บทที่ 57 พลาดแล้ว! คาถาส่งตัว
ที่เชิงเขา…
จินเป่าเอ๋อเพิ่งออกจากเขตแดนของสำนักเพียวเมี่ยว จู่ๆ แรงกดดันมหาศาลก็กดลงมาอย่างไม่คาดคิด!
“นังสารเลว! ข้าอยากจะเห็นนักว่า วันนี้ใครจะมาช่วยเจ้าจากมือข้าได้!”
เสียงพูดข่มขู่พร้อมแรงกดดันที่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ กดดันนางอย่างหนัก เมื่อเงยหน้าขึ้นมองผู้มา ปรากฏว่าเป็น...โหม่กั้นเหยียน และโม่เทียนหลิน!? นางเต็มไปด้วยความตกใจและเข้าใจทันที!
นางพลาดไปแล้ว!
การที่สำนักตี้หยุนจงเข้าร่วมการประลองครั้งนี้ถึงกับมีเจ้าสำนักมาปรากฏตัวด้วย แต่ทำไมถึงไม่เห็นเงาของโหม่กั้นเหยียน ที่แท้ก็รอคอยนางอยู่ที่นี่นั่นเอง!
แววตาของโม่เทียนหลินเต็มไปด้วยโทสะและจิตสังหาร
“นังสารเลว ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่า วันนี้เจ้าต้องตายอย่างแน่นอน!”
โหม่กั้นเหยียนขมวดคิ้ว จ้องมองนางด้วยสีหน้าตกใจ
“จินตันขั้นกลางงั้นหรือ?”
แค่เพียงครึ่งปีเท่านั้น ตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่พบกัน จินเป่าเอ๋อที่ครั้งนั้นยังเป็นเพียงหลอมปราณขั้นกลางกลับพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ได้อย่างไร? นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน?!
โม่เทียนหลินหันไปฟังและแสดงท่าทีขัดใจขึ้นมา
“แล้วไง? ถึงจะเป็นจินตันขั้นกลางแต่ข้าก็ใช่จะไม่สามารถฆ่าได้!”
ไม่ว่านางจะมีระดับพลังเท่าไหร่ แต่การที่ฆ่าศิษย์น้องของเขา นางจะต้องชดใช้ด้วยชีวิต
โหม่กั้นเหยียนหรี่ตามองนาง ราวกับกำลังครุ่นคิดเรื่องบางอย่าง เมื่อได้ยินคำพูดนั้น เขาจึงหันไปมองโม่เทียนหลิน
“ครึ่งปีก่อน ข้าพบกับนาง นางยังอยู่แค่ขั้นหลอมปราณขั้นกลางเท่านั้น”
เพียงคำพูดเดียวทำให้โม่เทียนหลินถึงกับเบิกตากว้างมองนางด้วยความตกตะลึง
“ครึ่ง…ครึ่งปีก่อน?”
นี่มันความเร็วในการฝึกฝนระดับไหนกัน? การพัฒนาขั้นหนึ่งในเวลาเพียงครึ่งปี? แค่คิดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้เขารู้สึกกลัวขึ้นมา ความเร็วขนาดนี้ ในโลกแห่งการฝึกฝนแทบจะหาผู้ที่สองไม่ได้อีกแล้ว!
ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังสนทนากัน จินเป่าเอ๋อไม่ได้อยู่นิ่งเช่นกัน
นางรู้ว่าตอนนี้ตนไม่อาจสู้กับผู้มีพลังถึงรวมร่างได้ แต่การหลบหนีกลับไม่ใช่ปัญหา!
นางใช้มือขวาใต้แขนเสื้อค่อยๆ กระตุ้นคาถาส่งตัว ทว่าเพิ่งเรียนรู้มาได้ไม่นานนัก จำเป็นต้องใช้เวลาในการเปิดใช้งาน
“เด็กน้อย เจ้าสนใจจะมาเป็นศิษย์ของข้าหรือไม่? เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ข้าจะยอมลืมเลือนไปเสีย!”
ชายวัยกลางคนจ้องมองนางด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง แต่แววตาแฝงความละโมบเอาไว้! ศิษย์พลังน้ำแข็งขั้นจินตัน ช่างมีคุณค่ามากกว่าเตาหลอมธาตุน้ำใดๆ!
เมื่อเขาพูดจบ จินเป่าเอ๋อยังไม่ทันได้ตอบโหม่กั้นเหยียนที่ยืนข้างๆ ก็หน้าถอดสี ตะโกนด้วยความไม่เชื่อ
“อาจารย์ ศิษย์น้องของข้าต้องตายไปโดยเปล่าประโยชน์อย่างนั้นหรือ?”
โม่เทียนหลินถูกโหม่กั้นเหยียนจุนจ้องเขม็งจนต้องเงียบเสียงลง พร้อมกับส่งสายตาอาฆาตไปยังนางแทน
จินเป่าเอ๋อก้มหน้าลง คิดได้ว่านี่คือโอกาสในการถ่วงเวลา นางจึงแสดงท่าทางสงบนิ่งขึ้นมา
“หากท่านอาจารย์ต้องการรับศิษย์จริงๆ ข้าก็ยินดีรับค่ะ เพียงแต่ข้ากลัวว่าในภายหลัง...”
นางจงใจพูดแค่ครึ่งเดียวและหันไปมองโม่เทียนหลินอย่างเจตนา
“ข้าไม่อยากใช้ชีวิตที่ต้องระวังตัวจากการถูกลอบสังหารทุกวันเจ้าค่ะ!”
โหม่กั้นเหยียนได้ฟังก็หัวเราะเล็กน้อย
“กลัวอะไรกันล่ะ? ข้าจะปกป้องเจ้าเอง”
เขาตั้งใจเบี่ยงประเด็นที่นางพูด พร้อมกับส่งสัญญาณบางอย่างให้โจวเชียนซาน
หลังจากรับสัญญาณนั้น สายตาของโม่เทียนหลินที่เคยอาฆาตกลับเปลี่ยนไปเป็นสายตาหยาบช้าและน่ารังเกียจเสียแทน สายตาเช่นนั้นทำให้นางรู้สึกขยะแขยงอย่างยิ่ง แต่เพื่อถ่วงเวลา นางจึงเร่งกระตุ้นคาถาส่งตัวเร็วขึ้น
“ถ้าเช่นนั้น…”
ยังไม่ทันที่นางจะพูดจบ เสือยักษ์สีเหลืองก็พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันนกเพลิงบนท้องฟ้าก็พุ่งลงมาใส่สองคนตรงหน้า หากโดนเข้า แม้แต่ผู้มีพลังระดับเทพก็อาจได้รับบาดเจ็บ! โหม่กั้นเหยียนรีบถอยไปด้านหลังด้วยความตกใจ แต่โม่เทียนหลินกลับไม่ทันได้ตอบสนอง ทำให้โดนพลังเข้าเต็มๆ
“อ๊ากก!”
เลือดพุ่งกระจายไปทั่ว
“รังแกคนที่อ่อนแอกว่า ไร้ยางอายจริงๆ!”
“ใช้อำนาจกดข่มคนอื่น ช่างเลวทรามยิ่งนัก!”
ในขณะที่พูดอยู่นั้น เงาร่างสีแดงและสีม่วงสองสายก็ตกลงมาอย่างรวดเร็ว ผู้ที่มา...ก็คือหยุนม่อหลิงหลงและโจวเชียนซานนั่นเอง!
เมื่อรู้ว่าผู้โจมตีเป็นเพียงศิษย์ระดับจินตันทั้งสองคนโหม่กั้นเหยียนจุนก็โกรธเกรี้ยวและแรงกดดันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
“เด็กน้อยไร้ยางอาย กล้ามาโจมตีข้าเช่นนี้ วันนี้พวกเจ้าทั้งสองจะไม่มีทางหนีไปได้แน่!”
พูดจบ เขาก็โบกมือปล่อยพลังวิญญาณขนาดใหญ่ใส่ทั้งสามคน ด้วยแรงกดดันที่ทำให้ทั้งสามไม่สามารถขยับตัวได้ ทำได้แค่มองพลังที่พุ่งเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าซีดขาว...
ทันใดนั้น คาถาส่งตัวก็เปิดใช้งานขึ้นโดยสมบูรณ์ จินเป่าเอ๋อไม่รอช้า รีบสลัดพันธนาการและคว้าตัวอีกสองคนไว้ทันที!
เพียงชั่วพริบตา ทั้งสามและสัตว์อสูรทั้งสองก็หายไปจากที่เดิม พลังวิญญาณที่โจมตีพลาดเป้าไปกระแทกพื้นอย่างแรงจนเกิดเป็นหลุมลึก…
“แค่ก…แค่ก…”
ความเจ็บปวดแผ่ซ่านจากภายในลึกๆ ทำให้จินเป่าเอ๋อฟื้นจากอาการหมดสติ ความเจ็บปวดแสบในแผ่นหลังและความอ่อนแรงในจินตันทำให้นางต้องรีบกินยาบำรุงและตั้งจิตสงบ
หลังจากตั้งสติได้ นางก็เริ่มสอดส่องรอบๆ ตัว...
