บทที่ 43 คำเชิญ
เมื่อเข้ามาในมหาวิทยาลัยเทียนหนานโยวกวงก็เริ่มใช้วิชาสัมผัสทันที เพื่อค้นหาสิ่งผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น
สถานที่ซึ่งมีคนหนาแน่นเช่นนี้ตามหลักการแล้วควรจะมีปีศาจซ่อนอยู่บ้างแต่…
เขาเดินสำรวจทั่วแล้วก็ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ
“คุณโยวกวง เชิญทางนี้ค่ะ”
เหลยหยุนกล่าวพร้อมอธิบาย
“เพราะคุณบอกไว้ว่าไม่ต้องการให้เป็นที่สนใจ ฉันเลยไม่ได้แจ้งใครเลย”
โยวกวงพยักหน้าและตามเหลยหยุนไปยังสถานที่จัดการแข่งขันหุ่นยนต์ซึ่งตั้งอยู่ในสนามหลักของมหาวิทยาลัย การแข่งขันครั้งนี้ถือว่ามหาวิทยาลัยให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก จึงมีนักศึกษาหลายคนให้ความสนใจอย่างล้นหลาม
โยวกวงเดินไปตามฝูงชน จนมาถึงบริเวณนอกสนามการแข่งขัน เขามองไปที่ที่นั่งของคณะกรรมการ แต่ยังไม่เห็นหัวหน้าสำนักงานจื่อปรากฏตัว
“รถของท่านจื่อมาถึงแล้วค่ะ แต่ท่านยังคงอยู่ในอาคารเลยยังไม่ออกมา”
เหลยหยุนอธิบาย
ในขณะที่เธอกำลังพูด ก็มีชายวัยกลางคนหลายคนที่แต่งตัวดูภูมิฐานเดินตรงไปยังที่นั่งคณะกรรมการท่ามกลางกลุ่มคน โยวกวงจำท่านจื่อได้ทันทีจากวิดีโอที่เคยดูมาก่อนหน้านี้
แต่เมื่อเขาลองใช้สัมผัสพิจารณาให้ละเอียด…
กลับไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆในตัวชายชราเลย
“ไม่ใช่เขาหรือ?”
โยวกวงคิดในใจ
เขาเดินไปตามฝูงชนจนมาหยุดอยู่ใกล้กับที่ที่ท่านจื่อนั่ง ใช้ความสามารถสัมผัสขั้นสูงของเขาสังเกตเห็นรายละเอียดพลังภายในและพลังชีวิตของอีกฝ่ายอย่างถี่ถ้วน
ผลคือ…
ท่านจื่อเป็นเพียงชายชราอายุหกสิบกว่าที่มีสุขภาพเสื่อมถอย คาดว่าคงใกล้เกษียณในอีกหนึ่งถึงสองปี อีกทั้งยังมีภาวะพลังชีวิตต่ำและปัญหาด้านระบบหัวใจ
เมื่อพิจารณาอย่างละเอียด โยวกวงก็ละสายตาออกมาและพูดขึ้นว่า
“กลับกันเถอะ”
เหลยหยุนไม่เข้าใจความหมายแต่ก็เชื่อฟังเดินตามไปเพื่อไปเอารถ
ซูชี้หมิงได้จัดเตรียมรถให้โยวกวงถึงสามคัน ทั้งรถ SUV รถซีดานและรถสปอร์ต สำหรับการมามหาวิทยาลัยที่มีหนุ่มสาวพลุกพล่านแบบนี้เหลยหยุนเลือกใช้รถ SUV ซึ่งแน่นอนว่าเป็นรถที่ซูชี้หมิงจัดมาให้จึงมีมูลค่ามากกว่า 3 ล้านหยวน
ทันทีที่เหลยหยุนกดกุญแจเพื่อปลดล็อกรถ โยวกวงก็สังเกตเห็นกลุ่มหนึ่งที่เดินเข้ามาใกล้ เป็นจางหงกับจางหรูเฟิงที่เคยติดตามเขามาก่อนหน้า รวมถึงชายวัยกลางคนอีกคนที่เดินมาพร้อมกัน
สายตาของโยวกวงหันไปมองชายวัยกลางคนคนนี้ในทันที
พลังของเขา…
แปลกมาก
ราวกับเป็นเปลวไฟที่เผาผลาญอย่างร้อนแรง ทำให้ร่างกายของเขาอยู่ในสภาวะที่สูงสุดตลอดเวลา
มันคล้ายกับการใช้วิชาจุดดวงดาวของโยวกวง ซึ่งสามารถกระตุ้นพลังชีวิตให้ทะลุขีดจำกัดไปได้ แม้สองอย่างจะมีแก่นแท้ที่ต่างกัน แต่ต่างก็ทำให้ร่างกายแข็งแกร่งเกินระดับปกติ แต่ร่างกายมนุษย์มีขีดจำกัดที่ไม่สามารถฝืนได้ หากยังรักษาสภาวะเช่นนี้ไว้ต่อไปจะถือว่าเป็นการผลาญพลังชีวิต ทำให้ชายวัยกลางคนคนนี้อาจจะมีชีวิตอยู่ได้อีกแค่สิบปีเป็นอย่างมาก หากต้องเผชิญการต่อสู้หรือใช้พลังอยู่บ่อยๆเวลาก็จะลดน้อยลงไปอีก
ขณะที่โยวกวงพิจารณาชายวัยกลางคนคนนั้น อีกฝ่ายก็เดินมาหยุดตรงหน้าเขา
“ซูโยวกวง”
เหลยหยุนที่อยู่ข้างๆสีหน้าเปลี่ยนทันทีที่เห็นอีกฝ่าย
“จางเทียนจี!?”
จางเทียนจี!
ปรมาจารย์ของตระกูลจาง
เขาถูกตระกูลจางขับไล่ออกจากบ้านตั้งแต่ยังหนุ่มเพราะความดื้อรั้น ทว่าหลังจากสำเร็จวิชาจนกลายเป็นปรมาจารย์ก็ถูกตระกูลจางเชิญกลับไปและให้กลับมาใช้แซ่เดิม
“ปรมาจารย์งั้นเหรอ?”
โยวกวงพิจารณาจางเทียนจีและตรวจสอบให้ละเอียดอีกครั้ง
ในสภาวะเช่นนี้จางเทียนจีมีพลังที่เทียบเท่ากับปรมาจารย์ทั่วไปและยังแข็งแกร่งกว่าปรมาจารย์ทั่วไปด้วยซ้ำ
ไม่เพียงแต่คนทั่วไป แม้แต่ปรมาจารย์คนอื่นๆเมื่อสัมผัสถึงพลังอันรุนแรงจากตัวเขาก็จะยกให้เป็นผู้แข็งแกร่งในระดับเดียวกัน แต่พลังระดับปรมาจารย์นี้…
กลับเป็นพลังที่ต้องแลกมาด้วยชีวิตหรือ?
“ไม่เลวนี่”
จางเทียนจีมองโยวกวงที่ยืนรับมือกับเขาอย่างสงบไม่สะทกสะท้าน จึงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “หากเดาไม่ผิด วิถีแห่งนักสู้ของนายไปถึงระดับปรมาจารย์ขั้นสูงแล้วใช่ไหม?”
