ตอนที่ 7 : ไป๋เยว่กวงที่แท้จริง
เช้าวันรุ่งขึ้นแสงยามเช้าแผ่กระจายไปทั่วสถานที่
เจียงฉินแอบย่องออกจากบ้าน ขี่จักรยานไปรอบเมือง จากนั้นก็เข้าไปในสวนสัตว์เมืองจี้โจว
เนื่องจากเป็นการทับซ้อนกันระหว่างวันอาทิตย์และวันหยุดฤดูร้อน ทางเข้าสวนสัตว์จึงคับคั่งไปด้วยผู้คน ซึ่งแทบจะแออัดมากกว่าการเข้าร่วมงานวัดเสียอีก
หนึ่งชั่วโมงต่อมา เจียงฉินเบียดตัวออกมาจากสวนสัตว์ แม้แต่รองเท้าของเขาก็แทบจะหลุดหายไป
หลังจากที่เขาออกจากประตู เขาก็นั่งยองๆ อยู่หน้าทางเข้าพลางดื่มน้ำอึกใหญ่ จากนั้นเขาก็หยิบโนเกียออกมาแล้วโทรเรียกกัวจื่อหังให้มาหา
บ้านของกัวจื่อหังอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ หลังจากได้รับโทรศัพท์จากเจียงฉินเขาก็ขึ้นรถแล้วรีบมาที่นี่พร้อมกับฮัมเพลงมาตลอดทาง แม้ว่าเหงื่อจะท่วมตัวแต่เขาก็ยังอารมณ์ดี
ตอนนี้เขาตั้งตารอคอยที่จะถูกพี่เจียงเรียกตัวทุกวัน และรู้สึกอยู่เสมอว่าเขาจะทำเงินได้อีกครั้งในวินาทีถัดไป แต่เมื่อเขาเห็นเจียงฉิน เขาก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงทันที
เห็นเพียงเจียงฉินนั่งยองๆ อยู่บนพื้น โดยมือแต่ละข้างหิ้วไก่ที่ถูกถอนขนออกไปแล้วอย่างละหนึ่งตัว
“พี่เจียง นายกำลังทำอะไรน่ะ?”
เจียงฉินส่ายไก่ในมือ: “ฉันซื้อไก่สองตัวมาในราคาสิบหยวน ให้นายตัวหนึ่ง เอามันกลับไปให้แม่นายตุ๋นให้กิน”
กัวจื่อหังมองไปที่ป้ายชื่อสวนสัตว์ แม้ว่าจะไม่เข้าใจแต่เขาก็ยังเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ: “นายมาเที่ยวสวนสัตว์ แล้วทำไมต้องเอาสัตว์มาด้วย?”
“ฉันไม่ได้เอามา ฉันซื้อมาต่างหาก มันเป็นของที่สวนสัตว์เลี้ยงไว้ให้เสือกิน ที่ตลาดไก่หนึ่งตัวขายราคาสิบเอ็ดหยวน แต่ถ้านายซื้อไก่ของพวกเขาเพื่อเอาไปให้อาหารเสือ พวกเขาจะขายให้นายแค่ครึ่งราคา”
“แล้ว…ทำไมไม่เอาให้เสือกินล่ะ?”
ดวงตาของเจียงฉินเบิกกว้างหลังจากได้ยินสิ่งนี้: “เรื่องอะไรฉันต้องเอาไก่ครึ่งราคาที่ฉันซื้อมาด้วยความสามารถไปให้เสือกิน?”
กัวจื่อหังอ้าปากค้างและลังเลอยู่นานก่อนจะพูดว่า: “นายถอนขนแกะของสวนสัตว์”[1]
“เลิกไร้สาระได้แล้ว นายจะเอาไหม”
“เอา ฉันชอบกินไก่!”
กัวจื่อหังรับไก่ที่เจียงฉินยื่นให้ จากนั้นจับคอไก่ให้แน่นขึ้นแล้วมองดูมัน ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็กลายเป็นซับซ้อนมาก
เขาสามารถจินตนาการถึงฉากที่เสือในสวนสัตว์กับผู้ดูแลกำลังตรวจสอบบัญชี เพียงแต่พบว่าบัญชีไม่ตรงกันไม่ว่าจะตรวจสอบยังไงก็ตาม
เสือพูดว่า ‘ฉันไม่ได้กิน อย่ามากล่าวหาฉันนะ!’
ผู้ดูแลพูดว่า ‘อย่ามาเนียน นายนั่นแหละที่กินมัน’
เสือพูดว่า ‘นายขโมยไก่ของฉันแล้วยังมาทำเป็นมีเหตุผลอีกงั้นเหรอ ไม่ว่ายังไงฉันก็ไม่ได้กิน’
ผู้ดูแลพูดว่า ‘ถ้าไม่ใช่นายแล้วหมาตัวไหนเป็นคนกิน?’
“พี่เจียง ทำไมนายถึงมาซื้อไก่ที่สวนสัตว์ล่ะ”
“ฉันวางแผนว่าจะซื้อไก่ครึ่งราคาจำนวนมากแล้วแอบขนมันออกไปอย่างเงียบๆ เพื่อขายให้ตลาดในราคาต่ำกว่าสิบหยวน โดยหวังว่าจะทำกำไรได้สองเท่า”
“แล้วทำไมซื้อมาแค่สองตัวล่ะ”
“ฉันลองตรวจสอบด้วยสายตาแล้วพบว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตรงทางเข้าสวนสัตว์นั้นแข็งแกร่งนิดหน่อย ฉันไม่คิดว่าจะเอาชนะเขาได้ เพราะงั้นฉันเลยอยากให้นายเป็นแนวหน้าและช่วยฉันทดสอบความแข็งแกร่งของพวกเขาหน่อย”
“ไม่ พี่เจียง ฉันขี้ขลาดที่สุด ไม่ต้องพูดถึงเรื่องต่อสู้เลย แค่ด่าคนอื่นฉันก็พูดติดอ่างแล้ว!”
“ไอ้คนไม่มีประโยชน์ รู้แต่จะกิน!”
เจียงฉินยัดไก่ไว้ในถุงพลาสติก หมุนฝาขวดน้ำแร่แล้วยกขึ้นจิบ
เป็นเรื่องจริงที่การเก็งกำไรสามารถทำเงินได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่สามารถทำได้ตลอดไป เขาไม่ต้องการสร้างปัญหา เขาแค่อยากจะนั่งๆ นอนๆ ก็ทำเงินได้ นอกจากนี้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ยังอยู่ห่างจากเป้าหมายในการเกิดใหม่ของเขามาก
เจียงฉินยืนขึ้น ยื่นไก่ของเขาให้กัวจื่อหังและขอให้เขาช่วยถือมันกลับไป ในขณะที่เขาปั่นจักรยานไปยังจุดต่อไป ห้องสมุดเมืองจี้โจว
ตอนนี้เขากำลังปวดหัวกับถังทองคำใบแรก ทว่าเขาได้ลองวิธีการต่างๆ มากมายแต่ก็ไม่ได้ผล
ให้ตายเถอะ มันยากจริงๆ ที่จะเริ่มต้นโดยไม่มีระบบ
ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะนึกอะไรไม่ออก แต่เขาก็ไม่ได้วางแผนที่จะอยู่บ้านเฉยๆ เพราะตราบใดที่ผู้คนขี้เกียจ พวกเขาก็จะขี้เกียจมากขึ้นเรื่อยๆ นี่คือความจริงที่เขาสรุปไว้ในชาติที่แล้ว ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจมาที่ห้องสมุดเพื่อหาหนังสืออ่านสักเล่มและดูว่าในนั้นมีห้องทองคำที่อาจให้แรงบันดาลใจแก่เขาได้หรือไม่
[ทำอย่างไรจึงจะเป็นผู้ชายทรงเสน่ห์ที่เศรษฐินีชื่นชอบ]
[หัวข้อบทสนทนาที่ได้ผลหลังจากพบกับเศรษฐินี]
[15 เคล็ดลับของสุภาพบุรุษเพื่อทำให้เศรษฐินีประทับใจ]
[การเปลี่ยนแปลงอันงดงามของพระถังซัมจั๋ง]
[คู่มือชีวิตคู่เศรษฐินี]
เจียงฉินเลือกหนังสือสองสามเล่มจากหมวดหมู่มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ และวางแผนที่จะศึกษาอย่างละเอียด
พูดตามตรง เขารู้สึกว่าเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน ทางลัดเดียวสำหรับเขาที่จะได้ถังทองคำใบแรกคือการได้คบกับสาวรวย ไม่ใช่เรื่องน่าอายที่ชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งจะทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงิน
เจียงฉินมาที่บริเวณอ่านหนังสือพร้อมกับกองหนังสือในอ้อมแขน แต่ก่อนที่เขาจะได้นั่งลง ดวงตาของเขาก็ถูกดึงดูดไปที่มุมตะวันออกเฉียงใต้ทันที
ตรงนั้นมีเด็กสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ เธอสวมชุดเดรสเอวสูง แขนเล็กๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะนั้นขาวราวกับหิมะ ดวงตาใต้แพขนตาหนากระพริบวาวราวกับหยาดน้ำค้าง ริมฝีปากแดงอิ่มเอิบ ผมยาวสลวยปรกลงมาเป็นผ้าคลุมไหล่ ส่องประกายเงางามราวไข่มุกยามต้องแสงแดด
เด็กสาวกำลังถือหนังสือเล่มหนาเล่มหนึ่ง พลิกดูอย่างระมัดระวัง ดวงตาของเธอกระพริบเป็นระยะๆ ดูสงบและประพฤติตัวดี
เจียงฉินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ในสมองของเขาดูเหมือนจะมีความทรงจำที่เกี่ยวข้องถูกเปิดใช้งาน
เฟิงหนานซู นักเรียนชั้นมัธยมปลายปีสามห้องหนึ่ง ดอกไม้ผู้เงียบขรึมแห่งขุนเขา แสงจันทร์นวลขาวที่แท้จริงของโรงเรียนมัธยมเฉิงหนาน
ว่ากันว่าเธอเดินทางไปโรงเรียนและกลับบ้านโดยรถมีปีก พร้อมด้วยคนขับและบอดี้การ์ดที่คอยดูแลอย่างใกล้ชิด และภูมิหลังของครอบครัวเธอก็ลึกลับมาก
บางคนบอกว่าพ่อของเธอเป็นเศรษฐีที่ทำธุรกิจข้ามชาติ บางคนบอกว่าเธอเป็นเจ้าหญิงที่ถูกเนรเทศมาจากปักกิ่ง และบางคนบอกว่าเธอเป็นลูกนอกสมรสที่ต้องปิดบังตัวตน สรุปแล้วมีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับตัวเธอ แต่ความน่าเชื่อถือนั้นต่ำมาก
อย่างไรก็ตาม เฟิงหนานซูมีนิสัยเหมือนคุณหนูผู้ร่ำรวยและมีอำนาจ เธอมีบุคลิกที่เย็นชาและไม่มีเพื่อนเลย
เป็นเพราะบุคลิกเย็นชาของเธอที่ขับไล่ผู้คนไปหลายพันไมล์ ควบคู่ไปกับรัศมีกดขี่จากบอดี้การ์ดที่แข็งแกร่งของเธอ แม้ว่าเธอจะมีผู้ชื่นชอบมากมาย แต่ก็ไม่มีใครกล้าสารภาพรักกับเธอเลย
ฉู่ซือฉีถือเป็นวัยเยาว์ของใครหลายคน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเฟิงหนานซูเธอก็ยังดูด้อยกว่า
หลังจากเข้ามหาวิทยาลัยเจียงฉินได้พบกับผู้หญิงหลายคนที่สามารถแข่งขันกับฉู่ซือฉีได้ แต่เฟิงหนานซูยังคงทำให้เขารู้สึกทึ่งเมื่อคิดถึงเรื่องนี้
ท่านหลู่ซวิ่นไม่ได้โกหกจริงๆ ในหนังสือมีหยกงามอยู่ด้วย
แต่ประโยคนี้หลู่ซวิ่นเป็นคนพูดหรือเปล่า?
เจียงฉินคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และรู้สึกว่ามันไม่สำคัญ เขาจำไม่ได้ว่าประโยคที่โด่งดังเหล่านี้ล้วนเป็นคำพูดของหลู่ซวิ่นหรือไม่
ในเวลาเดียวกัน ดูเหมือนเฟิงหนานซูจะสังเกตเห็นว่ามีคนกำลังมองเธออยู่ ดังนั้นเธอจึงเลิกคิ้วและเหลือบมองกลับไป
ขณะที่เธอมองไปยังเจียงฉิน แพขนตาของเธอก็สั่นเล็กน้อย และเธอก็รีบเพ่งสายตาไปที่หนังสือในมืออีกครั้ง
เย็นชาจริงๆ
เจียงฉินให้ความคิดเห็นที่ตรงไปตรงมา จากนั้นเดินไปแล้วนั่งลงบนโต๊ะตรงข้ามเธอ
การอ่านหนังสือเป็นสิ่งที่น่าเบื่อ เมื่อคุณทนไม่ไหวการมองดูสาวสวยก็เป็นทางเลือกที่ดีเช่นกัน การอ่านหนังสือก็เพื่อหาเงิน และการมองสาวสวยก็เพื่อให้มีแรงอ่านหนังสือต่อ สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็เป็นเพียงเครื่องมือ ไม่ได้ขัดแย้งกับหลักการที่ว่าเงินคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเขา
เจียงฉินหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาวางไว้ตรงหน้า สายตาของเขาพลันเหลือบไปที่หนังสือในมือของเฟิงหนานซูโดยไม่ตั้งใจ
[เพ็กกี้ซู สาวน้อยดวงตาเวทมนตร์]
เอิ่ม?
ไม่ใช่ว่าเด็กสาวผู้มีออร่าเย็นชาแบบนี้ควรอ่านนวนิยายที่เต็มไปด้วยอารมณ์วรรณกรรมอินดี้อย่าง [คาฟกา วิฬาร์ นาคาตะ] หรอกเหรอ?
ทำไมถึงได้เป็นนิยายผจญภัยแฟนตาซีสำหรับเด็กเล็กล่ะ?
ขณะที่เจียงฉินตกอยู่ในความงุนงง นวนิยายตรงหน้าเขาก็ถูกขยับขึ้นมา
ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเธอที่เผยออกมาถูกบดบังจนหมด แม้แต่คิ้วและดวงตาที่สวยงามก็ไม่เหลือให้ตนเห็น
เจียงฉินรู้สึกตัวและอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้ว
ไม่ยอมให้เห็นหน้าเลยแม้แต่ครึ่งหนึ่ง?
เย็นชา เย็นชาจริงๆ
เจียงฉินไม่สนใจ แค่เอื้อมมือออกไปเปิดหนังสือตรงหน้าเขา
(จบตอน)
[1] ถอนขนแกะ หมายถึงการเอาเปรียบคนอื่น
ไป๋เยว่กวง แปลว่าแสงจันทร์นวลขาว หรือผู้หญิงในฝัน