ตอนที่แล้วตอนที่ 2 : ภารกิจของการเกิดใหม่คือการหาเงิน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 4 : สาวสวยชอบโกหก

ตอนที่ 3 : การหาเงินนี่มันยากจริงๆ


หลังออกจากชุมชนที่พลุกพล่าน เจียงฉินก็ตรงไปที่บ้านของเขา

อพาร์ทเมนต์สามห้องนอนขนาด 120 ตารางเมตร พร้อมด้วยห้องนั่งเล่นทางด้านซ้ายและห้องครัวทางด้านขวา ถือเป็นความทรงจำที่สวยงามเกือบทั้งหมดของเจียงฉิน

คุณหยวนโหย่วฉิน มารดาผู้ให้กำเนิดเขากำลังทำอาหารในชุดผ้ากันเปื้อน เธอสับปังตอลงไปที่เขียงด้วยเสียงที่ดังที่สุดเท่าที่จะทำได้

เจียงเจิ้งหง พ่อของเขากำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนโซฟาพร้อมกับฮัมเพลง “ก้อนเมฆแห่งบ้านเกิด” ในขณะที่รองเท้าแตะไกวไปมาอยู่ที่ปลายเท้า

เมื่อสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่คุ้นเคย เจียงฉินก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

หลังจากลอยเคว้งมาหลายปี เขายังคงเป็นจอกแหนที่ไร้ราก รากที่คอยค้ำจุนเขาจริงๆ นั้นอยู่ที่นี่ ดังนั้นที่นี่จึงเป็นบ้านที่ไม่มีที่ไหนมาแทนที่ได้

โดยเฉพาะจู่ๆ การได้เห็นพ่อกับแม่ที่ยังอายุไม่มาก มันช่างน่าทึ่งจริงๆ

“ผมกลับมาแล้ว!”  

เจียงเจิ้งหงหรี่ตาลงพร้อมกับมองมาที่เขา: “แกสอบเสร็จแล้วเหรอ?”

คุณหยวนโหย่วฉินเองก็แฉลบหัวออกมาจากห้องครัวเช่นกัน: “เป็นไงบ้างลูก ทำได้ไหม?”

“ขาข้างหนึ่งเหยียบเข้าไปในธรณีประตูแล้ว”   

“เจ้าเด็กนี่ พูดจาโอ้อวดขนาดนี้ เชื่อได้หรือเปล่า?” คุณหยวนโหย่วฉินมองเขาด้วยความสงสัย

เจียงเจิ้งหงสนับสนุนลูกชาย: “กล้าพูดโอ้อวดขนาดนี้ก็แสดงว่าคงมั่นใจอยู่บ้างแล้วล่ะ คืนนี้เรามาดื่มฉลองกันให้เต็มที่เลยดีกว่า!”

เจียงฉินโบกมือและปฏิเสธตรงๆ: “พ่อครับ ผมลองคิดเรื่องนี้แล้ว ผมอยากจะเริ่มต้นธุรกิจในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน ผมไม่อยากเสียเวลาไปเปล่าประโยชน์”

“เริ่มต้นธุรกิจ?”

“แค่อยากหาเงิน”

คุณหยวนโหย่วฉินคิดอยู่ครู่หนึ่ง: “งั้นหลังมื้อเย็นลูกมาล้างจาน ชามให้ห้าหยวน ส่วนหม้อให้สิบหยวน”

เจียงฉินถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้โต้แย้งอะไร: “แม่ให้ผมล้างหม้อล้างจานก็ได้ แต่ช่วยเพิ่มเงินให้ผมอีกสามร้อยหยวนได้ไหม?”

หลังจากได้ยินสิ่งนี้เจียงเจิ้งหงก็เงยหน้าขึ้นมาทันที: “มีเรื่องดีๆ แบบนี้ด้วยเหรอ? งั้นฉันก็จะทำเหมือนกัน!”

