ตอนที่แล้วตอนที่ 3 : การหาเงินนี่มันยากจริงๆ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 5 : นายมีสิทธิ์อะไรมาเลิกจีบฉัน?

ตอนที่ 4 : สาวสวยชอบโกหก


จากสองร้อยกลายเป็นสี่ร้อยหก?

เขาหาเงินมากขนาดนี้ได้ภายในครึ่งวันงั้นเหรอ?

ลุงขายข้าวกล่องรู้สึกละโมบทันที เขายกขากางเกงขึ้นด้วยรอยยิ้มซื่อๆ พร้อมนั่งยองๆ ลงข้างเจียงฉิน กลิ่นน้ำมันและกลิ่นควันที่ตลบไปทั่วร่างกายรอยมาปะทะใบหน้าของเขา ทำให้เจียงฉินรู้สึกมึนงงเล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม เจียงฉินไม่ได้พูดอะไร เขาแค่ขยับไปด้านข้างแล้วหยิบบุหรี่ที่ลุงยื่นให้มาแนบหู

ท่าทางของเขาในเวลานี้ดูไม่เหมือนเด็กที่เพิ่งจบมัธยมปลายเลย แต่เหมือนคนที่ลาออกจากโรงเรียนกลางคันเพื่อมาทำงานหาเงินมากกว่า

“เพื่อน นายช่วยบอกที่อยู่ที่นายเอาข้าวกล่องไปขายหน่อยได้ไหม”

ดูเหมือนว่าเจียงฉินจะคาดการณ์ไว้แล้ว เขาจึงชูสองนิ้วอย่างชำนาญ: “ลุง เอามาก่อนสองร้อยหยวนผมถึงจะบอกที่อยู่ให้”

ดวงตาของลุงเบิกกว้างราวกับฐานระฆังทองแดง สายตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นรู้ทันอย่างกับสายฟ้าแลบ “สองร้อยหยวนงั้นเหรอ ฉันทำงานที่นี่ทั้งวันแทบจะได้ไม่ถึงสองร้อยหยวนด้วยซ้ำ!”

“แต่ถ้าคุณเปลี่ยนที่ คุณก็จะทำเงินได้สี่ร้อยหยวนเลยไม่ใช่เหรอ?”

“ถ้างั้นนายลองบอกมาก่อน เดี๋ยวฉันจะลองคิดดูว่ามันคุ้มหรือเปล่า” ลุงขายข้าวกล่องลังเลนิดหน่อย

“เราเพิ่งไปที่ถนนร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่มา”

“สุดถนนซิงไห่ฝั่งจะวันออก?”

“อืม”

“ฉันก็นึกว่าจะเป็นที่ดีๆ ซะอีก จริงอยู่ว่าที่นั่นธุรกิจดี แต่เจ้าหน้าที่เทศกิจเข้มงวดเกินไป ฉันเคยไปที่นั่นครั้งหนึ่งแล้วรถถูกยึด ตอนนี้ยังไม่ได้คืนเลย”

“ผมยังพูดไม่จบ ถ้าคุณให้ผมสองร้อยหยวนแล้วผมจะพูดต่อ ถ้าเห็นว่าไม่คุ้มผมจะคืนเงินให้คุณ ผมยังเป็นนักเรียนอยู่จะไปโกงคุณได้ไง จริงไหม?” เสียงของเจียงฉินเต็มไปด้วยการล่อลวง

ลุงขายข้าวกล่องลังเลอยู่สักพักแล้วจึงหยิบเงินสองร้อยหยวนออกจากกระเป๋า: “งั้นพูดมา ถ้าไม่คุ้มฉันจะเอาเงินคืน”

เจียงฉินรับเงินสองร้อยหยวนมาแล้วยัดมันเข้าไปในกระเป๋าของเขา: “บนถนนสายนั้นมีร้านล้างเท้าชื่อสุ่ยอวิ๋นเจียนตั้งอยู่ เมื่อคุณเข้าไปจะเจอลานกว้างอยู่ด้านใน ทางหนีไฟของร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ทั้งเจ็ดแห่งล้วนเชื่อมตรงมายังลานกว้างนั้น ให้มองหาคนเฝ้าประตูที่ชอบสูบบุหรี่หงต๋าซาน ที่สำคัญที่นั่นไม่มีตำรวจเทศกิจ”

“ทำไมต้องสนใจคนเฝ้าประตูแก่ๆ ด้วย? เขากล้าดียังไงไม่ให้ฉันเข้าไปขายข้าวกล่อง?”

