บทที่ 432 ดาวรุ่งแห่งวงการธุรกิจ หลัวอี้หาง
ผู้คนรอบข้างเมื่อได้ยินก็พยักหน้าอย่างเงียบ ๆ
ในที่สุดเสี่ยจ้านหรงก็มีความคิดที่ดูสมเหตุสมผลบ้าง
หลัวอี้หางถอนหายใจในใจ
เฮ้อ ตอนแรกก็คิดจะมาแบบเงียบ ๆ ไม่อยากทำตัวโดดเด่นอะไร
แต่ก็นั่นแหละ ถูกบีบบังคับ ทุกคนกดดันให้ผมต้องโชว์เองนี่นา!
จากนั้นหลัวอี้หางยิ้มเบา ๆ
ไม่ได้ตอบคำถามของเสี่ยจ้านหรง
แต่เริ่มแนะนำตัวเอง
“ท่านผู้ใหญ่หลายท่านในที่นี้อาจจะยังไม่รู้จักผม ขออนุญาตแนะนำตัวสักหน่อย” หลัวอี้หางชี้ไปที่ตัวเอง “ผมชื่อหลัวอี้หาง เป็นคนบ้านผิงอันโกว อายุ 27 ปี”
“เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว ผมเริ่มจากการขายยอดพริกไทยทอดที่แผงลอย จากนั้นก็เช่าที่ดิน เลี้ยงกุ้ง ปลูกเห็ดและผัก จนกระทั่งเปิดบริษัททีละขั้นตอน”
“เดือนตุลาคมปีที่แล้ว ผมเริ่มทำการตลาดออนไลน์ ซึ่งก็ผ่านมาเพียง 9 เดือนเท่านั้น ยังถือเป็นมือใหม่”
“ในช่วง 9 เดือนนี้ บริษัทของผมและบริษัทในเครือ มียอดขายรวมสะสม 102 ล้านหยวน กำไร 61.17 ล้านหยวน อัตรากำไรจากยอดขายอยู่ที่ 59.5%”
“ผลประกอบการแบบนี้ใช้ได้ไหมครับ?”
(คำนวณโดยคร่าว ๆ จากยอดขายและกำไรของหลัวอี้หาง ซึ่งอาจไม่ครบถ้วน แต่ประมาณนี้)
ใช้ได้…ไหมนะ?
ตอนแรกบรรดาผู้บริหารต่างยิ้มเผล่ คิดว่าจะได้ฟังเรื่องราวการสร้างธุรกิจของหนุ่มรุ่นใหม่
แต่พอได้ยินตัวเลข
ที่ไหนได้ 9 เดือน 100 ล้าน! กำไร 60 ล้าน!
สายตาของผู้บริหารทั้งหลายแทบจะถลนออกมา
ผู้บริหารที่มีโอกาสเข้ามานั่งในห้องประชุมนี้ล้วนแล้วแต่เป็นคนมีฝีมือ มียอดขายเกินพันล้านหยวนหลายคน และบางคนมียอดขายทะลุหมื่นล้านด้วยซ้ำ
แต่ในแง่ของอัตรากำไร หากมี 6-7% ก็นับว่าดีมากแล้ว หากได้ถึง 10% ก็เดินเชิดหน้าไปได้เลย
แต่ถ้าจะทำกำไร 60 ล้าน ยอดขายต้องแตะหลักพันล้านหยวน
กำไรถึง 60% ถึงจะเป็นกำไรขั้นต้นก็ถือว่าน่ากลัวมาก
เดี๋ยวนะ มันดูไม่ค่อยสมเหตุสมผล
มีผู้บริหารคนหนึ่งเริ่มคิดได้และถามขึ้นว่า “อัตรากำไรจากยอดขาย?”