แม้จะดูเหมือนถาม แต่เขาก็มั่นใจในคำตอบ
“จางหงเล่าว่านายใช้วิชาลึกลับทำให้คู่ต่อสู้รู้สึกสับสนและปวดหัว เขาอาจมองแค่ว่านายแข็งแกร่ง แต่ฉันรู้ว่าการจะใช้วิชาได้แบบนี้ต้องมีพื้นฐานมากขนาดไหน”
จางเทียนจีพูดอย่างมั่นใจและกล่าวต่อว่า
“อีกทั้งพอกลับมาตระกูลซู ซูชี้หมิงก็ให้ความสำคัญกับนายทันที ให้ีเลือกที่พักในวิลล่าของเขาและให้นายดูแลฝ่ายต่างประเทศด้วย ลักษณะทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่านายอายุเพียงสิบเก้า แต่ก็บรรลุขั้นปรมาจารย์ขั้นสูงได้แล้ว”
เขากล่าวอย่างนับถือ
“ซูชี้หมิงถือว่าเตรียมตัวปั้นนายให้เป็นปรมาจารย์ขั้นสูงสุดในอนาคต”
เหลยหยุนฟังคำพูดของจางเทียนจี แม้จะประหลาดใจในความสามารถด้านการข่าวของตระกูลจางแต่ก็ไม่คิดว่าเป็นเรื่องแปลก เพราะข้อมูลหลายอย่างก็ยากจะปิดบัง
โยวกวงเพียงมองเขานิ่งๆและพูดขึ้น
“ตกลงว่าคุณต้องการอะไรกันแน่?”
“ใจเย็นเหลือเกินนะ”
จางเทียนจียกย่อง
“หนุ่มๆแบบนายนี่หายากแล้วที่สามารถรักษาความสงบได้แบบนี้ สมแล้วที่เป็นบุคคลผู้มีพรสวรรค์รุ่นใหม่”
จบคำเขาก็ยื่นมือออกมาเชิญชวน
"ฉันและแม่ของนาย ถึงจะไม่ใช่พี่น้องกันทางสายเลือด แต่เราก็สนิทกันมาตั้งแต่เด็ก เหตุผลที่ฉันออกจากตระกูลจาง ก็เพราะไม่พอใจที่ตระกูลจางไม่สนใจเมื่อซูไหวเฟิงข่มเหงจางหยา ตอนนี้ฉันกลับมาแล้วจะไม่มีใครกล้ารังแกนายได้อีกต่อไป”
เขายื่นข้อเสนอ
"กลับมาเถอะ ฉันไม่คิดจะแต่งงานหรือมีลูก นายซึ่งเป็นลูกของจางหยาก็ถือเสมือนลูกของฉันเหมือนกัน"
โยวกวงจ้องมองเขา
ที่จางเทียนจีไม่ได้มีลูกนั้นไม่ใช่เพราะไม่อยากมี
แต่เป็นเพราะ...
คงมีไม่ได้มากกว่า
แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
“ผมไม่สนใจ”
โยวกวงหันไปหาเหลยหยุนแล้วพูดว่า
“ไปกันเถอะ”
เขาหันกลับเดินไปที่รถทันที
“โยวกวง”
จางเทียนจีเรียกอีกครั้ง
“นายอยากจะเป็นปรมาจารย์ขั้นสูงสุดให้ได้ไวๆไหม?”
เขาพูดเสียงทุ้ม
“ถ้านายยอมกลับมาตระกูลจาง ฉันจะมอบคะแนนสะสมที่ฉันสั่งสมมาทั้งหมดให้นาย เพื่อให้นายได้รับโอกาสข้ามไปยังระดับปรมาจารย์ขั้นสูงสุดได้!”
“เป็นปรมาจารย์แบบคุณน่ะหรือ?”
โยวกวงมองเขาและส่ายหน้า
จางเทียนจีตะลึงไปชั่วครู่ก่อนสายตาจะหรี่ลงเล็กน้อย
“นายรู้อะไรบางอย่างงั้นเหรอ?”
“ยังไม่ชัดเจนพอเหรอ?”
“มองออกด้วย?”
จางเทียนจีพิจารณาโยวกวง นึกถึงบางสิ่งและเกิดความสงสัยขึ้นทันที
ถัดมาเขาก็หมุนเวียนพลังชีวิตภายในโดยปล่อยให้มันไหลเวียนในร่างกาย
ทันใดนั้นสายตาของโยวกวงก็เผลอมองไปตามเส้นทางที่พลังของจางเทียนจีไหลเวียน
สิ่งนี้ทำให้จางเทียนจีตะลึงและเขาถึงกับร้องขึ้นด้วยความตกใจ
“นี่คือพรสวรรค์โดยกำเนิดเหรอ?”
