บทที่ 5 ทิ้งไม่ได้
ทิวทัศน์ภายนอกหน้าต่างรถเต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้าและการจราจรที่คึกคัก เมืองไห่ดูเจริญรุ่งเรืองและครึกครื้น หลินเจ้าเซี่ยมองออกไปอย่างเหม่อลอย
ตอนแรกเธอตั้งใจว่าจะส่งเด็กไปอยู่ในที่ที่เหมาะสมหลังออกจากโรงพยาบาล แต่กลายเป็นว่ามีสายเลือดแท้ ๆ เชื่อมโยงกับเขา!
จะส่งเด็กน้อยที่ไม่รู้จักอะไรและไม่มีที่พึ่งพิง แถมยังมีความผูกพันกับเธอออกไปอยู่คนเดียวได้ยังไงกัน? จิตสำนึกของเธอคงไม่สงบสุขแน่ ๆ มันต้องเจ็บปวด
แต่เธอเป็นแค่สาวอายุน้อยที่เพิ่งตกงาน การดูแลตัวเองก็ลำบากพอแล้ว แล้วตอนนี้ต้องมาเลี้ยงเด็กอีกหรือ?
เธอบ่นกับตัวเองในใจ
นี่มันจะทำให้ฉันพังกันพอดี
เธอหันไปเห็นเด็กชายใช้มือเล็ก ๆ เกาะขอบหน้าต่างรถ จ้องมองทิวทัศน์ภายนอกไม่วางตา สีหน้าของเธอยิ่งซับซ้อนขึ้นไปอีก
อยากจะข่วนกำแพง! โอ๊ย!
ชางจื้อรู้สึกได้ถึงสายตาของเธอจึงหันมามองเธอ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ผมไม่ได้ชื่อ หลินชางยวี้” เขาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
ชางจื้อไม่ได้แซ่หลิน ในบ้านสกุลหลินเขาถือเป็นคนนอกแซ่
เอ๋? หลินเจ้าเซี่ยหยุดคิดครู่หนึ่ง
พอเข้าใจเรื่องก็อธิบายว่า “อ๋อ นั่นเป็นชื่อที่ตั้งให้ชั่วคราวตอนพาเธอไปหาหมอน่ะ ถ้าไม่มีชื่อจะรับการรักษาไม่ได้”
“งั้นต่อไปเรียกเธอว่าชางจื้อแล้วกัน”
“ชางจื้อเป็นชื่อเล่น ไม่ใช่ชื่อจริง”
ชื่อเล่นหรือ? “แล้วชื่อจริงล่ะ? แล้วแซ่ของเธอคืออะไร?”
ชางจื้อเม้มปากเล็กน้อยก่อนตอบ “แม่ยังไม่ได้ตั้งชื่อจริงให้” ส่วนแซ่ ชางจื้อเองก็ไม่รู้ เพราะแม่ไม่ได้บอกไว้
แต่เขารู้ว่าเขาไม่ได้แซ่หลินเหมือนพี่ชายพี่สาวคนอื่น
เพราะอยู่ในรถแท็กซี่ หลินเจ้าเซี่ยจึงไม่ถามอะไรมาก ปล่อยให้เขาจ้องมองทิวทัศน์ภายนอก
ขณะรถแล่นผ่านซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งแต่ไม่ได้บอกให้หยุด
อาจเป็นไปได้ว่าพอกลับถึงบ้านใหม่ เด็กคนนี้จะหายกลับไปแล้วก็ได้ แม้ว่าผลตรวจจะบอกว่าเป็นสายเลือดเดียวกัน แต่มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อเกินกว่าที่หลินเจ้าเซี่ยจะยอมรับได้
หากเขากลับไปจริง ๆ ก็คงเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างที่สุด
เมื่อรถจอดที่หน้าทางเข้าหมู่บ้าน หลินเจ้าเซี่ยจึงลงจากรถแล้วอุ้มเด็กน้อยออกมา เธอรู้สึกว่าเด็กชายเกาะติดเธอแน่น มองรอบ ๆ อย่างหวาดระแวง
หลินเจ้าเซี่ยจึงจับมือเขาไว้
ชางจื้อชะงักเล็กน้อยแล้วค่อย ๆ แหงนหน้ามองเธอ ปากเล็ก ๆ ของเขายิ้มออกมานิดหน่อย
เมื่อวานหลินเจ้าเซี่ยเพิ่งย้ายเข้าบ้านใหม่ ภายในบ้านเต็มไปด้วยกล่องกระดาษและถุงเก็บของมากมายจนแทบไม่มีที่ให้เดิน
แต่เธอไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านั้นมากนัก ดึงชางจื้อไปที่ลานบ้าน
“เมื่อวานเธอปรากฏตัวอยู่ตรงนี้” หลินเจ้าเซี่ยคิดว่าลานบ้านนี้ต้องมีอะไรสักอย่างที่เชื่อมต่อโลกของเขากับที่นี่
ชางจื้อเบิกตากว้าง ที่แท้เขามาจากที่นี่งั้นหรือ?
