บทที่ 4 จิตสำนึกมันเจ็บปวด
เช้าตรู่ หลินเจ้าเซี่ยตื่นขึ้นเพราะเสียงเอะอะรอบข้าง
พอเธอลืมตาขึ้นก็ต้องตกใจเมื่อเห็นหัวเล็ก ๆ อยู่ตรงหน้า โอ้ แม่เจ้า!
นึกว่าเมื่อวานเป็นเพียงแค่ความฝันเสียอีก แต่ที่ไหนได้ ไม่ใช่ฝัน
“ตื่นแล้วหรือ?”
ชางจื้อมองเธอด้วยดวงตากลมโต ก่อนจะพยักหน้าและเอาหัวมุดผ้าห่มซ่อนหน้า
ตอนเช้าชางจือตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของเธอ รู้สึกเขินเล็กน้อย
กลิ่นเหมือนกลิ่นของแม่เลย
หลินเจ้าเซี่ยนึกว่าเขายังง่วงอยู่ จึงไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก เธอลุกจากเตียงไปล้างหน้าแปรงฟันอย่างง่าย ๆ พอเห็นว่าเป็นเวลาแปดโมงกว่า คิดว่าหมอน่าจะมาตรวจร่างกายเร็ว ๆ นี้
และไม่นานนัก คุณหมอกับพยาบาลสองสามคนก็เดินเข้ามาในห้อง
พวกเขาดูประวัติที่แขวนอยู่ปลายเตียงแล้วตรวจอาการของชางจื้อ เมื่อหลินเจ้าเซี่ยถามถึงการออกจากโรงพยาบาล หมอคนหนึ่งบอกว่าให้รอให้น้ำเกลือหมดอีกสองขวดในช่วงเช้า แล้วจะออกได้
หลินเจ้าเซี่ยได้ยินแล้วก็โล่งใจขึ้นมาก
เธอหันไปมองชางจื้อที่กำลังจ้องคุณหมอกับพยาบาลในชุดกาวน์ขาวไม่วางตา เธอยิ้ม เด็กคนนี้อยากรู้อยากเห็นกับทุกสิ่ง สามารถมองแม้แต่กำแพงขาวได้ครึ่งวัน
หลังจากตรวจเสร็จ พยาบาลก็นำรถพยาบาลเข้ามาเพื่อเตรียมให้น้ำเกลือชางจื้อ
หลินเจ้าเซี่ยกลัวว่าชางจื้อจะตกใจ จึงรีบเข้าไปจับมือเขาไว้
เมื่อวานหลังจากให้น้ำเกลือเสร็จ เธอขอให้ถอดสายน้ำเกลือออก ตอนที่ชางจื้อโดนแทงเข็มนั้นเขากำลังหมดสติ พอตื่นมาก็เสร็จหมดแล้ว
ชางจื้อไม่เข้าใจและหันไปส่ายหน้าให้หลินเจ้าเซี่ย แสดงออกว่าเขาไม่กลัว
พยาบาลจึงชมเขา เด็กคนนี้ตกลงมาจากเวทีในชุดแสดง แถมนิสัยก็น่ารักน่าเอ็นดู
ชางจื้อกำลังจ้องมองหมวกพยาบาลอยู่ เขากระตุกทันทีเมื่อเข็มแทงลงที่มือ กลัวจนตัวหดลงเล็กน้อย
“ไม่ต้องกลัวนะคะ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว” พยาบาลปลอบเขา
เธอรีบใช้เทปปิดเข็มให้แน่นหนา กดเข็มลงในสายยาง ปรับระดับน้ำเกลือเสร็จก็เดินออกไป
หลินเจ้าเซี่ยปล่อยมือจากเขา
เมื่อหันไปดู ก็เห็นเด็กน้อยที่ทำหน้าจะร้องไห้ไม่ร้องไห้ น้ำตาเกาะอยู่บนขนตา แค่กระพริบเบา ๆ สองหยดก็หล่นลงมา
เธออดขำไม่ได้ แต่ก็พยายามกลั้นไว้
ชางจื้อเม้มปากและเงยหน้ามองเธอ
หลินเจ้าเซี่ยพูดปลอบโยนเสียงนุ่มนวล “คุณหมอบอกว่าเดี๋ยวให้น้ำเกลือเสร็จสองขวด เราก็จะได้กลับบ้านแล้วนะ”
“ชางจื้อไม่ได้ป่วย” เด็กน้อยดูดื้อดึงไม่น้อย
“ชางจื้อพูดไปก็เท่านั้น ต้องฟังคุณหมอ เดี๋ยวก็เสร็จแล้วนะ”
หลินเจ้าเซี่ยกดมือที่เขาจะขยับไว้ “มือข้างนี้ห้ามขยับนะ ไม่อย่างนั้นเลือดจะไหล”
ชางจื้อจึงเชื่อฟังและนิ่งอยู่เฉย จ้องเข็มที่มือข้างที่โดนแทง เขามองดูที่มือข้างนั้นสลับกับถุงน้ำเกลือบนน้ำเกลือบนนั้นอยู่ตลอด
จ้องน้ำเกลือที่หยดทีละหยดได้เป็นครึ่งค่อนวัน
หนึ่งชั่วโมงกว่าต่อมา น้ำเกลือสองขวดก็หมด หลินเจ้าเซี่ยคิดว่าต้องไปรับรายงานผลการตรวจ จึงยังไม่ได้รีบทำเรื่องออกจากโรงพยาบาล
เมื่อเห็นเด็กน้อยกำลังถือสำลีค้างไว้ที่จุดแทงเข็มอย่างเรียบร้อย เธอจึงบอกให้เขาอยู่ในห้องรออย่างว่าง่าย ก่อนจะหันหลังออกไป
ชางจื้อมองตามเธอจนกระทั่งเธอหายไป
เธอจะกลับมาใช่ไหม? กระเป๋าของเธอยังอยู่กับเขา เด็กน้อยค่อย ๆ ถอนหายใจอย่างโล่งใจ
เขาเหลียวซ้ายแลขวาด้วยความกลัว แล้วก้มมองมือตัวเองตรงที่เพิ่งถูกแทงเข็ม หมอบอกว่าชางจื้อป่วย แต่ก็ไม่ได้ให้ชางจื้อดื่มยาขม ๆ แค่แทงเข็มที่เจ็บเหลือเกิน
ช่วงสองวันที่ผ่านมาในหัวของชางจื้อเต็มไปด้วยเรื่องมากมาย เขาคิดถึงบ้าน คิดถึงตาและยาย
ชางจื้อรู้สึกกลัว
เขาสูดจมูกแล้วมองไปที่ประตูด้วยความหวังว่าจะเห็นหลินเจ้าเซี่ยกลับเข้ามา
หลินเจ้าเซี่ยเดินไปที่แผนกตรวจ เธอเห็นว่าผลการตรวจยังไม่ออก จึงทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้ในโถงอย่างหมดเรี่ยวแรง
หลินเยียนหรานต้องใช้รายงานปลอมหลอกเธอแน่ ๆ ใช่ไหม?
จะมีลูกที่เป็นเด็กจากสมัยโบราณเป็นของตัวเองได้ยังไง! แถมบอกว่าเป็นลูกแท้ ๆ อีกต่างหาก!
ฝันไปหรือเปล่านะว่าเคยข้ามเวลาไปคลอดลูก?
หลินเจ้าเซี่ยรู้สึกเหลวไหลสุด ๆ
รอทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลเสร็จ เธอก็จะพาเด็กไปส่งที่สถานีตำรวจ บางทีอาจได้เป็นเคสวิจัยชั้นดีเลยก็ได้
บางทีอาจได้รางวัลชมเชยด้วย และพอได้ลงบันทึกในสำนักที่มีตราราชการรัฐ วันหลังเธอก็จะได้อุ่นใจว่า “มีคนของเราอยู่ที่นั่นแล้ว”
หลินเจ้าเซี่ยคิดอย่างสบายใจ
เด็กน้อยทั้งน่ารักและว่านอนสอนง่าย วันหลังเธอจะมาเยี่ยมเขาบ่อย ๆ อย่างน้อยก็เคยมีวาสนากัน
เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเลื่อนดูด้วยอารมณ์สบายใจ
จนกระทั่งเห็นผลตรวจ...
บ้าเอ๊ย!
เวรเอ๊ย!
ดวงตาหลินเจ้าเซี่ยแทบจะถลนออกมา ทำไมถึงเป็นลูกแท้ ๆ จริง ๆ!
ในห้องผู้ป่วย
“ผู้ปกครองหนูอยู่ไหนคะ ทำไมมาคนเดียว?” คนไข้และญาติคนอื่น ๆ เห็นชางจื้อน่ารักจึงพากันเข้ามาเล่นกับเขา
หนูน้อยคนนี้หน้าตาน่ารักมาก แถมยังเรียบร้อยเชื่อฟัง แต่ดูเหมือนพ่อแม่จะชิลเกินไปหน่อย ปล่อยให้เด็กเล็ก ๆ อยู่คนเดียวแบบนี้ได้ยังไง
ชางจื้อมองคนนั้นทีคนนี้ที เม้มปากแน่นไม่พูดอะไร
มือเล็ก ๆ ใต้ผ้าห่มกำแน่น จนกระทั่งเห็นหลินเจ้าเซี่ยเดินกลับเข้ามา เขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
เธอกลับมาแล้ว เธอไม่ได้ทิ้งชางจื้อไป
ชางจื้อรู้สึกกลัว
หลินเจ้าเซี่ยเดินเข้าไปใกล้เขา สีหน้าดูลำบากใจ
ไม่รู้จะทำยังไงกับเด็กคนนี้ดี
เมื่อครู่เธอยังคิดจะทำเรื่องดี ๆ ให้จบ พาเขาไปหาที่ที่เหมาะสมและปลอดภัยสำหรับเขา
แต่ผลกลับออกมาเป็นแบบนี้
จะส่งเขา
ไปสถานีตำรวจก็คงไม่ได้แล้ว
จิตใจจะปวดร้าวเกินไป
ภูเขาเทียนโซ่ว หน้าพระตำหนักหลวงสุสานหลวง
มหาปุโรหิตโจวกังมองดูองค์ชายเจ็ดที่นอนกองอยู่ท่ามกลางกองขวดเหล้าราวกับคนไร้สภาพ ในใจของเขาก็ปวดร้าวราวกับมีดกรีด
จิตใจเขาก็ปวดร้าว รู้สึกผิดและเสียใจดั่งคลื่นใหญ่โหมกระหน่ำ
เขาคิดผิดไปแล้วผิดไปอย่างมหันต์
พอหันกลับมาก็เห็นว่าข้ารับใช้ทั้งหลายยืนกันอยู่รอบลาน ไม่มีใครเข้าไปดูแลองค์ชาย เขาก็โกรธจนด่ากราดว่า “ไม่มีใครมีชีวิตอยู่หรือไง องค์ชายเจ็ดถ้าเป็นอะไรไป ข้าจะรายงานฝ่าบาท แล้วลงโทษพวกเจ้าทั้งหมด!”
โทษหรือ? มีอะไรจะแย่ไปกว่าการถูกส่งมาทำงานในสุสานหลวงอีกหรือ?
พวกข้ารับใช้พากันทรุดลงนั่งคุกเข่า “มหาปุโรหิต ช่วยกราบทูลฝ่าบาทให้พวกหม่อมฉันกลับเข้าไปในวังเถิด อยากให้ทำอะไรก็ได้!”
จะให้ไปทำไร่ในไร่ของวังยังดีกว่าอยู่เฝ้ากองสุสานนี้เสียอีก
“พวกเจ้า พวกเจ้า!”
โจวกังโมโหจนหน้าเขียว ตัวสั่นชี้นิ้วไปที่พวกเขาแต่ทำอะไรไม่ได้
ทางอีกด้าน บ้านของหลินชิวซานในหมู่บ้านฉางหลิงต่างก็ร้อนรนเพราะการมาถึงของมหาปุโรหิต
ในภูเขาเทียนโซ่วมีสุสานหลวงนับสิบแห่ง นอกจากสุสานของจักรพรรดิและจักรพรรดินีแล้ว รอบ ๆ ยังเต็มไปด้วยเนินสุสานน้อยใหญ่ของพระสนม องค์ชาย องค์หญิง และขุนนางที่ได้รับพระราชทานฝังเคียงข้าง
สุสานเหล่านี้ล้วนมีผู้คอยดูแล
ผู้ดูแลอาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่อยู่รอบสุสานเรียกว่า ‘หลิงหู่’ (陵戶) ที่ต้องดูแลสุสานของราชวงศ์และสุสานของขุนนางเป็นเวลาหลายชั่วอายุคน
หลินชิวซานแต่เดิมดูแลสุสานขุนนางก่อตั้งแผ่นดิน ต่อมาเพราะมีผลงานของลูกสาว หลายปีก่อนครอบครัวเขาได้ถูกย้ายมาดูแลสุสานจักรพรรดิองค์ก่อนคือสุสานฉางหลิง
“อะไรนะ มหาปุโรหิตมาเยือนสุสานฉางหลิง?”
หลินชิวซานกำลังเตรียมของสำหรับการสักการะในอีกสองวันข้างหน้า หลานชายคนโต เหอเล่อ วิ่งมาหาเขาแล้วบอกข่าวใหญ่ข้างหู
“อย่าตื่นตระหนก”
หลินชิวซานปากพูดปลอบหลาน แต่หัวใจกลับเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ
อีกสองวันก็จะมีพิธีใหญ่ มหาปุโรหิตจะมาวันนี้ทำไม?
เขาย่อมไม่ได้มาร่วมพิธีแน่
หลินชิวซานสั่นไปทั้งตัวด้วยความหวาดกลัว หลาน ๆ หลายคนของเขาอายุเหมาะสมพอดี เหอเล่อหลานชายคนโตก็เพิ่งจะสิบสองปี ยังถูกจัดเป็นหนึ่งในเด็กชายที่บริสุทธิ์ได้อีกด้วย
ขาของหลินชิวซานอ่อนแรงจนทรุดลงไปกับพื้น
(จบบท)