“ไปๆ ไปไกลๆ เลย สามร้อยก็พอให้ฉันซื้อเสื้อผ้าใหม่ได้ตั้งชุดหนึ่ง ฉันล้างหม้อแถมยังทำกับข้าวทุกวันไม่เห็นมีใครให้เงินสามร้อยกับฉันเลย ไปล้างมือแล้วมากินข้าวซะ!”

“เฮ้อ.. ธุรกิจฉันเจ๊งก่อนที่จะเริ่มซะอีก”

เจียงฉินถอนหายใจด้วยความเศร้า ล้างมือแล้วกลับไปที่โต๊ะเพื่อกินข้าวกับพ่อแม่

ก่อนเข้านอน หยวนโหย่วฉินเดินออกจากห้องแล้วยัดแผ่นกระดาษรูปเหมาเจ๋อตงห้าใบใส่ไว้ในมือเขา

ที่จริงแล้ว คุณหยวนรู้ดีว่าการเรียนจบชั้นมัธยมปลายนั้นก็เหมือนกับม้าที่ถูกปลดบังเหียน การไปเที่ยวหรือสังสรรค์ในงานรวมตัวของชั้นเรียนล้วนต้องใช้เงิน ที่เธอบอกว่าจะให้ค่าจ้างห้าหยวนสำหรับการล้างจานนั้นเป็นแค่การพูดเล่นๆ ทำทีเป็นเข้มงวดไปงั้นๆ

เมื่อมองดูเงินห้าร้อยในมือของเขา เจียงฉินก็รู้สึกเศร้าเล็กน้อย

ทุนเริ่มต้นของนักธุรกิจรายใหญ่คนไหนบ้างมีแค่ห้าร้อย แต่ห้าร้อยก็คือห้าร้อย ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย

“คุณหยวน จากนี้ไปคุณคือแม่ของท่านประธาน!”

“แค่ได้เป็นผู้จัดการทั่วไปฉันก็พอใจแล้วล่ะ แล้วก็ ตอนเที่ยงแม่ฝากลุงสามไปถามให้แล้ว อีกสองสามวันลูกจะไปเรียนขับรถที่โรงเรียนสอนขับรถเจิ้งฟางไหม?”

“เรื่องเรียนขับรถไว้ค่อยว่ากัน ช่วงนี้ผมมีเรื่องสำคัญต้องทำ”

เจียงฉินรับเงินแล้วกลับไปที่ห้องนอน เปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมาหาหมายเลข QQ ของกัวจื่อหัง จากนั้นก็บอกให้เขาไปเจอกันที่ถนนใจกลางเมืองพรุ่งนี้เช้า

กัวจื่อหังถามเขาว่าจะไปทำอะไร แต่เจียงฉินไม่ได้บอกตรงๆ เขาแค่บอกว่าตอนนี้มีเงินอยู่ห้าร้อยหยวน แล้วเจ้าคนโลภนั่นก็เรียกเขาว่าลูกพี่ทันที

หลังจากตกลงแผนการสำหรับพรุ่งนี้เรียบร้อยแล้ว เจียงฉินก็เปิดไป่ตู้ขึ้นมาและวางแผนที่จะอ่านข่าวออนไลน์ โดยพยายามปลุกความทรงจำบางอย่างเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญๆ เช่น การรื้อถอนและการปรับปรุงเมือง การเปลี่ยนแปลงนโยบาย สถานการณ์ตลาดหุ้น และราคาสินค้าที่พุ่งสูงเกินจริง เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการทำกำไร

แต่ก่อนที่หน้าเว็บจะโหลดเสร็จ สายตาของเขาก็หยุดอยู่ที่รายชื่อเพื่อน QQ ในคอมพิวเตอร์

ช่องแชทของฉู่ซือฉีถูกปักหมุดไว้ด้านบนเลยเหรอ?

