บทที่ 11 ขอเงิน
บนเขาเทียนโซ่ว ณ สุสานจางหลิง
ตรงกับวันเทศกาลฤดูร้อนอีกทั้งเป็นวันพิธีบูชาใหญ่ประจำปี งานพิธีสักการะอันยิ่งใหญ่กำลังจัดขึ้น
ภายในอาคารสักการะเต็มไปด้วยบรรยากาศขรึมขลัง โต๊ะเครื่องสักการะเต็มไปด้วยผ้าแพร พานสุกรแพะขาว ห่าน ผลไม้ ขนมเหล้า เครื่องหอม กระดาษทองและเงิน
หลิงเฉิงแห่งสุสานจางหลิงนำทัพเหล่าทหารองครักษ์ในสุสาน และผู้ชายจากแต่ละครอบครัวในหมู่บ้านจางหลิง รวมถึงเหล่านางกำนัลและขันทีผู้เฝ้าสุสานต่างพากันหมอบกราบทั้งภายในและภายนอกอาคารสักการะ
มหาปุโรหิตโจวกังผู้เป็นประธานพิธีสวมชุดพิธีการอุ้มธูปถวายแด่ฟ้า ดวงวิญญาณเขาเทียนโซ่วและเทพทั้งสี่ทิศ
เบื้องล่างมหาปุโรหิตคือเหล่าผู้ที่ได้รับคัดเลือกจากครอบครัวในหมู่บ้านจางหลิงมาสวมชุดพิธีการตามตำแหน่งอย่างพร้อมเพรียงกัน และก้าวเท้าตามมหาปุโรหิตอย่างเป็นระเบียบ
หลินเหอซุ่น หลานชายคนโตของหลินชิวซานยืนอยู่ในแถวของบรรดาผู้ทำพิธีด้วย
บรรดาผู้ทำพิธีล้วนมีหน้าตาผิวพรรณสดใสท่าทางสง่างาม เป็นหนุ่มน้อยที่ได้รับคัดเลือกอย่างพิถีพิถันจากแต่ละครอบครัวของคนดูแลสุสาน มีหน้าที่ถวายเครื่องบูชา อ่านคำสรรเสริญ และทำพิธีกรรมต่าง ๆ ในพิธีสักการะ
“กราบ!”
บรรดาทหารองครักษ์และคนดูแลสุสานกางฝ่ามือไปยังฟ้า คุกเข่าลงพื้นศีรษะสัมผัสอิฐสีเขียว
บริเวณรอบอาคารสักการะเงียบสงัด แม้แดดจะแผดเผาแต่ทุกคนล้วนไม่ขยับเขยื้อน
“ลุกขึ้น!”
“กราบอีกครั้ง…”
ที่เดียวกันท่ามกลางแดดจ้า หลินเจ้าเซี่ยเพิ่งลงจากรถไฟฟ้าความเร็วสูง เธอหรี่ตามองแดดพลางถอนหายใจอย่างประหม่า
เธอกลับมาบ้านคราวนี้ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ยิ่งใกล้ถึงบ้านก็ยิ่งรู้สึกไม่อยากกลับไป
หลินเจ้าเซี่ยเดินไปยังที่ร่มพลางโทรหาชางจื้อ
เด็กคนนี้เหมือนคนไร้ตัวตน แม้อยากพามายังหยูหัง ก็ไม่มีอะไรยืนยันตัวตนของเขา ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจที่ต้องทิ้งเขาไว้ตามลำพัง
“พี่สาว!” เสียงชางจื้อที่ดังจากโทรศัพท์ทำให้เธอใจชื้น
ทันทีที่หลินเจ้าเซี่ยออกจากบ้าน ชางจื้อก็จับโทรศัพท์ที่เธอซื้อให้ไว้แน่น เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ดัง เขารับสายทันที
“ทานข้าวเช้าหรือยัง?” หลินเจ้าเซี่ยถามเขาพลางหัวเราะ
“เรียบร้อยแล้วครับ! พี่สาววางใจได้ ชางจื้อจะเชื่อฟัง จะไม่ไปไหน จะอยู่บ้านรอพี่สาว ตอนนี้ชางจื้อกำลังดูทีวีเพื่อเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ!”
หลินเจ้าเซี่ยฟังแล้วก็รู้สึกโล่งใจ
ชางจื้อนั้นว่านอนสอนง่ายจริง ๆ
เมื่อคืนหลังกลับจากห้าง หลินเจ้าเซี่ยสอนเขาใช้โทรศัพท์ สอนเปิดทีวี บอกเขาว่าตัวเองต้องออกไปข้างนอกหนึ่งวัน ให้เขาอยู่บ้านอย่างเรียบร้อย มีของกินของใช้เพียงพอ บอกให้ดูการ์ตูน ดูสารคดีเด็กเพื่อเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ ไปพลาง ๆ
ชางจื้อเป็นเด็กที่เชื่อฟังและเรียนรู้เร็วมาก
แม้จะกลัวอยู่คนเดียวในบ้าน แต่เขาก็ไม่ร้องไห้โวยวาย แถมยังตั้งใจจดจำสิ่งที่หลินเจ้าเซี่ยสอนให้
ทั้งน่ารักและจำเก่งเสียจริง ๆ
“อย่าเล่นไฟนะ ห้ามไปแตะเตาแก๊สในครัว และใช้แค่เครื่องใช้ไฟฟ้าที่พี่บอกไว้ จำได้ไหม?”