หลัวอี้หางยิ้มและตอบว่า “แน่นอนครับ ถ้าไม่นับภาษีที่ผมจ่ายไปกว่า 8 ล้านหยวน และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานกว่า 1 ล้านหยวน อัตรากำไรขั้นต้นก็สูงถึง 76% อีกทั้งผมมีพนักงานไม่ถึง 100 คน เงินเดือนที่จ่ายใน 9 เดือนอยู่ที่ 560,000 หยวน ส่วนโบนัสแจกไปแล้ว 4.47 ล้านหยวน พร้อมกับจ่ายประกันสังคมครบถ้วน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ บรรยากาศก็เงียบสนิท
---
บริษัทของหลัวอี้หางมีเงินเดือนไม่มาก แต่โบนัสสูงลิ่ว
และโบนัสกว่า 4 ล้านหยวนนี้ ส่วนใหญ่เป็นการแบ่งปันกำไรให้กับ
ซื่อเจวียน เวินอิง และหม่าจื้อเทา รองลงมาก็คือเจียงเจียงเสี้ยวอัน รวมถึงฉู่เจี่ยและเสี่ยวเจ้า
เจียงชิ่งไฉเอ๋ย เอาแต่เก็บตัวอยู่บ้านไม่ขยันทำงาน เลยตามไม่ทันแล้วสินะ
ส่วนภาษีที่จ่ายกว่า 8 ล้านหยวนนั้น จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้สอดคล้องกับกำไรนัก เนื่องจากมีการยกเว้นภาษีสำหรับผลิตภัณฑ์การเกษตร การสนับสนุนเทคโนโลยีขั้นสูง และการหักลดหย่อนจากการเพิ่มสินทรัพย์ เป็นต้น
หลัวอี้หางมีความสามารถทั้งในการหาเงินและใช้เงิน
ปีนี้เขาลงทุนไปกับโครงสร้างพื้นฐานกว่า 3 ล้านหยวน ซื้อโรงงานผลิตอาหารกว่า 8 ล้านหยวน
รวมทั้งรับภาระหนี้สิน ซื้อบริษัท Changqing Biotech อีกกว่า 1 ล้านหยวน และลงทุนในการวิจัยและพัฒนาไปกว่า 10 ล้านหยวน ในโครงการเกี่ยวกับเมล็ดถั่วหวานสูตรขนมและเชื้อรา
เมื่อรวมค่าใช้จ่ายเหล่านี้เข้าไป อัตรากำไรสุทธิก็เหลือเพียง 40% เท่านั้น
ซึ่งก็ยังถือว่าเยอะมาก
ความจริงหลัวอี้หางเองก็ไม่คิดว่าจะสามารถทำเงินได้มากขนาดนี้ เมื่อปลายปีที่แล้ว เขายังนั่งกลุ้มใจเพราะต้องผ่อนค่าเช่าที่ดินเกือบ 4 ล้านหยวนอยู่เลย
แต่ปีนี้แค่โปรเจกต์เดียวก็ทำเงินได้หลายร้อยล้านหยวนแล้ว
การเตรียมการของปีที่แล้วให้ผลออกมาเป็นผลผลิตที่งดงามในปีนี้
เมื่อได้ยินหลัวอี้หางบอกว่าจ่ายโบนัสไปกว่า 4 ล้านหยวน สีหน้าของเสี่ยจ้านหรงก็เปลี่ยนเป็นซีดเขียว
โรงงานหล่อโลหะของเขามียอดขายทะลุพันล้านตามที่บอก แต่กำไรสุทธิก็แค่ 4 ล้านหยวนเท่านั้น ทำงานเหนื่อยแทบตายมาตลอดทั้งปี ยังไม่พอแจกโบนัสของหนุ่มคนนี้เสียอีก
เสี่ยจ้านหรงมีสีหน้าหดหู่และหลบสายตา ยอมพ่ายแพ้และซุกตัวอยู่ในเก้าอี้ ไม่พูดอะไรต่อ
ผู้บริหารคนอื่น ๆ เองก็มีสีหน้าแปลก ๆ
ทั้งอิจฉา ทั้งรู้สึกเกลียด
ในเมืองเทียนฮั่น นอกจากบริษัทใหญ่ ๆ ที่ทำเหล็ก อุตสาหกรรมเคมี และการบินที่ไม่ได้มาในวันนี้ คนส่วนใหญ่ในที่นี้ทำงานมานับสิบปียังไม่เท่าหลัวอี้หางทำได้ในปีเดียว
ปลูกเห็ดปลูกผักอะไรกัน แบบนี้น่าจะปลูกทองมากกว่า
หลัวอี้หางต้องการผลลัพธ์เช่นนี้เอง
ยุคของการแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นพ้นไปแล้ว เวลาที่ควรสงบก็ควรสงบ แต่เวลาที่ต้องแสดงความสามารถก็ต้องแสดง
หลังจากที่หลัวอี้หางพูดเช่นนี้
คำพูดที่ตามมาก็ไม่ค่อยมีใครสนใจแล้ว
“กลับมาที่คณะกว่างกว่าง ผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นอย่างไรผมเองก็ไม่รู้ เพราะตามแผนแล้ว ขั้นแรกต้องมี 4 ขั้น และตอนนี้เพิ่งดำเนินการถึงขั้นที่ 2 เท่านั้น”
“แผนยังคงดำเนินต่อไป หากท่านใดสนใจก็สามารถติดตามดูได้”
คำพูดเหล่านี้ก็เท่ากับพูดลอย ๆ
เมื่อเห็นยอดเงินตั้งขนาดนั้น ใครจะกล้าตั้งข้อสงสัย
เมื่อมีท่านเลขาธิการหวังอยู่ตรงนั้น แน่นอนว่านี่ไม่ใช่การคุยโว
ท่านเลขาธิการหวังเห็นว่าทุกคนต้องใช้เวลาในการย่อยเรื่องนี้ เขาเองก็จำเป็นต้องประชุมย่อยกับผู้นำหน่วยงานต่าง ๆ
จึงประกาศพักการประชุมและจะประชุมต่อในช่วงบ่าย
--
อาหารกลางวันจัดในโรงแรม เป็นบุฟเฟ่ต์
หลัวอี้หางนั่งทานกับเจิ้งหวนเช่นเดิม
เจิ้งหวนรู้สึกแปลกใจหลังจากประชุมช่วงเช้าเสร็จ “ท่านหลัวอี้หาง วันนี้ดูรุกหนักผิดปกติ ไม่
เหมือนสไตล์ของคุณเลยนะ”
หลัวอี้หางเลิกคิ้วแล้วกระซิบตอบ “เพราะมันมีผลประโยชน์อยู่ไง”
“ผลประโยชน์อะไร?” เจิ้งหวนเองก็กระซิบถามอย่างตื่นเต้น
หลัวอี้หางยิ้มและอธิบายตรง ๆ “ทางเมืองมีแผนที่จะทำอะไรใหญ่โตในครั้งนี้ ท่องเที่ยวและวัฒนธรรมเป็นแนวทางที่ท่านเลขาธิการหวังเลือกไว้ตั้ง
แต่เข้ารับตำแหน่ง มันเกี่ยวข้องกับผลงานของท่าน เห็นไหม?”