แล้วเขามาที่นี่ได้อย่างไร?
“เธอมาที่นี่ได้ยังไง?” หลินเจ้าเซี่ยถามเขา
“บ้านของเธอมีอะไรสักอย่างเช่นประตูหรือวังวน หรือปรากฏการณ์แปลก ๆ บ้างไหม? หรือแสงอะไรบางอย่างที่ดูดเธอมาที่นี่?”
คงไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นมาลอย ๆ ใช่ไหม?
ชางจื้อมองเธอด้วยแววตางุนงง
หัวเล็ก ๆ คิดอย่างรวดเร็ว ชางจื้อมาที่นี่ได้ยังไงนะ?
เมื่อวานนี้พี่ชายเหอเจ๋อกลับบ้านมา แย่งหุ่นไม้ของเขา เขาไม่ยอมให้ พี่ชายบอกว่ายังไงเขาก็จะไม่มีโอกาสได้เล่นอีกแล้ว เพราะเขากำลังจะถูกจับไปบูชาเส้นลมปราณมังกร
เมื่อสิบแปดปีก่อน มหาปุโรหิตเคยจับเด็กชายหญิงที่อายุห้าขวบพอดี ชางจื้อเองก็อายุห้าขวบ
จากนั้นพี่ชายเหอซี่กับเหอเล่อก็พาเขาวิ่งไปที่ภูเขา วิ่งไปเรื่อย ๆ แล้วชางจื้อก็ไม่ได้มองทาง…
“เธอไม่ได้มองทาง เหยียบเข้ากับรูเลยตกลงไปแล้วก็มาถึงที่นี่?” หลินเจ้าเซี่ยฟังแล้วยังไม่ค่อยเชื่อ
ชางจื้อพยักหน้า “ชางจื้อเหยียบลงไปแล้วก็มาถึงที่นี่” เขาเหยียบพื้นพยายามอธิบายให้หลินเจ้าเซี่ยฟังว่าแค่เหยียบพลาดก็มาโผล่ที่นี่แล้ว
ที่นี่ไม่เหมือนกับที่บ้านเลย ชางจื้อรู้แล้วว่าเขายังไม่ตาย แต่ที่นี่เป็นคนละที่กับบ้านเขา
ชางจื้อก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงมาที่นี่
หลินเจ้าเซี่ยฟังแล้วงงไปหมด
ไม่มีอะไรแปลก ๆ เลยเหรอ? ไม่มีประตู? ไม่มีวังวน? แม้แต่แสงที่ดูดคนมาก็ไม่มี แค่… จู่ ๆ ก็มาที่นี่?
แบบนี้เลยเหรอ?