แม้เมื่อคืนจะกำชับไปหลายรอบแล้ว แต่เด็กแค่ห้าขวบ แถมยังมาจากยุคโบราณ หลินเจ้าเซี่ยก็ยังอดกังวลไม่ได้
หัวใจเธอเต้นตุบ ๆ ตลอดทางที่เดินทางมา
“ชางจื้อจำได้ ชางจื้อจะเชื่อฟัง พี่สาวรีบกลับมานะครับ!”
หลินเจ้าเซี่ยกำชับอีกไม่กี่ประโยคก่อนวางสาย แล้วไปขึ้นรถเมล์…
พอถึงบ้าน เธอก็เห็นว่าเป็นเวลาเกือบเที่ยงครึ่ง
แม้หยูหังจะไม่ไกลจากเมืองไห่ แต่ตั้งแต่ตรุษจีน หลินเจ้าเซี่ยก็เพิ่งจะได้กลับมาบ้านอีกครั้ง
หลินเยี่ยนหรานมาเปิดประตูให้ มองหลินเจ้าเซี่ยอย่างเหยียด ๆ ก่อนหันหลังเดินเข้าไปในบ้าน
“พ่อ แม่ หนูกลับมาแล้ว” หลินเจ้าเซี่ยส่งเสียงทักคนในบ้าน
“ขึ้นรถไฟความเร็วสูงแค่ไม่กี่นาทีกลับมาให้เร็วกว่านี้ไม่ได้หรือไง? ต้องให้มาถึงก่อนทานข้าวกลางวันพอดี?” หลินแม่ตวัดสายตามองเธอ
หลินเจ้าเซี่ยเม้มปากน้อย ๆ
หลินพ่อพูดตำหนิภรรยาเบา ๆ “เจ้าเซี่ยไม่ได้อยู่ที่สถานีรถไฟ เมืองไห่ใหญ่ออกปานนั้น ระหว่างทางจะไม่ให้เธอเสียเวลาบ้างเลยหรือ? หรือจะให้เธอตื่นตั้งแต่เช้าตรู่?”
ในบ้านไม่ได้มีเหตุอะไรจะต้องร้อนรนขนาดนั้น
เพราะหลินพ่อผ่าตัดมะเร็งช่องปากจนต้องตัดลิ้นไปส่วนหนึ่ง ทำให้ตอนนี้พูดได้ไม่ค่อยชัด ต้องตั้งใจฟังถึงจะฟังรู้เรื่อง
“พ่อ เป็นยังไงบ้าง?” หลินเจ้าเซี่ยเดินเข้าไปนั่งข้างเขา
หลินพ่อยิ้มพลางลูบมือเธอ ทั้งสองมองตากัน
“พ่อไม่เป็นไร วันร้อน ๆ แบบนี้รีบกลับมาคงจะเหนื่อยล่ะสิ นั่งพักแล้วทานข้าวกลางวันเถอะ”
“ค่ะ”
หลินเจ้าเซี่ยบีบคลึงมือให้เขาเบา ๆ
พ่อของเธอยิ่งดูซูบลง ลิ้นของเขายาวขึ้นมาเล็กน้อยแต่ก็ยังไม่เหมือนปกติ ตอนนี้เขาทานได้แต่อาหารอ่อน ๆ อะไรก็ไม่มีรสชาติจนทานได้น้อยลงเรื่อย ๆ
หลินเจ้าเซี่ยนวดมือและพูดคุยกับเขาไปเรื่อย ๆ จนเห็นว่าแม่เดินเข้าครัว จึงเดินตามไปช่วย
ทั้งสี่คนทานข้าวกลางวันด้วยความเงียบ
หลังจากทานเสร็จ หลินแม่ก็พูดถึงเหตุผลที่เรียกเธอกลับมา
“อากาศยิ่งร้อนขึ้นเรื่อย ๆ แม่อยากพาพ่อของหนูไปพักที่บ้านเก่าชนบท อากาศในหุบเขาที่นั่นเย็นสบาย อาหารพื้นบ้านก็ปลอดภัยกว่า น่าจะดีต่อสุขภาพของพ่อ”
หลินเจ้าเซี่ยพยักหน้า
“แต่บ้านที่นั่น พออยู่นาน ๆ เข้าแล้วก็ต้องซ่อมแซมหลายจุด ครัวและห้องน้ำต้องให้ช่างมาซ่อมแซมใหม่”
หลินเจ้าเซี่ยฟังเงียบ ๆ
“เงินในบ้านก็ไม่เหลือเก็บเท่าไหร่ พ่อของหนูก็รักษาไปเยอะ…”
หลินพ่อเคยเป็นครูสอนภาษาจีนที่โรงเรียนมัธยมปลายประจำเมืองหยูหัง มีรายได้ดีทีเดียว หลินแม่ทำงานอยู่ที่สำนักงานเขต รายได้ไม่มากแต่
สวัสดิการดีมาก ทั้งคู่จึงมีชีวิตที่ไม่ได้ลำบากอะไร
แต่ตอนนี้หลินพ่อได้เกษียณก่อนกำหนดไปแล้ว เงินเก็บที่เคยสะสมไว้ก็นำไปใช้ตามหาหลินเยี่ยนหรานจนแทบหมด
ใช่แล้ว หลินเยี่ยนหรานเป็นลูกสาวแท้ ๆ ของหลินพ่อหลินแม่ที่เคยถูกลักพาตัวไปเมื่อยังเล็ก ทั้งสองคนตามหาลูกสาวแทบพลิกแผ่นดิน แม้จะเลี้ยงดูหลินเจ้าเซี่ยเป็นลูกบุญธรรม แต่ก็ไม่เคยยอมแพ้ที่จะตามหาลูกสาว
หลินเจ้าเซี่ยกำลังคิดอะไรเพลิน ๆ จู่ ๆ ก็ได้ยินหลินแม่พูดขึ้นว่า “พ่อของหนูต้องไปโรงพยาบาลตรวจทุกเดือน ทุกวันยังต้องกินยา ค่าซ่อมแซมบ้านไม่พอ หนูเอาเงินมาสักแสนเถอะ”
หนึ่งแสน!
หลินเจ้าเซี่ยกำมือแน่น “แม่คะ หนูเพิ่งตกงานเมื่อไม่นานมานี้…”
“ทำไมถึงได้ตกงานล่ะ!”
หลินแม่ลุกขึ้นยืน “หนุ่มสาวสมัยนี้เอาแต่ลาออก ไม่รู้รึไงว่าโลกภายนอกมันหางานยากแค่ไหน! เดี๋ยวนี้คนจบปริญญาโท ปริญญาเอก ยังแย่งกันทำงานที่เขตเลย เธอจะลาออกทำไม!”
“แม่คะ ไม่ใช่หนูลาออกนะคะ บริษัททนไม่ไหวแล้ว ปิดตัวไปแล้วต่างหาก”
หลินพ่อหลินแม่มองเธอด้วยความประหลาดใจ แม้แต่หลินเยี่ยนหรานก็ตกใจ
เดิมทีหลินเยี่ยนหรานยังตั้งใจจะอาศัยโอกาสนี้ให้หลินเจ้าเซี่ยช่วยเขียนบทให้เธอเพื่อลองเข้าวงการอยู่เลย
“บริษัทหนูไม่ใช่บริษัทใหญ่เหรอ? ละครที่พวกเขาถ่ายเรายังเคยดูอยู่เลย” หลินแม่ขมวดคิ้วแน่น
“วงการนี้ไม่ค่อยดีมาสองสามปีแล้วค่ะ” มีบริษัทล้มไปไม่ใช่แค่ที่เดียว
หลินพ่อพยักหน้า “พ่อก็เคยได้ยินเรื่องที่เขาเรียกกันว่าฤดูหนาวของวงการภาพยนตร์”
“ค่ะ” หลินเจ้าเซี่ยพยักหน้าตอบ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะหาทางไปต่อได้อย่างไร
หลินพ่อหลินแม่ต่างเงียบงัน ตอนนี้ในบ้านมีทั้งคนป่วยและคนที่เอาแต่เก็บตัวอยู่บ้าน จะเพิ่มอีกคนอีกหรือ?
“เขาว่ากันว่านักเขียนบทได้ค่าตอบแทนดีนี่นา เขียนแค่ตอนหนึ่งก็ได้ตั้งเป็นหมื่นเป็นแสน” หลินเยี่ยนหรานพูดขึ้น
ตอนที่พ่อป่วยหนัก หลินเจ้าเซี่ยเพิ่งเรียนจบ แถมยังยอมจ่ายห้าหมื่นโดยไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว ตอนนี้ทำไมมาโอดครวญ?
หลินเยี่ยนหรานรู้สึกว่าเธอปิดบังอะไรไว้
ในเมื่อเธอเป็นลูกสาวแท้ ๆ ของพ่อแม่ ส่วนหลินเจ้าเซี่ยก็เป็นแค่เด็กกำพร้าที่ถูกทิ้ง เธอแอบอ้างใช้ชื่อของหลินเยี่ยนหรานไปเรียนหนังสือ แย่งชิงทุกอย่างที่ควรเป็นของหลินเยี่ยนหราน
สิ่งที่หลินเจ้าเซี่ยมีอยู่นี้ แท้จริงควรจะเป็นของเธอ
---
*(จบบท)*