บทที่ 50 การฝึกฝน
“ถ้าอยากทำงานให้สำเร็จ ต้องเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม”
ขณะนี้ที่ศูนย์ฝึกอุปกรณ์แห่งหนึ่งชานเมือง
พังหลงกำลังอธิบายข้อดีและข้อเสียของอาวุธทางทหารยุคใหม่ให้โยวกวงฟัง
เป็นวันที่สองหลังจากที่พวกเขาร่วมกับเย่สิงโจวและเซี่ยอู่เยวียนปฏิบัติการกวาดล้างปีศาจที่โรงงานเคมีไป่เซิ่ง เมื่อได้เห็นกับตาว่าปีศาจที่แปลงร่างสมบูรณ์ก็ยังถูกปืนและกระสุนสกัดไว้ได้ เขาจึงชวนพังหลงมายังศูนย์ฝึกแห่งนี้
“ความแข็งแกร่งของนักสู้มักถูกตัดสินจากสามปัจจัย ได้แก่ ตัวบุคคล อุปกรณ์และการสนับสนุนด้านหลัง”
พังหลงอธิบาย
“สำหรับตัวบุคคล ได้แก่ ความแข็งแกร่งทางร่างกาย ทักษะการต่อสู้ ประสบการณ์ อุปนิสัย และเจตจำนงในการต่อสู้ ส่วนการสนับสนุนด้านหลังรวมถึงข้อมูลข่าวกรอง การบำรุงรักษา การปกปิด และการรักษาสมรรถภาพการต่อสู้ ส่วนที่เราจะเน้นกันในวันนี้คือเรื่องอุปกรณ์ แบ่งเป็นสี่ประเภทคือ การโจมตี การป้องกัน การเสริมพลังและการควบคุมสถานการณ์”
จากนั้นเขาจัดการเปิดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ฉายภาพอาวุธหลากหลายชนิด
“ทุกวันนี้อาวุธสำหรับการโจมตีมีความหลากหลายมากขึ้น สำหรับนักสู้มีอาวุธที่ผลิตเป็นพิเศษอยู่หลายประเภท ได้แก่ อาวุธประชิด ปืนพกและปืนหนัก”
เขาอธิบายลักษณะเฉพาะของอาวุธเหล่านี้ทีละประเภท ทั้งยังพาโยวกวงไปทดลองใช้อาวุธบางชนิดด้วยตัวเอง
ด้วยข้อจำกัดของศูนย์ฝึกแห่งนี้ อาวุธขนาดใหญ่ เช่น ปืนกลเกทลิ่ง จรวด RPG และเครื่องยิงลูกระเบิดจึงไม่สามารถทดลองใช้งานจริงได้ ต้องอาศัยดูผ่านวิดีโอแทนไปก่อน
หลังจากใช้เวลาเกือบครึ่งวันในการอธิบายอุปกรณ์ พังหลงก็พาโยวกวงไปยังโซนชุดเกราะต่อสู้
“ด้วยความอันตรายของปืนที่มีต่อนักสู้ที่มากขึ้นทุกวัน จึงเกิดวิธีการรับมืออาวุธปืนต่างๆ ขึ้นมากมาย คล้ายกับที่มีธนู ก็ต้องมีชุดเกราะตามมา ชุดเกราะป้องกันที่นิยมที่สุดในปัจจุบันคือชุดเกราะปิดคลุมทั้งตัว”
เขาหยิบชุดเกราะออกมาให้โยวกวงดู
“นี่คือชุดเกราะระดับสูงที่ผลิตในแคว้นต้าหยู่ แต่ในระดับสากลยังถูกจัดอยู่ในระดับ B เท่านั้น ประกอบไปด้วยส่วนหลักๆ เช่น เสื้อ กางเกง ถุงมือ หมวกนิรภัย และแว่นตาทางยุทธวิธี…”
โยวกวงสังเกตดู
ชุดเกราะนี้มีดีไซน์คล้ายกับชุดเก็บความร้อน สีเทา ดูมีเนื้อผ้าที่หนาและแข็งแรง
ด้วยข้อกำหนดของนักสู้ ชุดเกราะที่นี่จึงพัฒนาล้ำหน้ากว่าที่โยวกวงเคยรู้จักในสมัยที่อยู่แคว้นต้าชาอุปกรณ์เสริมการต่อสู้และเสื้อเกราะกันกระสุนที่นี่เรียกได้ว่าทันสมัยยิ่งกว่า
“วัสดุหลักของชุดเกราะที่เราผลิตนี้ทำจากเส้นใยที่ทนทานสูง แต่สำหรับของฝั่งจักรวรรดิดาวแดง พวกเขานำเทคโนโลยีนาโนเข้ามาใช้ ชุดเกราะของพวกเขาจึงอยู่ในระดับ A ซึ่งสามารถต้านทานการโจมตีจากปืนไรเฟิลได้อย่างสมบูรณ์แบบ”
พังหลงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“หมายถึงไม่เพียงแต่จะกันกระสุนจากปืนไรเฟิลได้เท่านั้น แต่ยังไม่เกิดการบาดเจ็บภายในจากแรงกระแทกด้วย”
“ถ้าเป็นปรมาจารย์ขั้นสูงสุดใส่ชุดเกราะนี้ จะต้านทานปืนหนักได้หรือเปล่า?”
โยวกวงถาม
“เอ่อ...ถึงจะเป็นชุดเกราะก็ใช่ว่าจะทำให้ทนทานได้ขนาดนั้น ปืนหนักมีแรงอัดมากกว่าอาวุธปืนขนาดเล็กหลายเท่า”
พังหลงตอบก่อนจะเสริมว่า
“แต่อย่างไรก็ตาม ชุดเกราะระดับ S นั้นมีประสิทธิภาพที่สูงกว่าอีกระดับ เป็นชุดเกราะที่ใช้เส้นใยพิเศษเรียกว่าจินอู๋ซือ ซึ่งมีคุณสมบัติป้องกันแรงกระแทกได้ดีเยี่ยมและยังดูดซับพลังงานความร้อนได้อย่างน่าอัศจรรย์”
เขาหยิบอุปกรณ์ขึ้นมาแล้วเปิดข้อมูลให้โยวกวงดู
“เมื่อสิบสามปีก่อน มีสมาชิกในราชวงศ์ต้าหยู่ออกไปเยือนต่างประเทศแล้วถูกกองกำลังติดอาวุธท้องถิ่นจับตัวไว้ จากนั้นปรมาจารย์ขั้นสูงสุดจากราชวงศ์ก็ตามไปช่วย แต่เมื่อไปถึงสมาชิกในราชวงศ์นั้นได้เสียชีวิตไปแล้ว ด้วยความโกรธ ปรมาจารย์ขั้นสูงสุดจึงเข้าไปจัดการกองกำลังติดอาวุธกว่า 3,000 คน ที่มีทั้งปืนกลหนัก ปืนยิงระเบิดและอาวุธหนักอื่นๆ จนแทบไม่เหลือใครรอดไปได้ ขณะนั้นเขาสวมชุดเกราะระดับ S อยู่”
“ชุดเกราะระดับ S...”
พังหลงยิ้ม
“มีคำกล่าวในวงการว่า หากปรมาจารย์ขั้นสูงสุดสวมชุดเกราะระดับ S และมีอุปกรณ์ครบมือ เขาสามารถล้มกองกำลังทหารของกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศทั่วโลกได้เพียงลำพัง”
“ครึ่งหนึ่ง?”
“ใช่ ครึ่งหนึ่ง”
พังหลงพยักหน้าอย่างหนักแน่น
โยวกวงได้ฟังก็ถึงกับพูดไม่ออก
หากกระทั่งปรมาจารย์ขั้นสูงสุดยังเอาชนะไม่ได้ ประเทศเหล่านั้นจะมีอยู่ไปเพื่ออะไร?
แน่นอนว่าคำถามนี้พังหลงคงไม่มีคำตอบให้
ตลอดทั้งวันที่เหลือ โยวกวงใช้เวลาไปกับการฝึกฝนและทำความคุ้นเคยกับอาวุธปืน
พลบค่ำ
เหลยหยุนมารับโยวกวง
บนรถเธอรายงานว่า
“ตลอดทั้งวันฉันกับไป๋ย่าสืบหาร่องรอยของรองผู้ว่าการจ้าว จนกระทั่งเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว จึงได้ยืนยันว่า หลังจากกลับมาที่เทียนหนานหนึ่งวัน เขาก็หายไปอีกครั้ง”
“หายไป?”
โยวกวงแปลกใจก่อนจะคาดเดาได้ถึงบางอย่าง
จะหนีเหรอ?
แต่...ไม่น่าจะใช่
ในเมื่อเป็นผู้นำปีศาจที่ดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าการ ถึงจะต้องต่อสู้ เขาก็ยังมีโอกาสชนะ
“สืบต่อไป”
โยวกวงสั่ง
“เข้าใจแล้ว”
เหลยหยุนตอบ
รถมุ่งหน้ากลับไปยังเมือง
แต่เมื่อผ่านหน้าตึกศูนย์ซิงอวี้โยวกวงกลับให้หยุดรถ
เขามองเห็นรถราชการหลายคันจอดอยู่หน้าตึก
นอกจากรถของหน่วยรักษาความปลอดภัย ยังมีรถของสำนักงานตรวจสอบ สำนักงานภาษีและอื่นๆ
ดูเหมือนจะมีเรื่องใหญ่
โยวกวงนึกถึงธุรกิจของตระกูลซูที่กำลังจะโอนเงินหลายพันล้านให้เขาเพื่อเพิ่มประสบการณ์ในฐานะ พ่อค้า จึงถามว่า
“เกิดอะไรขึ้น?”
“คณะกรรมการหลายคนภายใต้การนำของจางอี้ซูได้เข้ามาเล่นงานประธานกรรมการในวันนี้ ท่านประธานพยายามแก้ปัญหาอยู่ค่ะ”
เหลยหยุนตอบ
“จางอี้ซู?”
“เขาเป็นน้องชายของภรรยาผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาของเทียนหนานและเป็นไปได้ว่าเป็นตัวแทนของผู้อำนวยการจาง”
“ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาของเทียนหนาน หากเชื่อมโยงคนรู้จักเข้ามา ก็สามารถมีอำนาจควบคุมได้ทั้งเมือง”
เหลยหยุนกล่าวเสริม
“ตระกูลซูเราอาจไม่กลัวแค่ผู้อำนวยการคนเดียว แต่ถ้าเขาค้นพบปัญหาบางอย่างขึ้นมา การแก้ไขก็อาจจะยุ่งยากอยู่บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขารวมตัวกับผู้มีอำนาจหลายฝ่าย”
“อืม” โยวกวงพยักหน้า
“บอกหัวหน้าตระกูลด้วยว่า หากต้องการความช่วยเหลือก็ให้เรียกผมได้”
“ทราบแล้วค่ะ”
เหลยหยุนตอบรับ
เธอเองรู้ว่าท่านเจ้าตระกูลวางแผนรับมือจางอี้ซูและพวกไว้ล่วงหน้าแล้ว ในทางทฤษฎี จึงไม่น่าจะถึงขั้นต้องรบกวนโยวกวง ทุกอย่างคงขึ้นอยู่กับว่าใครจะวางหมากเหนือกว่าใคร
รถแล่นผ่านศูนย์ซิงอวี้จนถึงสวนหยู่
ขณะกำลังจะเข้าบริเวณสวนมีรถคันหนึ่งแล่นเข้ามาใกล้
หน้าต่างรถคันนั้นเลื่อนลง
เย่สิงโจวโผล่ออกมาจากรถพร้อมเอ่ยขึ้นว่า
“โยวกวงน้องรัก พี่กำลังจะมาหาพอดี คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญเจอกันที่นี่”
โยวกวงมองหน้าเขานิ่งๆ รู้ดีว่ารถคันนี้จอดรอมานานแล้ว
“มีธุระอะไรหรือ?”
“ไม่คิดจะชวนพี่เข้าไปนั่งคุยหน่อยหรือไง?”
เย่สิงโจวกล่าวพลางยิ้มกว้าง
“เข้ามาก่อนสิ”
โยวกวงตอบ
รถทั้งสองคันจึงแล่นเข้าไปในสวนหยู่
เหลยหยุนที่ขับรถให้โยวกวงอยู่แสดงสีหน้าตกใจและประหลาดใจเล็กน้อย
“คุณโยวกวง คนเมื่อครู่คือ…ผู้ใหญ่แห่งตระกูลเย่ เย่สิงโจว?”
“ใช่”
โยวกวงตอบ
“คุณ…รู้จักเขาเหรอ?”
“ก็น่าจะเรียกว่ารู้จักกันได้หละมั้ง”
โยวกวงตอบเรียบๆ
รู้จักกัน?
เหลยหยุนเริ่มเข้าใจในสไตล์การพูดของโยวกวงมากขึ้น
หากมองจากท่าทีที่เย่สิงโจวมีต่อโยวกวงเมื่อครู่ คำว่า ‘รู้จักกัน’ ดูจะเป็นคำที่ถ่อมตัวเกินไป
ตระกูลเย่!
ตระกูลอันทรงอำนาจที่ปกครองเทียนหนานมาช้านาน!
แม้ผู้ว่าการคนปัจจุบันอย่างเว่ยคงหมิงจะเด็ดขาดเพียงใด ร่วมมือกับหัวหน้าสำนักงานตรวจการอย่างลู่เจิ้นไห่จนทำให้เทียนหนานคุมเข้มเป็นปึกแผ่น แต่ก็ยังไม่อาจกดทับตระกูลเย่ได้อย่างสมบูรณ์
ตระกูลเย่ยังคงมีอิทธิพลที่ไม่อาจเทียบได้ในทุกแวดวงของเทียนหนาน
หากวันใดตระกูลเย่พร้อมบุกโจมตีโดยไม่สนผลกระทบ ความแข็งแกร่งนั้นย่อมจะสามารถโค่นล้มเว่ยคงหมิงและลู่เจิ้นไห่ได้แน่นอน
ตระกูลซูที่แม้เคยรุ่งโรจน์จนได้เป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งของเทียนหนาน ยังเทียบชั้นตระกูลเย่ไม่ได้แม้เพียงครึ่ง ทว่าตอนนี้ คุณชายโยวกวงกลับมีสายสัมพันธ์กับเย่สิงโจว หนึ่งในหัวใจของตระกูลเย่…
รถมาจอดหน้าบ้านหมายเลข 49
เย่สิงโจวลงมาพร้อมกับคนติดตามสองคน หนึ่งในนั้นคือผู้ขับรถที่เป็นปรมาจารย์ที่โยวกวงเคยพบ อีกคนหนึ่งเป็นหญิงสาวอายุไล่เลี่ยกับโยวกวง
ทั้งคู่ยกของหลายชิ้นจากท้ายรถมาด้วย ท่าทางตั้งใจมาอย่างพิถีพิถัน
“ปรมาจารย์เย่มีอะไรกันแน่?”
โยวกวงถามอย่างสงสัย
“บุญคุณช่วยชีวิตอันยิ่งใหญ่ ไม่มีสิ่งใดตอบแทนได้”
เย่สิงโจวกล่าวอย่างตั้งใจ
“ฉันทำได้เพียงนำของเล็กๆน้อยๆเหล่านี้มาแทนคำขอบคุณ หวังว่าจะไม่รังเกียจ”
“ไม่จำเป็นต้องลำบากแบบนี้หรอก เราร่วมต่อสู้กันในวันนั้น…”
“สำหรับเธออาจจะเป็นเพียงการทำหน้าที่ แต่สำหรับฉันหากไม่ใช่เพราะเธอ ฉันก็คงเอาชีวิตไม่รอด หากฉันไม่แสดงความขอบคุณเลย ก็คงติดค้างในใจไปตลอด”
สีหน้าของเย่สิงโจวแสดงออกถึงความจริงใจ
ในเมื่อเขากล่าวมาเช่นนี้ โยวกวงจึงไม่ปฏิเสธอีกต่อไปและพยักหน้า
“งั้นเชิญเข้ามานั่งกันก่อนเถอะครับ”
จากนั้นโยวกวงก็เชิญทุกคนเข้าไปในบ้าน
เหลยหยุนรีบไปเตรียมน้ำชาและของว่างสำหรับแขกพร้อมกับไอรี
“เรื่องนี้คุณอย่าคิดมากเลย”
โยวกวงกล่าว
“หลักการเป็นมนุษย์ต้องไม่ละทิ้งยังไงล่ะ”
เย่สิงโจวยิ้ม
“แม้การฝึกวิถีของปรมาจารย์ขั้นสูงสุดจะไม่ได้มีข้อบังคับด้านหลักการและกฎเกณฑ์…แม้ว่าฉันอาจไม่มีหวังบรรลุขั้นปรมาจารย์ขั้นสูงสุด แต่ฉันก็ยังคงยึดมั่นในหลักการของตัวเอง”
“หลักการและกฎเกณฑ์…”
คำนี้ทำให้โยวกวงสะกิดใจ
แม้ว่าการฝึกฝนเพื่อเป็นปรมาจารย์จะไม่เน้นเรื่องกฎเกณฑ์มากนัก
แต่...
ในระดับพลังจิตนั้นไม่เหมือนกัน
มีเพียงการรักษาจิตใจให้บริสุทธิ์และยึดมั่นในหลักการ จึงจะทำให้พลังจิตทำงานได้ตามปกติ
สิ่งต่างๆอาจยืดหยุ่นได้ แต่ถ้าไม่มีหลักการหรือขอบเขตเลย คิดเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเพียงแค่คำพูดของผู้อื่นปรมาจารย์ระดับนี้ก็ไม่มีวันสามารถบ่มเพาะพลังจิตของตนได้เลย
“ในเมื่อคุณพูดแบบนี้ งั้นผมก็จะขอรับไว้แล้วกัน”
โยวกวงกล่าวตอบ
“ฮ่าฮ่าฮ่า ดีแล้ว”
เย่สิงโจวยิ้มกว้าง
เย่สิงโจวยิ้มกว้าง “ที่จริงแล้วฉันก็มีความต้องการส่วนตัวอยู่บ้าง เพราะเธอนั้นเป็นถึงปรมาจารย์หนุ่มวัยสิบเก้าปี อนาคตต้องก้าวไกลอย่างแน่นอน ฉันคงต้องรีบคว้าโอกาสนี้ไว้ให้ได้ ไม่อย่างนั้น ถ้าปล่อยไป โอกาสที่จะสร้างสัมพันธ์ก็คงหาไม่ได้อีกแล้ว”
“คุณเย่พูดเกินไป เรื่องอนาคตนั้น…”
โยวกวงตอบตามมารยาท
แต่ยังไม่ทันจบประโยค เขาก็ชะงักไปเล็กน้อย
โยวกวงสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่างในต้นไม้แห่งพลังจิตในโลกจิตวิญญาณของเขา
ทันใดนั้นสายตาของโยวกวงก็หันไปจับจ้องเย่สิงโจว
“คุณนำอะไรมาให้ผม?”
(จบบท)