหรอ”
กัวจื่อหังตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง: “แล้วที่จี้โจวยังมีที่ไหนน่าไปเที่ยวอีก?”
“เธออยากไปดูตลาดนัดพวกของราคาถูกๆ ในเมือง”
“ที่นั่นมีแต่พ่อค้าแม่ค้ารายย่อย ของที่ขายก็ยังเป็นของปลอม ไม่เห็นจะมีอะไรน่าสนุกเลย”
“เธอไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนก็เลยอยากรู้”
กัวจื่อหังรู้สึกว่ามันไม่น่าเชื่อเลย: “เธอไม่เคยไปที่นั่นมาก่อน? ครอบครัวของผู้หญิงคนนั้นยากจนขนาดไหนกัน?”
เจียงฉินอดไม่ได้ที่จะเขม่นใส่เขา: “นายถามอะไรนักหนา ไม่ไปงานเลี้ยงแล้วหรือไง”
“ไป…”
(จบตอน)