เจียงฉินเลื่อนเคอร์เซอร์เมาส์ไปที่มันแล้วกดยกเลิกปักหมุดโดยตรง ทั้งยังล็อคคิวโซนของเขาด้วย พร้อมกันนั้นก็จัดการเปลี่ยนรูปโปรโฟล์แปลกๆ ของตัวเองใหม่

หลังจากทำสิ่งเหล่านี้เสร็จเขาก็ไปดูที่สถานะส่วนตัว และเพียงแค่เหลือบมองครั้งเดียวเขาก็สามารถวิเคราะห์ถึงรายละเอียดชีวิตส่วนตัวทั้งหมดได้ทันที เหมือนกับการดูบ้านสามห้องนอนหนึ่งห้องนั่งเล่น

[ฉันรักเธอ แล้วเธอจะทำไม?]  

โคตรน่าอาย เจียงฉินถึงกับยกมือขึ้นตบหน้าผากแล้วรีบลบมันออก จากนั้นก็แทนที่มันด้วยข้อความจากเพลงที่เคยฟัง

หลังจากที่เปลี่ยนสถานะแล้วเจียงฉินก็พบว่าฉู่ซือฉีที่รูปโปรไฟล์เป็นสีเทาเมื่อครู่จู่ๆ ก็ออนไลน์ขึ้นมา จากนั้นรูปโปรไฟล์ของเธอก็กระพริบซึ่งชัดเจนว่ามีการส่งข้อความมาหา

ดังนั้นเขาจึงเปิดมันขึ้นมาดูอย่างไม่คิดอะไร แล้วก็ปิดมันไปโดยไม่สนใจเลย

อีกฝ่ายถามเขาว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงล็อคคิวโซนและสั่งให้เขารีบเปิดมันออก โดยบอกว่าเธอจะเข้ามาดูคิวโซนของเขา

ยังจะเข้ามาดูคิวโซนของฉันอีกงั้นเหรอ? ฉันไม่ได้ยินประโยคโบราณแบบนี้มาหลายปีแล้ว เธอคงจะไม่ทิ้งอะไรไว้ในคิวโซนของคนอื่นใช่ไหม?

เช้าวันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าแจ่มใส พระอาทิตย์ดูอบอุ่น สายลมเองก็อ่อนโยน

เจียงฉินขี่จักรยานออกจากบ้านและมาที่ถนนคนเดินของถนนผิงหยางตะวันออก

ถนนสายนี้ถือเป็นถนนคนเดินที่คึกคักที่สุดในเมืองจี้โจว ก่อนที่จะมีการปรับปรุงตลาดเก่าให้แล้วเสร็จ ที่นี่เคยเป็นทำเลทองที่พ่อค้าแม่ค้าหลายรายมาแย่งกันตั้งร้านค้า แต่เพราะการแข่งขันสูงมากจึงเกิดเป็นสงครามกดราคา ทำให้สินค้าที่นี่กลับมีราคาที่ค่อนข้างถูกแทน

เนื่องจากกัวจื่อหังเอาแต่คิดถึงเงินห้าร้อยในกระเป๋าของเจียงฉินเขาจึงปั่นจักรยานเร็วมาก พอมาถึงสถานที่นัดพบเขาก็เหงื่อท่วมไปทั้งตัวแล้ว

“พี่เจียง นายจะใช้เงินห้าร้อยหยวนในกระเป๋ายังไง ฉันยังไม่เคยไปที่บาร์เลย ทำไมเราไม่ลองไปสัมผัสบรรยากาศมันดูล่ะ!”

“หยุดพูดเรื่องไร้ประโยชน์นั่นได้แล้ว เห็นลุงขายข้าวกล่องนั่นไหม ไปถามดูสิว่าข้าวกล่องราคาเท่าไหร่”

กัวจื่อหังมองไปตามนิ้วของเจียงฉิน ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็ซีดเผือดทันที: “เที่ยงนี้เราจะกินข้าวกล่องกันงั้นเหรอ?”