เจียงฉินยิ้มอย่างสงบ: “เขาเป็นพ่อแท้ๆ ของเถ้าแก่สุ่ยอวิ๋นเจียน เขาไปเป็นคนเฝ้าประตูเพราะไม่อยากอยู่บ้านเฉยๆ”

ลุงขายข้าวกล่องครุ่นคิดอยู่นาน ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็สดใสขึ้น: “เอาล่ะเพื่อน คราวหน้ามากินข้าวกล่องฉันไม่คิดเงิน”

“โอเค”

“นายไปร้านล้างเท้าตั้งแต่อายุยังน้อย อนาคตนายต้องสดใสแน่นอน!”

เจียงฉินยกมือขึ้นทำท่าป้องหมัด: “ขอบคุณ!”

กัวจื่อหังที่อยู่ข้างๆ ตกตะลึงเป็นเวลานาน เขาคว้าไปที่เจียงฉินด้วยมืออันสั่นเทา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอิจฉา: “เหล่าเจียง นายเคยไปสถานที่มหัศจรรย์อย่างร้านล้างเท้ามาแล้วเหรอ”

“ก็แค่เส้นทางที่ลูกผู้ชายทุกคนต้องก้าวผ่านไป”

“ห๊ะ?”

“เอาล่ะ เลิกเขย่าฉันได้แล้ว วันนี้ฉันหาเงินได้เยอะ เดี๋ยวจะเลี้ยงของอร่อยนายเอง”

เจียงฉินลุกขึ้นยืน ปัดก้นแล้วเดินไปตามถนนสายหลักโดยมีเงินเจ็ดร้อยกว่าหยวนอยู่ในมือ

เมื่อมองดูร่างที่ค่อยๆ ห่างออกไปของเขา กัวจื่อหังก็ตกตะลึงเล็กน้อย รู้สึกว่าเพื่อนคนนี้ของเขาราวกับเป็นผู้ใหญ่ที่ผ่านความผันผวนของชีวิตมามากมาย

เขาเป็นเหมือนคนในละครโทรทัศน์ที่เคยดูมาตลอดชีวิต แม้ว่าบนใบหน้าของเขาจะยังคงมีรอยยิ้มหัวเราะและถ้อยคำสบถ แต่ดวงตาของเขากลับลุ่มลึกและเฉียบคมมากราวกับว่าเขาสามารถมองผ่านแก่นแท้ของสิ่งต่างๆ ได้

พวกเขาทำงานหนักมาทั้งเช้า วิ่งขายของจนเหนื่อยหอบแต่ขายได้แค่สามร้อยกว่าหยวนเท่านั้น กำไรก็ยังไม่พอให้ซื้อบุหรี่ด้วยซ้ำ ทว่าเจียงฉินกลับพูดออกมาอย่างกล้าหาญว่าเขาทำเงินได้สี่ร้อยหกสิบหยวน

ประเด็นคือลุงขายข้าวกล่องคนนั้นหน้าตาดูฉลาดมาก แต่สุดท้ายก็โดนหลอกจริงๆ และเขาก็เพิ่งซื้อที่อยู่ไปในราคาสองร้อยหยวน

ความสามารถในการพูดคุยกับผู้ใหญ่โดยไม่แสดงอาการเขินอายเป็นสิ่งที่กัวจื่อหังทำไม่ได้ แม้กระทั่งตอนช่วยแม่ซื้อของชำเขาก็ไม่กล้าต่อราคาด้วยซ้ำ

ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาไม่แม้แต่จะสนใจว่าคำสารภาพรักของตัวเองล้มเหลว

คนในห้องเรียนยังคิดว่าเขาแค่แสร้งทำ เป็นการรักษาศักดิ์ศรีที่น่าสงสารและน่าสมเพชของตัวเอง แต่ตอนนี้เองที่กัวจื่อหังเริ่มเชื่อแล้วว่าเจียงฉินไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้จริงๆ

แต่เมื่อพูดถึงฉู่ซือฉี จิตวิญญาณแห่งการซุบซิบของกัวจื่อหังก็เริ่มกลับมาลุกโชนอีกครั้ง

“เหล่าเจียง เรื่องระหว่างนายกับเทพธิดาฉู่เป็นยังไงบ้าง?”

เจียงฉินหันไปมองเขา “อะไรคือเรื่องระหว่างฉันกับเธอ?”

“นายหลงรักเธอมาตั้งสามปีเชียวนะ จะปล่อยให้มันจบลงแบบนี้เหรอ? แถมเธอยังบอกว่าจะพิจารณาเรื่องนี้หลังจากเข้ามหาวิทยาลัย!” กัวจื่อหังถามต่อ เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมต้องยอมแพ้ตอนนี้ ผ่านวันหยุดฤดูร้อนก็เป็นช่วงเปิดเทอมแล้ว

“เธอพูดว่ามหาวิทยาลัยก็เป็นมหาวิทยาลัยงั้นเหรอ ฉันไม่รอหรอก ถ้าให้เชื่อคำพูดของสาวสวยฉันยอมเชื่อว่าหมูปีนต้นไม้ได้ดีกว่า”

เจียงฉินพูดอย่างไร้ความรู้สึก คำพูดของเขาเต็มไปด้วยการเยาะเย้ยความรัก

การมีความรักจะทำให้การหาเงินล่าช้าลง และการเป็นสุนัขขี้ประจบจะทำให้เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ บทเรียนอันนองเลือดของชีวิตในอดีตก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์มุมมองนี้ ผู้หญิงมีแต่จะส่งผลต่อความเร็วในการหาเงินเท่านั้น ไม่มีประโยชน์อะไรนอกจากนี้

เขาประสบกับความเจ็บปวดจากการแอบชอบใครสักคนในช่วงวัยรุ่นและความสยดสยองของค่าสินสอดมูลค่าสามแสนหยวน ไม่ใช่ว่าเขาไม่สนใจผู้หญิง แต่เขาแค่รู้สึกว่าเขาควรแยกแยะลำดับความสำคัญในชีวิตใหม่

“แต่…มันก็แค่การคาดเดาของนาย บางทีฉู่ซือฉีอาจจะมีแผนคบกับนายทันทีที่เธอเข้ามหาวิทยาลัยก็ได้ นายจะไม่รู้สึกเสียดายเหรอถ้าเลือกยอมแพ้ตอนนี้?”

“เหล่ากัว เมื่อผู้ชายมีความคิดแบบนี้มันก็ไม่ต่างอะไรกับการขังตัวเองไว้ในกรง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรักหรือเรื่องงาน ถ้ามันยังไม่อยู่ในมือนายก็อย่าไปเชื่ออะไรไม่ว่าใครจะพูดยังไงก็ตาม”

สายตาของเจียงฉินลึกซึ้งขึ้นเล็กน้อย เขาพลันนึกถึงคำสัญญาที่ได้รับเมื่อตอนเข้าทำงานใหม่ๆ

เงินปันผลจากโครงการ หุ้นบริษัท ค่าเดินทางไปต่างประเทศ เงินช่วยเหลือสมาชิกในครอบครัว นี่ก็เหมือนกับที่ฉู่ซือฉีบอกว่าถ้าเขาทุ่มเทมากกว่านี้เธอจะยอมคบกับเขา มันล้วนเป็นเหมือนตำนานที่ทุกคนรู้จักแต่ไม่เคยมีใครเห็นกับตา

ถ้าจะหวังพึ่งสิ่งที่เป็นตำนาน ควรไปหวังกับแสงสว่างจะดีกว่า

เมื่อเขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เจียงฉินก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงอุลตร้าแมนทีก้า อะไรคือฮีโร่แห่งจักรวาล เขามันก็แค่ไอ้คนขี้โกง

ในตอนนั้นเขายืมแสงสว่างของตัวเองมาสู้กับกาตาโนซอร์ แล้วก็หนีไปอย่างรวดเร็ว ผลก็คืออนาคตของตัวเองมืดมน และชายคนนี้ไม่ได้พูดถึงการคืนแสงสว่างให้ตัวเองด้วยซ้ำ

อย่าเป็นสุนัขขี้ประจบในเรื่องใดๆ และอย่าเป็นสัตว์เลี้ยงของบริษัท การพยายามหาเงินอย่างหนักคือหนทางที่ถูกต้องของชีวิต

ในเวลาเดียวกัน ทันใดนั้นกัวจื่อหังก็เริ่มเกาหัวอย่างหนักพลางส่งเสียงฟู่อยู่ในปาก

เจียงฉินรู้สึกแปลกและอดไม่ได้ที่จะมองเขาสองสามครั้ง

“นายเป็นอะไรไป? ตอนออกมาข้างนอกไม่ได้สระผมหรือไง?”

“เปล่า ฉันแค่รู้สึกว่าหลังจากฟังสิ่งที่นายพูดแล้ว สมองในหัวดูเหมือนจะมีขนาดใหญ่ขึ้น”

“?????”

ตอนบ่ายสี่โมง เจียงฉินและกัวจื่อหังเดินออกจากร้านอาหารด้วยกระเพาะที่เต็มไปด้วยเหล้าและอาหาร

อย่างไรก็ตาม กัวจื่อหังยังคงไม่สามารถลืมสถานที่เช่นบาร์ได้และต้องการขอให้เจียงฉินพาเขาไปสัมผัสประสบการณ์นั้น แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้ก้าวไปไม่กี่ก้าว ร่างที่คุ้นเคยสองคนก็ปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา

คนหนึ่งคือหวังฮุ่ยหรู ตัวแทนคณิตศาสตร์ในชั้นเรียน และอีกคนคือฉู่ซือฉี สาวสวยประจำชั้นเรียน

หญิงสาวทั้งสองคนกำลังเดินออกมาจากถนนคนเดิน คนหนึ่งถือไส้กรอกแฮม ส่วนอีกคนถือถังหูลู่   

อากาศอบอ้าวในฤดูร้อนทำให้พวกเธอเหงื่อออกเล็กน้อย แม้แต่ผมบนหน้าผากก็ยังเปียกชุ่ม ใบหน้าเล็กๆ ของพวกเธอกลายเป็นสีชมพูเนื่องจากความร้อน และการหายใจเข้าออกอย่างถี่ๆ ทำให้หน้าอกที่เริ่มพัฒนาขยับขึ้นลงอย่างเห็นได้ชัด

หวังฮุ่ยหรูดูหน้าตาจิ้มลิ้ม มีความอ่อนหวานแบบสาวบ้านๆ เวลายิ้มจะมีลักยิ้มเล็กๆ ขึ้นที่แก้มสองข้าง เธอใส่กางเกงยีนส์ขาสั้นแบบมีสายเอี๊ยม ดูเป็นวัยรุ่นมีชีวิตชีวาและสดใส ถ้ามาคนเดียวถือเป็นผู้หญิงที่สวยคนหนึ่งเลย แต่พออยู่ข้างๆ ฉู่ซือฉีก็ดูด้อยกว่านิดหน่อย

วันนี้ฉู่ซือฉีสวมชุดเดรสยาวสีเบจ โดยปลายกระโปรงห้อยลงมาถึงหัวเข่า ดวงตาของเธอดูเฉลียวฉลาดและสดใส ใบหน้าดูงดงาม ริมฝีปากแดงอิ่ม สีผิวขาวผ่องราวหิมะ ทำให้หวังฮุ่ยหรูที่อยู่ข้างๆ ดูเหมือนเป็นเพียงตัวประกอบ

เมื่อทั้งสี่คนพบกัน คนแรกที่ตอบสนองคือหวังฮุ่ยหรูที่มองตรงไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา เธอรีบยกมือขึ้นเอ่ยทักทายทันที

“เจียงฉิน กัวจื่อหัง ทำไมพวกนายถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ?”

เมื่อได้ยินใครบางคนเอ่ยเรียกเขา เจียงฉินก็เงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว และดวงตาของเขาก็บังเอิญไปสะดุดกับร่างของฉู่ซือฉีในฝูงชนที่พลุกพล่าน

จากนั้นเขาก็หุบยิ้มและหันศีรษะหนีอย่างไม่แยแส

อาจเป็นเพราะความทรงจำในชีวิตที่แล้วของเขา เจียงฉินจึงมีมุมมองของพระเจ้าเสมอเมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ดังนั้นเขาจึงไม่ชอบฉู่ซือฉีจากใจจริง

แต่ด้วยวิญญาณของชายวัยเกือบสี่สิบปีได้ทำให้เขามีความเป็นผู้ใหญ่และความมั่นคงเพียงพอที่จะป้องกันไม่ให้เขาหันหลังกลับและจากไปทันที ทว่ามันก็มีเพียงแค่นี้

(จบตอน)

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด