บทที่ 8 คิดถึงบ้าน
เพลงเปิดและปิดของการ์ตูน *พ่อหัวโต ลูกหัวเล็ก* ดังซ้ำไปซ้ำมา ชวนให้ติดอยู่ในหัวอย่างน่าประหลาด
หลินเจ้าเซี่ยจัดของเสร็จ ออกมาเห็นเด็กชายจ้องหน้าจอทีวีจนไม่ขยับเขยื้อน
เธอลองเดินผ่านหน้าเขา เดินไปเดินมา แล้วก็เดินวนกลับมาอีกครั้ง แต่เด็กชายก็ยังไม่มองเธอเลยแม้แต่นิดเดียว
เธอคิดแผนซน ๆ แล้วแกล้งยืนขวางตรงหน้าเขา
เด็กน้อยก็ยังไม่มองเธอเลย แค่เอียงหัวเล็กน้อยแล้วหันไปมองจอทีวีจากอีกด้านแทน
เธอขยับอีกสองก้าวเพื่อบังเขาอีกครั้ง เด็กชายก็เอียงหัวไปอีกด้าน แล้วยังคงจ้องทีวีเหมือนเดิม
โอ้โห!
หลินเจ้าเซี่ยกระโจนไปข้างหน้า ยกมือขึ้นทำท่าตะครุบเบา ๆ ตรงหน้าเขา ชางจื้อจ้องตามมือเธอไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งสายตาของทั้งคู่มาประสานกัน
“ฮ่า ๆ ๆ…” หลินเจ้าเซี่ยหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงใจ
ชางจื้อยู่ปากอย่างไม่พอใจ
น่ารักจริง ๆ เด็กจากยุคโบราณก็ไม่อาจต้านทานเสน่ห์ของการ์ตูนได้เหมือนกัน ช่างขำกลิ้งจริง ๆ
นึกถึงวิธีการพูดของเขาที่ดูแปลกหู หลินเจ้าเซี่ยคิดว่าถ้าเขาดูการ์ตูนบ่อย ๆ ก็น่าจะช่วยปรับสำเนียงการพูดให้ใกล้เคียงคนสมัยนี้ได้บ้าง มากกว่าให้เธอมาคอยปรับแก้เองเสียอีก
แต่จะให้ดูทั้งวันก็ไม่ได้
“ไปอาบน้ำก่อนนะ อาบเสร็จแล้วค่อยดูต่อ”
ชางจื้อกระพริบตาปริบ ๆ มองเธอ ก่อนจะมองไปที่จอโทรทัศน์ แล้วลุกขึ้นอย่างว่าง่าย
“ดีมาก” หลินเจ้าเซี่ยชมพลางปิดทีวี
เธอหาเอาผ้าขนหนูใหม่ออกมาอีกผืนหนึ่ง และเสื้อยืดสีขาวตัวยาวหนึ่งตัว ส่วนเสื้อชั้นในก็ให้เสื้อชั้นในแบบใช้แล้วทิ้งไปก่อน ให้เขาใส่ไปก่อนพลาง ๆ
เธอพาเขาเข้าไปในห้องน้ำ สอนวิธีใช้งานต่าง ๆ ให้เขา พอเห็นว่าเขาพยักหน้าเข้าใจจึงออกมา
ในห้องน้ำ ชางจื้อมองไปรอบ ๆ เห็นเงาของตัวเองสะท้อนจากกระจกบานใหญ่ในห้องน้ำที่เผยให้เห็นหัวเล็ก ๆ ของเขา
เขาลองกระพริบตาใส่กระจก เงาในนั้นก็กระพริบตามเขา ชางจือลองเขย่งเท้า เงาก็สูงขึ้นตามอีกนิด
เขาเล่นกับกระจกสักพัก แล้วลองเอื้อมไปกดปุ่มปิดไฟที่ผนัง
ในห้องก็มืดลงทันที
ชางจือลงนั่งบนโถสุขภัณฑ์ มองแสงสลัวที่ลอดผ่านใต้ประตู รู้สึกห่อเหี่ยวใจ
เขาคิดถึงยาย คิดถึงตา เขาคิดถึงบ้าน
หลินเจ้าเซี่ยหาหยิบเสื้อยืดที่เหมาะสมมากกว่าตัวเดิมมาได้ตัวหนึ่ง กำลังจะไปให้เขาที่ห้องน้ำ แต่ยังไม่ทันเคาะประตูก็ได้ยินเสียงสะอื้นเบา ๆ จากข้างใน เธอหยุดชะงัก
เด็กน้อยกำลังร้องไห้!
เขากำลังร้องไห้ด้วยเสียงเบา ๆ อย่างเก็บกลั้น
หลินเจ้าเซี่ยรู้สึกราวกับมีมือหนึ่งมากดแน่นที่คอของเธอ ทำให้รู้สึกอึดอัดและขมปร่า
เด็กอายุแค่ห้าขวบ ต้องคิดถึงบ้านแล้วสินะ
เธอเองก็สับสน ไม่รู้ว่าจะดูแลเด็กคนนี้อย่างไร และเด็กคนนี้เองก็คงไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรเช่นกัน ใจคงจะเต็มไปด้วยความกลัวและความไม่มั่นคง
เขาคงกลัวว่าเธอจะไม่รับเขาไว้ด้วย
เด็กตัวเล็ก ๆ อายุแค่ไม่กี่ปี กลับต้องมาแบกรับอะไรขนาดนี้
หลินเจ้าเซี่ยรู้สึกใจหาย เธอยืนนิ่งฟังอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินกลับมานั่งที่โซฟาอย่างเงียบ ๆ
นั่งเหม่ออยู่ลำพัง
จนกระทั่งเสียงวิดีโอคอลจากโทรศัพท์ดังขึ้น…
“ทำไมถึงเพิ่งรับล่ะ แล้วทำหน้าอะไรแบบนั้น?”
ปลายสายเป็นจางเหลียนชิวที่โผล่หัวกลม ๆ ใหญ่ ๆ ออกมาในจอ “ยังไม่หายเศร้าเรื่องงานอีกเหรอ?”
หลินเจ้าเซี่ยไม่ตอบ ยิ้มให้เธออย่างหนึ่ง
“ยิ้มแบบนี้ยิ่งแย่เข้าไปอีก” จางเหลียนชิวทำหน้ารังเกียจ
แต่ก็รู้สึกว่ามันไม่ดีที่จะซ้ำเติมเพื่อนที่เพิ่งตกงาน เธอจึงปลอบว่า “เธอก็ทำงานตัวเป็นเกลียวมาโดยตลอด นี่ก็ถือว่าพักผ่อนบ้างยังไงล่ะ แล้วถ้าหาอะไรกินไม่ได้ ยังมีฉันอยู่ทั้งคนนะ”
เธอตบอกด้วยท่าทางภาคภูมิ “เพื่อนคนนี้เลี้ยงเธอได้!”
แต่หลินเจ้าเซี่ยยังคงมีสีหน้าเศร้าหมองอยู่
จางเหลียนชิวรู้สึกสงสารเพื่อน “หรือจะให้ไปช่วยงานที่บริษัทพ่อของฉันก่อนสักพักไหม?”
เธอค่อย ๆ เสนออย่างระมัดระวัง กลัวว่าเพื่อนจะสะเทือนใจมากไปกว่านี้
หลินเจ้าเซี่ยส่ายหน้า “ไม่เอาหรอก ฉันยังมีเงินเก็บอยู่บ้าง ยังไม่ถึงขนาดไม่มีจะกิน เดี๋ยวถ้าหาอะไรกินไม่ได้จริง ๆ ค่อยให้เธอเลี้ยงนะ”
จางเหลียนชิวถอนหายใจอย่างโล่งอก “ฉันกลัวเธอจะคิดมากจริง ๆ เลยนะ”
เธอกลัวว่าเพื่อนสนิทที่สุดของเธอจะซึมเศร้า
หลินเจ้าเซี่ยทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างหมดแรง น้ำเสียงเย็นชา “ไม่เคยได้ยินเหรอว่าพวกนักเขียนบทนั้นไม่มีเวลามาคิดมากหรอก เพราะกว่าจะทันคิดอะไร ก็เหนื่อยตายไปก่อนแล้ว”
“พูดอะไรบ้า ๆ ระวังปากหน่อย!”
จางเหลียนชิวด่าเธอชุดใหญ่จากปลายสาย
“เธอไม่รู้หรอกว่าเธอโชคดีขนาดไหน ยังเรียนไม่จบบริษัทใหญ่ ก็รับเข้าทำงานแล้ว ได้เป็น
นักเขียนบทประจำบริษัท แถมยังมีเงินเดือนประจำ อีกทั้งยังได้เขียนบทตั้งแต่แรก ๆ ดูพวก
เพื่อนในชั้นเราสิ เหลืออีกกี่คนที่ยังทำงานสายนี้อยู่?”
หลินเจ้าเซี่ยพยักหน้า ใช่จริง ๆ เธอโชคดีที่ได้เป็นนักเขียนบทประจำบริษัท แม้จะไม่ได้อิสระมากนัก แต่ก็มีเงินเดือนแน่นอน
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ยังได้เงิน สำหรับนักศึกษาจบใหม่แล้ว มีเงินพอจะกินอยู่ก็ยังดี
จางเหลียนชิวกลัวเพื่อนคิดมากเกินไป เธอจึงพูดต่อ “ถึงตอนนั้นจะมีเพื่อนบางคนที่ได้เข้าไปเป็นพนักงานบริษัทเหมือนเธอ แต่ก็ล้วนต้องไปทำงานจิปาถะ ไม่มีใครได้เขียนบทเลย มีแต่จ้าวหลิน เพื่อนสาวหัวกะทิของเรานั่นแหละ ที่ยังได้แค่เขียนโครงเรื่องกับประวัติตัวละคร”
“แต่จ้าวหลินยังไม่ตกงาน ฉันนี่แหละที่ตกงาน!”
หลินเจ้าเซี่ยถึงกับโอดครวญ
เธอทำงานเหมือนวัวงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ผ่านมาได้ปีครึ่งจนได้โอกาสใส่ชื่อในบท แต่แล้วโครงการก็มาพับไป
จะพับก็คือพับไป โครงการสิบอัน พับไปเก้าก็ยังมี แต่บริษัทดันปิดไปด้วย
เธอตกงาน!
เธอ! ตก! งาน! แล้ว!
จางเหลียนชิวรีบปลอบเธอ “อย่าคิดแบบนั้น อย่าคิดแบบนั้นเลย วงการภาพยนตร์ก็ซบเซามาสองปีแล้ว ทุกคนอยู่ยากกันหมด โปรเจกต์ของเราตอนนี้ถึงจะดูยิ่งใหญ่แล้วก็ดังไปทั่ว แต่ใครจะรู้ว่าจะได้ฉายจริงหรือเปล่า”
โปรเจกต์ที่ถ่ายทำไว้แล้วเก็บไว้ห้าปีสิบปีก็มีอยู่เยอะไป ภาพยนตร์ที่ถ่ายแล้วไม่ได้ฉายอีกเยอะเป็นเข่ง
หลินเจ้าเซี่ยแซวเธอว่า “โปรเจกต์ของเธอก็ใกล้จะถ่ายเสร็จแล้วนะ วิดีโอแพลตฟอร์มก็มีเยอะแยะ แค่เจ้านายยอมลดค่าตัวลงก็ได้ฉายแล้วล่ะน่า”
จางเหลียนชิวถลึงตาใส่ “พวกเรานี่คือมาตรฐานระดับออกอากาศ! โปรดักชั่นใหญ่! ไม่เหมือนซีรีส์ทุนต่ำทั่วไปหรอกนะ เจ้านายจะยอมลดตัวลงมาได้ยังไง”
ดาราของเธออุตส่าห์ขอคนนั้นคนนี้จนได้เล่นเป็นตัวที่สี่ ถ้าไม่ได้ฉายก็คงทำงานเปล่าน่ะสิ
สองคนได้แต่บ่นระบายปัญหาของแต่ละคน
“อีกสองวันถ่ายจบแล้วล่ะ ฉันจะกลับไปเลี้ยงบ้านใหม่เธอพร้อมกับของขวัญ”
หลินเจ้าเซี่ยเองก็ไม่เกรงใจ คิดถึงของใช้ที่บ้านแล้วยกตัวอย่างของขวัญทันที
“ไม่ใช่ว่าจะถ่ายสี่เดือนหรือไง ทำไมจบเร็วแบบนี้ล่ะ?”
“เจ้านายฉันเขาได้แค่บทตัวที่สี่ อีกแค่สองวันก็ปิดกล้องแล้วจ้ะ ทนอีกหน่อยนะ รอฉันกลับไปเมืองไห่จะพาเธอไปกินเลี้ยงใหญ่”
หลินเจ้าเซี่ยพยักหน้ารับ พอจะพูดแซวเพื่อนต่อ แต่จางเหลียนชิวก็เหมือนจะมีคนเรียกเธอ แล้วรีบตอบกลับไปว่า “เจ้านายเรียกแล้ว ฉันวางก่อนนะ!”
หลินเจ้าเซี่ยมองโทรศัพท์แล้วส่ายหัวหัวเราะเบา ๆ จางเหลียนชิวยังคงรีบเร่งสดใสร่าเริงเหมือนเดิม แค่เห็นก็อดอิจฉาไม่ได้
ยัยนี่อยากเข้าวงการบันเทิงมาตั้งนานแล้ว แต่หนึ่งคือเธอไม่ได้จบสายนี้โดยตรง อีกทั้งหน้าตาก็ไม่ได้เด่นอะไร ออกจะกลมเล็กน้อยด้วยซ้ำ
เธอพยายามเป็นนักแสดง แต่ก็เจออุปสรรคมานับไม่ถ้วน
หลินเจ้าเซี่ยคิดว่าเพื่อนน่าจะเลิกตามฝันไปแล้ว แต่พอจบมาก็เห็นเธอไปเป็นผู้ช่วยนักแสดงหน้าใหม่
ทำงานเงินเดือนสี่พันห้า ถูกใช้งานจนหัวหมุน แต่เธอก็ไม่เคยรู้สึกเบื่อหน่าย บอกหลินเจ้าเซี่ยว่า นี่คือการเข้าถึงฝันทางอ้อม
หลินเจ้าเซี่ยนับถือในความตั้งใจของเพื่อนมาก
พอวางโทรศัพท์แล้วหันไปก็เห็นชางจื้อกำชายเสื้อยืดไว้แน่น ผมเปียก ๆ ยืนอยู่หน้าประตูห้องน้ำ มองเธอด้วยสายตาไม่รู้จะทำอะไร
(จบบท)