เจิ้งหวนพยักหน้า ทุกคนก็สังเกตได้
“ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว เรื่องการประชาสัมพันธ์มีความสำคัญมาก ต้องให้ผู้คนรู้จักก่อน พวกเขาถึงจะมาได้ การประชาสัมพันธ์สามารถใช้วิธีการแบบดั้งเดิมหรือทางออนไลน์ก็ได้ ผมเองพยายามผลักดันในส่วนของออนไลน์”
เจิ้งหวนพยักหน้าอีกครั้ง ช่วงเช้าหลัวอี้หางทำเรื่องนี้อยู่
“การประชาสัมพันธ์แบบดั้งเดิมนั้นเข้าถึงตรงกลุ่มเป้าหมาย เช่น การใช้เอเจนซี่ทัวร์หรือติดตั้งป้ายโฆษณา แต่ในทางออนไลน์นั้นต่างออกไป ต้องหว่านแหกว้าง”
หลัวอี้หางอธิบายต่อ
เจิ้งหวนฟังแล้วก็ยังมีสีหน้างง ๆ
“ลองคิดดูสิ เมื่อโปรโมตไปแล้ว คนที่จะมาจริง ๆ มีเพียงส่วนน้อย ราว 10 ล้านคนรู้จัก แต่จะมาแค่ 100,000 คน ที่เหลือจะรู้สึกอยากรู้อยากเห็นไหม? จะมีบางคนอยากสัมผัสวัฒนธรรมไหม? จะหาสินค้าท้องถิ่นมาซื้อหรือเปล่า?”
เจิ้งหวนพยักหน้า แต่ยังคงแสดงท่าทีงุนงง
หลัวอี้หางจึงพูดออกมาตรง ๆ “เมื่อพวกเขามองหาสินค้าท้องถิ่นออนไลน์ คุณลองคิดดูสิว่าในห้องประชุมนี้จะมีใครเป็นผู้ขาย? ก็มีแค่คุณกับผมที่มีส่วนแบ่งตลาดออนไลน์เยอะที่สุด”
เจิ้งหวนอ้าปากค้างด้วยความตกใจ แล้วเข้าใจทันที “เท่ากับว่าเมืองช่วยลงโฆษณาให้เรา”
หลัวอี้หางยิ้มและพยักหน้า ก่อนจะเสริมว่า “นักท่องเที่ยวที่มา ก็ตกเป็นของเมือง ส่วนนักท่องเที่ยวที่มาไม่ได้ ก็กลายเป็นลูกค้าเรา อาจมีแค่ร้านเล็ก ๆ ที่ได้ประโยชน์จากน้ำซุปบ้าง นี่แหละการแบ่งงานกัน ผมจะไม่ตั้งใจได้ยังไง แม้จะต้องลงทุนเพิ่มนิดหน่อยก็ยอม”
“ท่านเจิ้ง พูดคุยกันส่วนตัวนะครับ ผมเริ่มเพิ่มกำลังผลิตและเตรียมสต๊อกสินค้าแล้ว…”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เจิ้งหวนรีบพูดทันทีโดยไม่ลังเล “งั้นผมเองก็จะกลับไปเพิ่มสต๊อก เปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ ปรับปรุงสินค้าใหม่ สูตรที่เพิ่งได้มาก็ไม่เก็บไว้แล้ว จะเริ่มใช้ทันที”
(จบบท)