หลินเจ้าเซี่ยจ้องมองเขา แล้วหันไปมองลานบ้านในบ้านใหม่ของเธออีกครั้ง นี่เป็นหมู่บ้านใหม่ที่สร้างไม่นาน ไม่ใช่บ้านเก่าโบราณอะไรเลย
หรือว่าตอนที่ผู้รับเหมาขุดฐานรากจะเจออะไรสักอย่างที่เชื่อมต่อโลกอื่นเข้าหรือเปล่า?
เธอเจอเรื่องประหลาดขนาดนี้ได้ยังไงนะ?
หลินเจ้าเซี่ยจึงพาชางจื้อเดินหากลไกต่าง ๆ ในลานบ้าน เธอลองจับโน่นเคาะนี่ แม้กระทั่งดึงแผ่นกระเบื้องออกมากี่แผ่นก็ไม่พบอะไรเลย
ทั้งคู่ทรุดนั่งลงกับพื้น
ชางจื้อกลับบ้านไม่ได้แล้ว!
เมื่อรู้ว่าหาทางกลับบ้านไม่เจอ ชางจื้อน้ำตาคลอในดวงตาทันที
เด็กน้อยกลับบ้านไม่ได้!
เธอต้องเลี้ยงเด็กคนนี้แล้ว! แถมเป็นเด็กที่ทิ้งไม่ได้ด้วย หลินเจ้าเซี่ยรู้สึกอยากร้องไห้
สายตาที่มองเด็กน้อยเต็มไปด้วยความซับซ้อน
ชางจื้อทั้งหวาดกลัวและกังวล พอเห็นเธอยังจ้องเขาอยู่ เขาก็อ้าปากร้องไห้ออกมาดังลั่น “ยาย! ตา! ชางจื้ออยากเจอยาย!”
หลินเจ้าเซี่ยตกใจ
เด็กคนนี้ที่ว่านอนสอนง่ายมาตลอด ตอนนี้จู่ ๆ ร้องไห้เสียงดัง ทำเอาเธอใจสั่น
เมื่อวานตอนตื่นขึ้นมาเขาเห็นทั้งฟ้าและดินเปลี่ยนไปก็ยังไม่ร้องไห้ เจ็บตอนถูกเจาะเข็มก็แค่มีน้ำตาสองหยด เด็กที่ฉลาดและน่ารัก แต่ตอนนี้กลับร้องไห้เสียงดังขนาดนี้?
“อย่าร้องนะ อย่าร้อง…” หลินเจ้าเซี่ยปลอบเขาด้วยท่าทางเงอะงะ
ที่หมู่บ้านผู้พิทักษ์สุสานของสุสานหลวง ญาติ ๆ ของตระกูล
หลินก็กำลังปลอบย้งซื่อกันอยู่
หลินจิ้งหนิง ลูกชายคนที่สามของหลินชิวซานได้ขอให้หัวหน้าผู้คุมเว่ย ช่วยจัดทหารออกมาค้นหาทั่วภูเขารอบ ๆ สุสานหลวง แต่ก็ยังไม่พบร่องรอยของชางจื้อ
แม้แต่รูที่ชางจื้อเคยตกลงไป พวกเขาก็ขุดไปลึกหลายเมตรแล้ว แต่ก็ไม่พบทางออกอื่นในรูนั้น
“ชางจื้อของข้า… ลูกหลานของยาย…” ย้งซื่อร้องไห้จนหยุดไม่ได้
คนในครอบครัวทั้งหมด ยกเว้นหลินชิวซานกับเหอซุ่นที่ยังยุ่งอยู่กับการเตรียมพิธีบูชาในวันครีษมายันที่สุสานหลวง ต่างก็พากันออกตามหาชางจื้อ
แต่ก็ไม่พบอะไรเลย
ชาวบ้านในหมู่บ้านต่างก็มาช่วยกันค้นหาและพูดคุยกันอย่างครึกครื้น
“เด็กตัวเล็ก ๆ จะวิ่งไปได้ไกลแค่ไหนกันนะ? ในภูเขาก็ไม่มีสัตว์ป่า ทำไมถึงได้หายไปเหมือนล่องหนแบบนี้?”
“หรือจะหลงออกไปข้างนอก?”
“ภูเขารอบนี้เชื่อมต่อกันเป็นแนว ยังมีทหารผู้พิทักษ์คอยตรวจตราทางไปเมือง แล้วเขาจะวิ่งออกไปได้ยังไง?”
มันน่าแปลกจริง ๆ ที่ค้นหามาสองวันแล้วแต่กลับไม่พบร่องรอยเลย ย้งซื่อจากบ้านสกุลหลินร้องเรียกจนคอแทบแห้ง
“พวกเจ้าคิดว่าบ้านสกุลหลินแอบซ่อนชางจื้อไว้หรือเปล่า?”
ซ่อนเด็กไว้? ทำไมต้องซ่อน?
เมื่อคิดถึงข่าวลือเรื่องมหาปุโรหิตที่เข้ามาในภูเขาเมื่อสองวันที่ผ่านมา ทุกคนก็รู้สึกสะท้าน
ถึงแม้พวกเขาจะเป็นผู้พิทักษ์สุสาน หลายชั่วอายุคนที่รับใช้ราชวงศ์ หากราชวงศ์ต้องการ พวกเขาก็ยอมเสียสละได้ แต่ใครกันที่เต็มใจส่งลูกหลานไปตาย?
“เมื่อก่อน ลูกสาวคนเดียวของหลินชิวซานก็ถูกจับไปบูชาเส้นลมปราณมังกร ชางจื้อก็ถูกจดชื่อไว้ในสายตระกูลเดียวกับลูกสาวของเขา บางทีพวกเขาอาจต้องการปกป้องชางจื้อ”
บางคนพยักหน้าเห็นด้วย บางคนก็ยังไม่เชื่อ
ถ้าหากมหาปุโรหิตต้องการเด็กชายหญิงสำหรับพิธีจริง ๆ คงมีหลายคนที่กังวลใจเมื่อนึกถึงลูกหลานของตัวเอง
“ท่านเจ็ด ท่านเจ็ด!”
มหาปุโรหิตโจวกังเขย่าร่างอ่อนแรงขององค์ชายเจ็ดที่นอนเหมือนโคลนอย่างรู้สึกผิดในใจ
ท่านเจ็ดกลายเป็นแบบนี้ก็เพราะเขา
เขาทำผิดมหันต์อย่างไม่อาจให้อภัย
“ท่านเจ็ด ท่านต้องเข้มแข็ง ต้องมีชีวิตต่อไป มีชีวิตอยู่เพื่อความหวัง!”
มหาปุโรหิตค่อย ๆ ปัดเส้นผมที่ปิดใบหน้าขององค์ชายเจ็ดออก แล้วตรวจลมหายใจของเขา…เบามาก แต่ยังพอมีลมหายใจ
โจวกังถอนหายใจอย่างโล่งอก ยังมีชีวิตอยู่ มีชีวิตอยู่ก็ดีแล้ว
“ท่านเจ็ด ท่านจะปล่อยตัวเองเป็นแบบนี้ไม่ได้อีกต่อไป ท่านไม่ต้องการล้างแค้นให้กับรัชทายาทและครอบครัวเขาอีกแล้วหรือ?”
นิ้วของจ้าวกวงหยวนสั่นเล็กน้อย พี่ชายของเขา รัชทายาท!
เขาไม่ต้องการล้างแค้นให้กับครอบครัวของรัชทายาทหรือ? ไม่ เขาต้องการ
แต่เขาในตอนนี้เป็นเพียงคนไร้ค่า เขา จ้าวกวงหยวน ถูกเนรเทศให้มาพิทักษ์สุสานหลวง เท่ากับว่าเขาเป็นคนไร้ค่าไปแล้ว
(จบบท)###