โยวกวงหันกลับไปทางจางเทียนจีด้วยความสงบแล้วก็เตรียมเดินจากไป
แต่จางเทียนจีซึ่งตื่นเต้นอย่างมากก็รีบขวางไว้
“โยวกวง! นายคืออัจฉริยะที่หาได้ยาก นี่เองที่ทำให้นายบรรลุเป็นปรมาจารย์ได้ในเวลาสั้นๆนายอาจเป็นนักสู้ที่มีโอกาสสูงสุดจะไปถึงพลังขั้นสูงสุดแห่งยุค!”
เขาพูดอย่างจริงจัง
“ไม่ว่ากรณีใด การเข้าร่วมกับเราจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของนาย!”
โยวกวงครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนเอ่ยถาม
“หรือว่า...องค์กรของพวกคุณมีเทคนิคกลั่นพลังบางอย่างอยู่?”
“หือ”
จางเทียนจีแสดงท่าทีตกใจ
"มีคนติดต่อแล้ว?"
แต่ก็แสดงความเข้าใจในทันที
“แม้นายจะมีพรสวรรค์ แต่ถ้าไม่มีผู้เชี่ยวชาญช่วยฝึกฝน คงยากที่จะบรรลุได้เร็วขนาดนี้ เป็นใครกัน เซี่ยอู่เยวียนหรือเฟิงตง?”
“เซี่ยอู่เยวียน?”
โยวกวงคิดว่าองค์กรของจางเทียนจีมีเทคโนโลยีคล้ายการกลั่นเลือดแห่งเทพและคิดจะเข้าไปร่วมเพื่อค้นหาตัวการทั้งหมด แต่มาได้ยินชื่อ เซี่ยอู่เยวียน จึงรู้ว่าอาจไม่ใช่
“ก่อนเข้าร่วมตระกูลหรือองค์กรของพวกคุณ ผมต้องรู้รายละเอียดเกี่ยวกับองค์กรก่อน”
โยวกวงกล่าว
“องค์กรของเรานั้น…”
จางเทียนจีลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบเสียงหนักแน่น
“ชื่อสมาคมแห่งการเยียวยา”
เขามองโยวกวง
“เชื่อเถอะว่าหากนายร่วมกับเรา นายจะไม่เสียใจแน่”
จางเทียนจีพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“การร่วมกับเราจะไม่ทำให้พรสวรรค์ของนายถูกทิ้งไว้โดยไร้ค่า หากฝึกฝนกับเรา นายจะมีโอกาสถึงขั้นสูงสุดแห่งวิถีแห่งนักสู้และอาจจะก้าวสู่ระดับพลังจิตขั้นสูงสุดได้!”
“คุณต้องบอกให้ผมเข้าใจสมาคมนี้ก่อน”
โยวกวงกล่าว
“จะมีคนติดต่อนายและอธิบายเกี่ยวกับสมาคมนี้อย่างละเอียด”
จางเทียนจีตอบ
เขาไม่ลืมหน้าที่ของตัวเอง
“หากนายเข้ารว่ม ฉันยินดีทำทุกอย่างตามที่นายต้องการ แม้แต่ตระกูลจางฉันก็พร้อมมอบให้นาย”
เหลยหยุนมองจางเทียนจี นับตั้งแต่จางเทียนจีกลับมาสู่ตระกูล จางเทียนจีก็ถือเป็นแกนหลักสำคัญที่ช่วยให้ตระกูลจางพัฒนาอย่างรวดเร็ว คำพูดที่เขาให้สัญญานั้นไม่ใช่คำพูดลอยๆ
“เอาล่ะ เรามาทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้ก่อนค่อยตัดสินใจ”
โยวกวงพยักหน้า ก่อนเดินจากไป
(จบบท)