ตอนที่ 72 อย่าดูแมลงกู่ของข้ามากเกินไป
ตอนที่ 72 อย่าดูแมลงกู่ของข้ามากเกินไป
ห้าวันต่อมา......
ฉู่เสวียนค้นพบว่ามีรอยแตกในหินแม่ เขาจึงได้ออกจากดาวเคราะห์โลกาวินาศ ไปยังถ้ำม่านน้ำของเขาทันที
จากนั้นก็เข้ามาที่โรงน้ำชาอีกครั้ง
พอดีกับที่เขาเห็นผู้บ่มเพาะแซ่ฮั่น ในเวลานี้ ผู้บ่มเพาะแซ่ฮั่นมาพร้อมกับผู้บ่มเพาะร่างบางที่มีดวงตาจมลึก
ผู้บ่มเพาะแซ่ฮั่นหัวเราะเสียงดังเมื่อเขาเห็นฉู่เสวียน "สหายลัทธิเต๋าเหอ นี่คือคนที่ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จัก เรียกเขาว่าหนอนลัทธิเต๋าก็ได้”
ฉู่เสวียนพยักหน้าไปทางเขา
ผู้บ่มเพาะร่างผอมเงยหน้าขึ้นมองไปที่ฉู่เสวียนสองสามครั้งพร้อมกับคิ้วที่ขมวด "เจ้าต้องการกู่ระยะที่ 2 อย่างนั้นหรือ แมลงกู่ระยะที่ 2 นั้นจะต้องเลี้ยงมันไว้ในร่างกาย สร้างกระเปาะที่อยู่ให้กับมันเหมือนเป็นอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งของร่างกาย และข้าไม่คิดว่าเจ้าจะมีอวัยวะแบบนั้นอยู่และเจ้าไม่สามารถเลี้ยงแมลงกูระยะที่ 2 ได้”
เขาขมวดคิ้วและพูดต่อว่า "ถ้าเจ้าไม่มีอวัยวะที่ข้ากล่าวมานี้ เจ้าก็ไม่ควรมาเสียเวลากับข้าอีก"
ฉู่เสวียนยิ้มเบา ๆ....ผู้บ่มเพาะที่เลี้ยงแมลงกู่นั้นก็จะมีสภาพเหมือนกับหนอนลัทธิเต๋าผู้นี้ นั่นก็คือมีรูปร่างผอมเพรียวและเบ้าตาจมลึก เนื่องจากว่าพวกเขาจะถูกดูดซับแก่นโลหิตไปเป็นจำนวนมากจนร่างกายซูบผอม
แต่ฉู่เสวียนนั้นมีเลือดเพียงพอที่จะเลี้ยงแมลงกู่ ดังนั้นเขาจึงไม่ดูซุบผอมเหมือนคนอื่น
แมลงกู่ของเขากินดีขนาดนั้น มันจะย้อนกัดเขาได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตาม ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกของเขา เป็นเรื่องปกติที่อีกฝ่ายจะสงสัยเล็กน้อย
ฉู่เสวียนจึงยื่นมือออกมาแล้วเคลื่อนไหวทันที
จากนั้นเส้นลวดโลหิตที่เหมือนกับเส้นลวดเหล็กก็ได้แทงออกมาจากฝ่ามือของเขา
ตอนแรกหนอนลัทธิเต๋าที่กำลังจะลุกเดินออกไปก็ได้หยุดกะทันหัน
“เส้นลวดโลหิต..ระยะที่ 2 ?” ใบหน้าของเขาที่แต่เดิมไม่แยแส บัดนี้กลายเป็นความประหลาดใจ
เส้นลวดโลหิตส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเพียงแมลงกู่ระยะแรกเท่านั้น เนื่องจากขีดจำกัดของมันค่อนข้างต่ำ
แต่ไม่คาดคิดเลยว่าคนๆ นี้จะสามารถเลี้ยงเส้นลวดโลหิตให้อยู่ในระยะที่สองได้จริงๆ
เขาเริ่มอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทันที จึงขยับเข้าไปใกล้เพื่อมองดูมันอย่างละเอียด
ทว่าฉู่เสวียนก็ได้สั่งให้เส้นลวดโลหิตกลับไปที่ถุงหนอนโลหิตทันที
“อย่าดูแมลงกู่ของข้ามากเกินไป” เขากล่าวอย่างใจเย็น
ผู้บ่มเพาะแซ่ฮั่นจึงรีบพูดออกมาว่า “ฮ่าฮ่าฮ่า หนอนลัทธิเต๋า เจ้าอย่าเสียมารยาทมองแมลงกู่ของคนอื่นใกล้ๆแบบนั้นสิ”
ผู้บ่มเพาะร่างผอมพยักหน้าและพูดว่า "ตกลง เช่นนั้นข้าจะนั่งลงแล้วมาพูดถึงรายละเอียดกับเจ้าก่อน"
จากนั้นทั้งสามคนจึงนั่งลงอีกครั้ง
ฉู่เสวียนและหนอนลัทธิเต๋านั่งตรงข้ามกัน ส่วนผู้บ่มเพาะแซ่ฮั่นก็นั่งกินขนมอบและดื่มชาสมุนไพรอย่างสบายใจ
“เจ้ามีแมลงกู่ระยะที่สองแบบไหนบ้าง” ฉู่เสวียนถามขึ้นมา
ผู้บ่มเพาะร่างผอมชูขึ้นมาสามนิ้วแล้วพูดว่า "ข้ามีกู่ระยะ 2 อยู่สามสายพันธุ์ สายพันธุ์ที่หนึ่งคือ แมลงกู่กระดองเหล็ก สายพันธุ์ที่สองคือหนอนปลุกใจ สายพันธุ์ที่สามคือหลิงไห่จือ (หนอนกู่ทะเลปราณ)”
ฉู่เสวียนเลิกคิ้วเขาเคยเห็นแมลงกู่ทั้งสามประเภทนี้ใน "ตำราคู่มือการเลี้ยงแมลงกู"
แมลงกู่กระดองเหล็กระยะที่ 2 สามารถหลั่งสารในร่างกายของมันออกมาให้ผู้ที่เลี้ยงได้ ซึ่งจะทำให้ผิวหนังของผู้บ่มเพาะแข็งแรงขึ้นทุกขณะ เมื่อผู้บ่มเพาะถูกโจมตี กระดองเหล็กก็จะเร่งการหลั่งของสารชนิดนี้ออกมา ทำให้ผิวหนังภายนอกแข็งขึ้นมาในทันทีมันสามารถต้านทานการโจมตีของอาวุธเวทย์มนตร์ระดับสูงได้ด้วยร่างกายของมัน
ส่วนหนอนปลุกใจระยะที่ 2 นั้นจะต้องเลี้ยงไว้ในสมอง เพราะมันสามารถเสริมสร้างความคิดทางจิตวิญญาณของผู้บ่มเพาะทำให้ผู้บ่มเพาะสามารถควบคุมอาวุธเวทย์มนตร์หลายชิ้นได้ในเวลาเดียวกัน และการควบคุมอาวุธเวทย์มนตร์ได้มากกว่าหนึ่งชิ้นนั้นก็หมายถึงโอกาสในการชนะที่เพิ่มเข้ามา อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหนอนปลุกใจนี้จะได้กินเลือดเนื้อจนพอใจแล้ว มันก็ยังสามารถย้อนกัดเจ้าของได้ทุกเมื่อเพราะอาหารโปรดของพวกมัน แท้จริงแล้วคือดวงวิญญาณของผู้บ่มเพาะ
เมื่ออยู่ในสมอง มันก็จะสามารถเข้าถึงวิญญาณดิบของผู้บ่มเพาะได้ตลอดเวลา และวันหนึ่งมันก็อาจจะต้านทานความอยากไม่ไหว และย้อนกัดได้
ส่วนหลิงไห่จื่อนั้น แตกต่างจากกระดอกเหล็กและหนอนปลุกใจ เนื่องจากว่ามันเป็นแมลงกู่ระยะที่ 3
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตราบใดที่มีอาหารให้มันเพียงพอ อย่างน้อยก็สามารถก้าวไปสู่แมลงกู่ระยะที่3 ได้ ซึ่งพลังของมันเทียบได้กับพลังของผู้บำเพ็ญแก่นปราณทองคำ
อย่างไรก็ตาม มันเป็นเรื่องง่ายที่หลิงไห่จือจะเลื่อนระดับขึ้นเป็นกู่ระยะที่ 3 แต่การเลื่อนระดับจากระยะที่2ไปเป็นระยะที่3นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ดังนั้นผู้บ่มเพาะจำนวนมากจึงจำแนกหลิงไห่จือว่าเป็นแมลงกู่ระยะที่ 2 แทนที่จะจำแนนว่าเป็นแมลงกู่ระยะที่ 3
หลิงไห่จือนั้นยังแตกต่างจากแมลงกู่สายพันธุ์อื่นๆตรงที่มันไม่ได้ถูกเก็บไว้ในอวัยวะภายใน แขนขา หรือสมอง แต่จะต้องเก็บไว้ในทะเลปราณของผู้บ่มเพาะเท่านั้น และหากว่าผู้บ่มเพาะมีพลังวิญญาณไม่มากพอ หลิงไห่จือก็จะย้อนกัดได้
แต่ข้อดีของมันก็คือเมื่อผู้บ่มเพาะกำลังต่อสู้กับศัตรู พวกเขาจำเป็นจะต้องใช้พลังวิญญาณมหาศาล เพียงแค่คิด หลิงไห่จือก็จะปลดปล่อยพลังวิญญาณนี้ออกมาช่วย ด้วยวิธีนี้ หลิงไห่จือจึงเปรียบเสมือนทะเลปราณแห่งที่สองของผู้บ่มเพาะ เพียงแต่มันเล็กกว่าหลายเท่า
แต่หลายครั้งระหว่างความเป็นและความตาย พลังวิญญาณเพียงเล็กๆ น้อยๆ ก็จำเป็นต่อการต่อสู้เป็นอย่างมาก
แมลงกู่ทั้งสามสายพันธุ์นี้ต่างก็มีดีคนละแบบ
ฉู่เสวียนไม่รู้ว่าหนอนลัทธิเต๋าคนนี้สามารถซ้อนแมลงกู่จากการตรวจสอบของนิกายเทียนหยินจนสามารถยกระดับแมลงกู่ของเขาจนเข้าสู่ระยะที่ 2 ทั้งสามสายพันธุ์นี้ได้อย่างไร
ท้ายที่สุดแล้ว ในสายตาของนิกายฝ่ายธรรมะทั้งห้า การฝึกฝนเทคนิคแมลงกู่นั้นถือว่าเป็นวิถีของสายมาร
“ทั้งสามสายพันธุ์นี้ดีมาก มาพูดถึงราคากันเถอะ” ฉู่เสวียนพยักหน้า
หนอนลัทธิเต๋าจึงกล่าวขึ้นมาทันทีว่า "กระดองเหล็กระยะที่ 2 มีราคาอยู่ที่หินวิญญาณระดับเล็ก 1000 ก้อน "
“หนอนปลุกใจระยะที่ 2 มีราคาอยู่ที่หินวิญญาณระดับต่ำ 1000 ก้อน”
“ส่วนหลิงไห่จื่อ ระยะที่สอง มีราคาอยู่ที่หินวิญญาณะดับต่ำ 1,800 ก้อน”
ฉู่เสวียนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว นี่ไม่ต่างอะไรจากสิงโตอ้าปากโดยสิ้นเชิง
ราคาของแมลงกู่ระยะที่ 2 นั้นจะมีราคาพอๆกับอาวุธเวทย์มนตร์ระดับกลางหรืออาวุธเวทย์มนตร์ระดับสูง ซึ่งก็แตกต่างกันไม่มากนัก และโดยปกติแล้วจะมีราคาอยู่ที่วิญญาณระดับต่ำ 500 ก้อน
หนอนลัทธิเต๋าคนนี้กลับคิดจะเพิ่มราคาเป็นสองเท่า!
เขาตั้งใจจะเอาเปรียบข้าจริงๆ
แม้ว่าตอนนี้ฉู่เสวียนจะมีหินวิญญาณอยู่ในมือมากมาย แต่เขาก็ไม่ยอมให้ใครมาเอาเปรียบง่ายๆแบบนี้ได้
ผู้บ่มเพาะแซ่ฮั่นยังช่วยพูดออกมาว่า "สหายลัทธิเต๋าเหอ เป็นเรื่องปกติที่ราคาของมันจะสูงขึ้นในขณะนี้ ข้าไม่จำเป็นจะต้องอธิบายเหตุผลให้เจ้าฟังหรอกใช่ไหม?”
ฉู่เสวียนคิดอยู่พักหนึ่งแล้วจู่ๆก็พูดว่า "แล้วถ้าผสมพันธุ์แมลงกู่ล่ะ ราคาเท่าไหร่"
หนอนลัทธิเต๋าตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเยาะเย้ยออกมาว่า "เหตุใดเจ้าถึงอยากผสมพันธุ์แมลงกู่ เจ้าคิดอะไรอยู่ถึงอยากลอง บางทีหลังจากที่เจ้าพยายามอย่างหนัก เจ้าอาจจะได้แมลงกู่ที่มีรูปร่างผิดปกติก็ได้ ข้าขอแนะนำให้เจ้าละทิ้งความคิดนี้และซื้อแมลงกู่ระยะที่ 2 ไปโดยตรงเลยจะดีกว่า"
ในสายตาของหนอนลัทธิเต๋าแล้ว ตอนนี้ฉู่เสวียนไม่ต่างจากคนโง่ที่เพิ่งหัดเลี้ยงแมลงกู่เริ่มต้น เมื่อรู้ว่าแมลงกู่สามารถผสมพันธุ์ได้ ก็อยากจะลองผสมพันธุ์มันเอง และคิดว่ามันน่าจะไม่ยาก
ฉู่เสวียนพูดอย่างใจเย็น "เจ้ามีหน้าที่แค่ต้องบอกข้ามาว่าราคาเท่าไหร่ ส่วนผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร ข้าจะรับมันไว้เอง และไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า”
หนอนลัทธิเต๋าจึงตวาดออกมาอย่างเย็นชา "การผสมพันธ์กับแมลงกู่สามสายพันธุ์นี้จะมีราคาอยู่ที่หินวิญญาณระดับต่ำ 50 ก้อนต่อครั้ง"
ฉู่เสวียนพยักหน้า ราคานี้ถือว่ายอมรับได้ ส่วนราคาก่อนหน้านี้ เขาไม่แม้แต่จะเก็บมาพิจารณาด้วยซ้ำ
หนอนลัทธิเต๋าก็ได้กล่าวอีกครั้งว่า "เพียงแต่ว่ากระบวนการผสมพันธุ์จะต้องเสร็จสิ้นลงตรงนี้เท่านั้น"
"ตกลง" ฉู่เสวียนพยักหน้า
ในไม่ช้า กระดองเหล็ก หนอนปลุกใจและหลิงไห่จื่อก็ได้ผสมพันธุ์กับเส้นลวดโลหิตสำเร็จไปทีละตัว
การสืบพันธุ์ของแมลงกู่นั้น ไม่มีข้อกำหนดเรื่องสายพันธุ์ แมลงกู่ทุกชนิดสามารถผสมพันธุ์กันได้ เพียงแต่ว่าลูกหลานที่ออกมาก็จะแปลกแยกไปตามสายพันธุ์ของพ่อกับแม่ของมัน
กว่าจะได้ตัวที่แข็งแรงสมบูรณ์นั้นยากมาก เพราะส่วนใหญ่จะออกมาอ่อนแอและพิการ
หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายตกลงราคาได้แล้ว หนอนลัทธิเต๋าก็ดูจะหงุดหงิดและหันหลังกลับก่อนจะจากไป
ส่วรผู้บ่มเพาะแซ่ฮั่นก็ทักทายฉู่เสวียนเล็กน้อยแล้วก็จากไปเช่นกัน
ฉู่เสวียนเองก็ไม่ได้อยู่ที่นั่นนาน เขารีบกลับและข้ามมิติไปที่ดาวเคราะห์โลกาวินาศทันที
แมลงกู่ต้องใช้เวลานานกว่าจะวางไข่และฟักออกมาในที่สุด
เรื่องที่ใช้เวลานานเช่นนี้จะต้องดำเนินการบนดาวเคราะห์โลกาวินาศเท่านั้น
เมื่อไปถึง ฉู่เสวียนก็นั่งขัดสมาธิในค่ายกลดึงดูดวิญญาณปลุกความชั่วร้าย และฝึกฝนอย่างเงียบ ๆ
ขณะที่ดูดซับปราณปีศาจ เขาก็ได้กลั่นลูกปัดโลหิตเม็ดใหญ่ไปด้วย
ตั้งแต่ที่เข้ามาอยู่ในค่ายกลนี้ ก็ทำให้ความก้าวหน้าในการบ่มเพาะของเขาคืบหน้าไปอย่างก้าวกระโดด
หลังจากนั้นไม่นาน เส้นลวดโลหิตก็วางไข่ออกมาสามฟอง จากนั้นมันก็เข้าจำศีลเนื่องจากว่าใช้พลังงานมากเกินไป และไข่ที่มันวางออกมาทั้งสามใบก็มีสีที่ต่างกันทุกใบ คือ ดำ ขาว และน้ำเงิน
ตรงกับแมลงกู่สามชนิด ได้แก่ กระดองเหล็ก หนอนปลุกใจ และหลิงไห่จื่อ
เวลาแต่ละวันได้ผ่านไปอย่างช้าๆ..เปลือกไข่ก็ค่อยๆแข็งขึ้น
จนในที่สุด วันหนึ่งก็มีรอยแตกปรากฏบนพื้นผิวของเปลือกไข่สีดำ!
หัวใจของฉู่เสวียนขยับเล็กน้อย เขาได้หยุดฝึกฝนทันทีและจ้องมองไปที่ไข่สีดำนั้น