เจียงฉินหรี่ตาลงและไม่ได้ตอบตรงๆ: “ไปถามมาก่อน ไม่ต้องห่วง ฉันจะไม่ปฏิบัตต่อนายไม่ดีแน่นอน”

“โอ้”

กัวจื่อหังเดินไปถามราคาอย่างเซ็งๆ ดูเหมือนว่าราคาข้าวกล่องในปี 2008 จะยังไม่สูงมากนัก ข้าวกล่องที่มีมันฝรั่งเส้นผัดราคาสองหยวน ข้าวกล่องที่มีเนื้อสับราคาสามหยวน น่องไก่กับมันฝรั่งเส้นผัดอยู่ที่ห้าหยวน และน่องไก่กับไข่ดาวอยู่ที่หกหยวน

เจียงฉินมองดูเวลา คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโยนเงินสองร้อยหยวนให้เถ้าแก่ แล้วบอกว่าไม่ต้องถามอะไรมาก แค่ทำตามที่บอกก็พอ

จากนั้นเขาก็หากล่องกระดาษแข็งมาสองแบบ ใส่ข้าวกล่องที่เตรียมไว้ลงไป แล้วพากัวจื่อหังไปที่ถนนซึ่งมีร้านอินเทอร์เน็ตตั้งอยู่

เจียงฉินผลักประตูร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่แห่งหนึ่งออกแล้วหยิบบุหรี่อวี้ซีที่ซื้อมาจากข้างทางมอบให้ผู้ดูแลร้าน จากนั้นก็เริ่มขายข้าวกล่องของตัวเอง พวกหนอนอินเทอร์เน็ตที่ออนไลน์มาตลอดทั้งคืนตอนนี้หิวมากจนไม่อยากเดินออกไปกินข้าวข้างนอก พอเห็นข้าวกล่องมาส่งถึงที่ก็พากันน้ำลายแตกทันที

แม้ว่าข้าวกล่องจะไม่ได้ดูน่ากินอะไร แต่มันก็ดีกว่ากินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปใช่ไหมล่ะ?

ดังนั้นกล่องสองหยวนจึงขายได้สี่หยวน กล่องห้าหยวนขายได้เจ็ดหยวน และกล่องหกหยวนขายได้เก้าหยวน สุดท้ายเหลือแค่สองกล่องที่มีน่องไก่กับไข่ดาวเท่านั้น ที่เหลือขายหมดเกลี้ยง

ตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าถึงบ่ายโมงทั้งสองคนกลับไปกลับมาสามครั้ง เปลี่ยนร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ไปห้าแห่งและราคาก็เพิ่มขึ้นจากเดิมสองเท่า

กัวจื้อหังเหนื่อยจนหอบเหมือนหมา บนหน้าผากมีเหงื่อไหลย้อยลงมา

แผ่นหลังของเจียงฉินเองก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อเช่นกัน เขานั่งยองๆ อยู่ข้างถนน เช็ดเหงื่อพร้อมกับนับเงิน

ข้าวกล่องสองร้อยหยวนขายได้ในราคาสามร้อยเจ็ดสิบแปดหยวน และข้าวกล่องที่เหลือแค่สองกล่องในตอนท้ายก็เพียงพอสำหรับคนทั้งสอง

จริงๆ แล้วเขาไม่ได้ทำเพื่อหาเงิน ที่ทำไปก็เพราะอยากจะให้ความคิดตัวเองชัดเจนขึ้นแค่นั้น ตอนนี้ดูเหมือนว่าความคิดของเขาจะถูกต้อง สามารถทำเงินได้ แต่ปัญหาคือกำไรยังน้อยเกินไป

อย่างไรก็ตาม เจียงฉินไม่ได้ผิดหวัง คุณต้องการทำกำไรเท่าไหร่ด้วยเงินทุนแค่สองร้อย?

จะให้ถึงหมื่นมันก็คงเป็นไปไม่ได้หรอก

ก่อนจะเกิดใหม่เขาไม่เคยทำธุรกิจเลย ดังนั้นที่เขาทำในวันนี้ก็เพียงเพื่อสัมผัสประสบการณ์การทำเงินเท่านั้น

แต่พูดตามตรงเขารู้สึกว่ามันขาดทุนนิดหน่อย อย่างบุหรี่อวี้ซีแค่อย่างเดียวก็ใช้ไปถึงห้ากล่องแล้ว เท่ากับว่าลงทุนไปแล้วร้อยหยวน ทั้งยังต้องเสียเวลาอีกครึ่งวัน ประเด็นคือพวกเขาทั้งสองเหนื่อยจนหอบเหมือนหมาแต่ได้กำไรมาแค่เจ็ดสิบกว่าหยวนเท่านั้น

แต่จะเป็นยังไงถ้าเงินทุนเยอะขึ้น แล้วถ้าใช้วัตถุดิบดีๆ ล่ะ? ได้เยอะกว่าเดิมเป็นสองเท่าจากเจ็ดสิบแปดก็ถือว่าใช้ได้เลย

เจียงฉินหยิบเหรียญสิบหยวนออกมาห้าเหรียญแล้วยื่นให้กัวจื่อหัง เจ้าเหรียญสุนัข[1]คนนี้หยุดตะโกนทันทีว่าเขาโคตรเบื่อ เขากำเงินไว้แล้วตะโกนซ้ำๆ ว่า “ขอบคุณลูกพี่”

“ลูกพี่ พรุ่งนี้นายจะทำอะไรต่อ?”

“บัดซบ ฉันเหนื่อยแทบจะตายอยู่แล้ว หาเงินได้เจ็ดสิบแปดแบ่งให้นายห้าสิบ เงินที่เหลือก็พอให้ซื้อบุหรี่ได้ซองเดียวเอง”

เจียงฉินกำลังสบถ แต่จริงๆ แล้วในใจเขากำลังคิดถึงวิธีหาถังทองคำ[2]ใบแรกอยู่

ฉันจะไปหาถังทองคำใบแรกได้ที่ไหน?

พวกเหรียญสุนัขที่เกิดใหม่ในนิยายออนไลน์สามารถทำธุรกิจขนาดใหญ่ได้อย่างง่ายดาย แต่พอเป็นฉันทำไมถึงไม่เป็นแบบนั้นบ้างล่ะ?

หากเป็นไปไม่ได้จริงๆ ฉันก็จะกลับไปชักชวนให้ทั้งคู่ขายบ้านแล้วเอาไปลงทุนใน Bitcoin พร้อมทั้งซื้อเหมาไถตุนไว้

ในขณะนั้นเอง ลุงขายข้าวกล่องถือตะหลิวเดินเข้ามา ก่อนอื่นเขาจ้องมองไปที่เจียงฉิน จากนั้นก็เข้ามาใกล้ด้วยท่าทางลึกลับพร้อมกับยื่นบุหรี่ไป๋เจียงจวินให้มวนหนึ่ง

“ข้าวกล่องราคาสองร้อยหยวนนายขายได้เท่าไหร่?”

เจียงฉินรับบุหรี่มาแล้วเงยหน้าขึ้นอย่างสงบ: “สี่ร้อยหก”

กัวจื่อหังตกตะลึงไปครู่หนึ่ง มันสามร้อยแปดสิบไม่ใช่เหรอ?

แต่เมื่อเห็นท่าทางที่สงบและเยือกเย็นของเจียงฉินเขาก็ไม่กล้าพูดอะไร แค่กลืนน้ำลายก่อนจะก้มหน้าลงเงียบๆ

(จบตอน)

[1] เหรียญสุนัข เป็นคำแสลงของจีน หมายถึงสิ่งของไร้ค่า ใช้พูดในเชิงดูถูกเสียดสี

[2] ถังทองคำ หมายถึง เงินก้อนแรก หรือเงินที่ได้จากการลงทุนครั้งแรก

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด