บทที่ 122: ให้เสิ่นจวินเฉาขึ้นเขา
“ฮ่า ๆๆ ดูเหมือนว่าหรงเฟยจะระวังตัวมากกว่าที่คิด” ขันทีหนุ่มหัวเราะ ก่อนจะโค้งคำนับและเดินออกจากประตูไปด้วยท่าทีนอบน้อม “ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยขอตัวลา”
“ในอีก 3 วันข้าน้อยจะกลับมาอีกครั้ง”
“เมื่อถึงเวลา หรงเฟยคงจะสามารถตอบข้าน้อยได้ว่าท่านต้องการร่วมมือกับข้าน้อยหรือไม่”
หลังจากขันทีหนุ่มกล่าวจบ เขาก็หันหลังเดินออกไป
ทางด้านหรงเฟยมองดูแผ่นหลังของขันทีแล้วรู้สึกว่าคนผู้นี้ดูคุ้นตามากราวกับว่านางเคยเห็นเขาที่ไหนสักแห่ง
แต่พอเค้นสมองคิดอยู่นานนางก็นึกไม่ออก
หญิงสาวขมวดคิ้วในขณะที่รู้สึกลังเลเล็กน้อยเมื่อนึกถึงสิ่งที่ขันทีหนุ่มพูดเมื่อสักครู่
“หรงเฟย หมอหลวงฉินมาแล้วเพคะ” เสียงของนางกำนัลดังขึ้นจากด้านนอก หญิงสาวจึงรีบปรับสีหน้าของตัวเองให้สงบนิ่งดังเดิมก่อนจะอนุญาตให้นางกำนัลพาหมอหลวงเข้ามา
หลังจากผู้เป็นหมอตรวจแล้วก็พบว่าขาของหรงเฟยไม่มีอะไรร้ายแรง แต่นางก็ขออนุญาตไทเฮาพักผ่อนเป็นเวลา 2 วันเนื่องจากอาการบาดเจ็บที่ขา
ซึ่งไทเฮาก็ทรงอนุญาตโดยที่ไม่ต้องคิดซ้ำ
หลังจากที่ไม่มีหรงเฟยเข้ามาคอยเหน็บแนม การสวดมนต์ของมู่ไป๋ไป่ก็เป็นไปอย่างราบรื่น
แล้ววันเวลาก็ผ่านไป 3 วัน ยามนี้คนตัวเล็กเริ่มรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย
ตามแผนก่อนหน้านี้ของเธอ เธอจะต้องลงจากภูเขาเพื่อไปขายผลเพลิงสีชาด ดังนั้นเธอจึงสั่งให้จื่อเฟิงแอบลงจากภูเขาไปเพื่อแลกเปลี่ยนตามเวลาที่ตกลงกับเสิ่นจวินเฉาเอาไว้
ปัจจุบันก็ผ่านไปกว่า 3 วันแล้ว เธอสังเกตเห็นว่าผลเพลิงสีชาดเริ่มจะเหี่ยวเฉา ในเมื่อเป็นเช่นนี้เธอจึงไม่สามารถทนเฉยได้อีกต่อไป
เพราะฉะนั้นหลังจากรับประทานมื้อกลางวันเสร็จ เธอก็เรียกหลัวเซียวเซียวกับจื่อเฟิงไปที่เรือนด้านหลังวัดฮู่กั๋วเพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้
“ทำไมเราไม่บอกหว่านผินไปตามตรงว่าเราจะลงจากเขาล่ะเพคะ?” หลัวเซียวเซียวถามพลางเกาหัว “หว่านผินเป็นคนคุยง่าย ตราบใดที่พระสนมรู้ว่าเราจะลงจากเขาไปเพื่ออะไร พระสนมย่อมเห็นด้วยอย่างแน่นอน”
“ไม่ได้!” มู่ไป๋ไป่ส่ายหัวปฏิเสธทันควัน “ท่านแม่ไม่ใช่คนที่คุยด้วยง่ายขนาดนั้น ถ้านางรู้ว่าข้าแอบทำการค้าขายลับหลังนาง นางจะต้องเป็นกังวลแน่นอน”
“บางทีนางอาจจะขอตามเราลงจากเขาไปด้วยซ้ำ”
หลัวเซียวเซียวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่ามันจะเป็นอย่างที่องค์หญิงหกคิดจริง ๆ “แล้วอย่างนี้เราควรทำอย่างไรกันดีเพคะ?”
“จื่อเฟิง ท่านล่ะ มีความคิดเห็นดี ๆ บ้างหรือไม่?” มู่ไป๋ไป่คิดอะไรไม่ออก ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจหันไปถามเด็กหนุ่มที่ยังคงเคี้ยวข้าวโพดอยู่
“หา?” จื่อเฟิงเงยหน้าขึ้นมองคนตัวเล็ก ทุกวันนี้ภายใต้การดูแลของหลัวเซียวเซียว เขาสามารถพูดได้คล่องแคล่วขึ้น แต่บางครั้งเขาก็ยังไม่สามารถอธิบายสิ่งที่คิดออกมาได้อย่างชัดเจน “ในเมื่อเราลงจากเขาไม่ได้… ก็ให้เสิ่นจวินเฉาขึ้นมาบนเขาแทน”
“...” มู่ไป๋ไป่พูดอะไรไม่ออกยามที่เห็นสีหน้าว่างเปล่าของอีกฝ่ายตอนเสนอความคิดออกมา
“อย่างไรก็เถอะ มันถือว่าเป็นการแก้ไขสิ่งของ แจ๊บ ๆ” จื่อเฟิงแทะข้าวโพดเคี้ยวตุ้ย ๆ ก่อนจะถามว่า “มันก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ?”
“เจ้าคนโง่” หลัวเซียวเซียวทุบไหล่เด็กหนุ่ม “ในเวลานี้ ไม่มีใครในเมืองหลวงรู้ว่าไทเฮากับองค์หญิงหกเสด็จมาสวดมนต์อยู่ที่วัดฮู่กั๋ว”
“ถ้าคุณชายเสิ่นมารับของเองที่วัด นั่นไม่ต่างจากการเปิดเผยตัวตนขององค์หญิงหกหรอกหรือ?”
จื่อเฟิงทำหน้าไม่เข้าใจในขณะที่ถามว่า “นี่… เป็นเรื่องที่บอกใครไม่ได้หรือ?”
“...” หลัวเซียวเซียวถึงกับพูดไม่ออกเช่นกัน
“ช้าก่อน คำพูดของจื่อเฟิงก็ไม่ถึงกับไม่มีเหตุผลเลย” มู่ไป๋ไป่ปรบมือ “ระยะทางจากวัดฮู่กั๋วไปยังเมืองหลวงนั้นต้องใช้เวลาพอสมควร มันเป็นเรื่องยากที่จะปิดบังท่านแม่ของข้า”
“แต่เราก็ไม่จำเป็นจะต้องเดินทางเข้าเมืองหลวงสักหน่อย!”
“และจื่อเฟิงยังพูดถูกอีกด้วยว่าเราสามารถให้พี่จวินเฉามารับสินค้าเองได้”
“เรามาเลือกสถานที่นอกเมืองที่เป็นจุดรับส่งสินค้ากันเถอะ”
ถ้าใช้วิธีนี้เธอจะสามารถสร้างรายได้และไม่จำเป็นต้องลงจากเขานานเกินไป มันนับว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับทั้ง 2 ฝ่าย
ตอนนี้เด็กหญิงมีแผนในใจแล้ว เธอจึงเขียนจดหมายและอธิบายแผนการของตัวเองให้เสิ่นจวินเฉาทราบ
และก็เป็นจื่อเฟิงที่เป็นคนทำหน้าที่ส่งจดหมาย ภายในเวลาไม่ช้า เด็กชายก็ตอบกลับมาโดยบอกว่าไม่มีปัญหา
ในวันรุ่งขึ้น มู่ไป๋ไป่จึงอาศัยจังหวะช่วงพักผ่อนตอนกลางวันของซูหว่านแอบลงภูเขาไป
…
ขณะเดียวกัน หรงเฟยซึ่งกำลังพักฟื้นอยู่ที่เรือนพักผ่อนของตัวเองก็ได้พบกับขันทีหนุ่มจากคราวที่แล้วอีกครั้ง
“หรงเฟย ท่านไตร่ตรองข้อเสนอของข้าน้อยแล้วหรือยังพ่ะย่ะค่ะ?”
“เจ้าเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร?” หญิงสาวที่กำลังเอนตัวงีบหลับอยู่บนตั่ง ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวและลืมตาขึ้นมอง
เนื่องจากจู่ ๆ ก่อนหน้านี้ขันทีหนุ่มก็ปรากฏตัวอย่างกะทันหัน นางจึงได้เพิ่มจำนวนทหารอารักขาในเรือนมากกว่าเดิม
แล้วคนคนนี้จะยังสามารถปรากฏตัวเงียบ ๆ ได้อย่างไร?
หรงเฟยมองออกไปนอกลานบ้านและเห็นว่าทหารองครักษ์รวมถึงนางกำนัลที่ควรเฝ้าดูแลอยู่ภายนอกกลับไม่โผล่มาให้เห็นเลยแม้แต่คนเดียว
“เจ้าเป็นใครกันแน่?” หญิงสาวรู้สึกประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย นางมองขันทีหนุ่มตรงหน้าอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก “ข้าเคยพบเจ้าที่ไหนมาก่อนหรือไม่?”
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่พระสนมจดจำข้าน้อยได้” ขณะนี้ขันทีผู้มาเยือนกำลังง่วนอยู่กับการนั่งลงที่โต๊ะแล้วรินน้ำชาให้กับตัวเอง “ถึงกระนั้น มันไม่สำคัญว่าพระสนมจะจำคนต่ำต้อยเช่นข้าน้อยได้หรือไม่”
“คนต่ำต้อย?” หรงเฟยเยาะเย้ย “ข้าไม่เคยพบเคยเจอคนน่ารังเกียจเช่นเจ้ามาก่อน”
ขันทีหนุ่มจิบชาแล้วถามว่า “หรงเฟยคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ข้าน้อยพูดเมื่อครั้งที่แล้วชัดเจนหรือยังพ่ะย่ะค่ะ?”
“เหตุใดข้าจะต้องเชื่อใจเจ้าด้วย” หญิงสาวขมวดคิ้วถาม “เจ้าบอกว่าต้องการให้ข้าร่วมมือกับเจ้า อย่างน้อยเจ้าก็ควรมีอะไรบางอย่างมาโน้มน้าวใจข้า”
“แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีหนุ่มพยักหน้าพึงพอใจ จากนั้นจึงหยิบผลไม้สีแดงลูกเล็กออกมาจากกระเป๋าแล้ววางลงบนโต๊ะ “หรงเฟย ท่านคิดว่านี่คืออะไร?”
หรงเฟยก้าวเข้ามาหยิบผลไม้ลูกเล็ก ๆ แล้วมองดูผลไม้สีแดงนั้นอย่างละเอียด ก่อนจะได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่โชยมาแตะจมูก
กลิ่นนั้นค่อนข้างมีความพิเศษ แต่นอกเหนือจากนั้น นางก็ไม่เห็นความพิเศษอื่นใดจากผลไม้นี้เลย
“นี่คือผลเพลิงสีชาด” ขันทีหนุ่มดูเหมือนจะสังเกตเห็นท่าทางสงสัยของอีกฝ่าย เขาจึงอธิบายให้นางฟังด้วยรอยยิ้ม “ตามบันทึก ผลไม้ชนิดนี้เป็นยาวิเศษที่สามารถรักษาบาดแผลได้ มันเป็นของที่หายากมาก”
“หืม?” หรงเฟยโยนผลไม้นั้นกลับไปให้เขาโดยไม่สนใจ “แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับข้า?”
“แต่เดิมในตลาดผลไม้ชนิดนี้หาได้ยากมาก แต่จู่ ๆ ก็มีคนเริ่มนำมันออกมาขาย” ขันทีหนุ่มอธิบายต่ออย่างใจเย็น “ตามคำบอกเล่าของคนแถวนั้น คนที่นำมาขายมันไม่ใช่ใครอื่นนอกจากองค์หญิงหก”
“อะไรนะ?!” หญิงสาวรู้สึกประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าองค์หญิงหกเป็นคนเอาสิ่งนี้ไปขายอย่างนั้นหรือ เป็นไปได้อย่างไรกัน?”
“ถ้ามันเป็นไปไม่ได้ ข้าน้อยก็ไม่จำเป็นต้องมาบอกท่าน หรงเฟยคงมีความคิดเป็นของตัวเอง” ขันทีหนุ่มยืนขึ้นและเก็บผลเพลิงสีชาดไปทันที “เพียงแต่ในวังหลวงมีกฎเกณฑ์มากมาย และเชื้อพระวงศ์ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำการค้า”
“องค์หญิงหกได้ฝ่าฝืนกฎนี้ไปแล้ว”
“ถ้าหรงเฟยรายงานเรื่องนี้ต่อฝ่าบาท ฝ่าบาทจะลงโทษองค์หญิงหกสถานหนักอย่างแน่นอน”
“แล้วข้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเจ้าไม่ได้โกหกข้า” หรงเฟยยังคงลังเลเล็กน้อย ในวังหลวงมีกฎตามที่คนผู้นี้บอก ซึ่งมู่เทียนฉงเป็นคนกำหนดขึ้นมาเองในช่วงที่สืบทอดบัลลังก์ปีแรก ๆ
“หรงเฟย ข้าน้อยได้แสดงความจริงใจไปหมดแล้ว ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับท่านเอง”
ขันทีหนุ่มทำความเคารพสตรีตรงหน้าก่อนจะถอยกลับไปช้า ๆ
ทางด้านหรงเฟยเม้มปากตัวเองแน่น หลังจากนั้นไม่นานนางก็ตัดสินใจเรียกคนเข้ามา “เมื่อกี้ข้ามีคำสั่งให้พวกเจ้าเฝ้าอยู่ที่นอกประตูไม่ใช่หรือ?”
“ทำไมในช่วงเวลาสั้น ๆ ถึงหายหัวไปกันหมด?!”
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: งานเข้าแล้วสิ มีคนมาฟ้องหรงเฟยเฉยเลย ขันทีคนนั้นเป็นใครกันนะ ทำตัวลึกลับมาก