รอบกายมีแต่หมอกหนาและป่าที่หนาทึบ ข้างๆ กันมีสระน้ำเล็กๆ ได้ยินเพียงเสียงน้ำไหลเท่านั้น ไม่มีเสียงใดอื่น
ชส่วนหยุนม่อหลิงหลงและโจวเชียนซานก็นอนอยู่บนสัตว์อสูรของตัวเอง ดูเหมือนไม่มีรอยบาดเจ็บอะไรเลย
จินเป่าเอ๋อหันไปมองที่ไหล่ของนาง ก็พบกับสายตาของเจ้าแมวขาวตัวน้อยที่มองนางกลับมาด้วยใบหน้าใสซื่อ นางยกอุ้งเท้าขึ้นมาเลีย ราวกับจะบอกว่า 'เจ้ามองข้าทำไม?'
นางได้แต่คิดว่า เมื่อไหร่กันที่นางจะมีสัตว์อสูรคู่ใจของตัวเองจริงๆ บ้าง!
ในขณะนั้น เสียงฝีเท้าก็ดังใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว จินเป่าเอ๋อรีบลุกขึ้นมาและปลุกอีกสองคนโดยไม่ทันได้อธิบาย สักพักกลุ่มคนก็ปรากฏตัวขึ้น!
“พวกคนบ้าบิ่น! กล้าดียังไงถึงบุกเข้ามาในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเสี่ยวเหยากง!”
“เสี่ยวเหยากง?”
จินเป่าเอ๋อพึมพำเบาๆ ขณะที่หยุนม่อหลิงหลงและโจวเชียนซานซึ่งเพิ่งฟื้นขึ้นมาและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มองหน้ากันอย่างงุนงง จากนั้นทั้งสองคนก็หันไปมองศิษย์เสี่ยวเหยากงด้วยสายตาราวกับมองคนบ้า
“ข้าว่า เจ้าเด็กน้อย เจ้าคงลืมกินยาแล้วกระมัง เสี่ยวเหยากงอยู่ห่างจากที่นี่เป็นพันลี้นะ! ที่ศักดิ์สิทธิ์อะไรกัน ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ใกล้กับเขตของพวกเรามีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เกิดขึ้นได้”
ดูเหมือนหยุนม่อหลิงหลงจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์
นางนึกว่าพวกเขาถูกจินเป่าเอ๋อพาหลบหนีมาที่ใกล้กับเขตของพรรค จนโจวเชียนซานเริ่มขมวดคิ้วและเงียบไป
จินเป่าเอ๋อเหลือบมองอย่างสงบนิ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“เมื่อครู่…ข้าใช้ยันต์เคลื่อนย้าย”
คำพูดนั้นทำให้หยุนม่อหลิงหลงและโจวเชียนซานชะงัก ก่อนจะหันมามองจินเป่าเอ๋อพร้อมกับตะลึง เอ่ยออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“ยันต์เคลื่อนย้าย??”
พอพูดจบ ทั้งสองคนก็หันมามองกันเองและระเบิดเสียงขึ้นพร้อมกันอีกครั้งด้วยความหงุดหงิด
“นี่เจ้าคิดจะล้อข้าเล่นรึ? หุบปากไปเลย!”
พูดไปก็ประสานเสียงกันอย่างพอดิบพอดี จนแม้แต่นกเพลิงและเสือยังอดมองด้วยความฉงนไม่ได้
จินเป่าเอ๋อไอเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้น
“น่าจะ…อธิบายให้ชัดเจนกันก่อนนะ”
หลังจากที่พวกเขาผลัดกันอธิบาย ศิษย์เสี่ยวเหยากงคนนั้นก็ยังไม่ยอมเชื่อ ยืนกรานว่าจะจับตัวพวกเขาให้ได้
ขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังจะเปิดศึกกัน เสียงตะโกนดังมาจากที่ไกลๆ
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
จินเป่าเอ๋อเงยหน้ามองไปเห็นบุคคลที่เดินเข้ามา สบตากันอย่างประหลาดใจ ก่อนเอ่ยพร้อมกันอย่างตกใจ
“ท่านพี่หก”
“เจ้าน้องเล็ก?”
“เจ้าอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ไหนบอกว่าจะไปเข้าร่วมการประลองล่ะ?”
ใบหน้าของหลานชิงอิ๋งเต็มไปด้วยความยินดีและความประหลาดใจ
“เรื่องนี้…พูดยากนะเจ้าค่ะ…”