ตอนที่ 3 : การหาเงินนี่มันยากจริงๆ
หลังออกจากชุมชนที่พลุกพล่าน เจียงฉินก็ตรงไปที่บ้านของเขา
อพาร์ทเมนต์สามห้องนอนขนาด 120 ตารางเมตร พร้อมด้วยห้องนั่งเล่นทางด้านซ้ายและห้องครัวทางด้านขวา ถือเป็นความทรงจำที่สวยงามเกือบทั้งหมดของเจียงฉิน
คุณหยวนโหย่วฉิน มารดาผู้ให้กำเนิดเขากำลังทำอาหารในชุดผ้ากันเปื้อน เธอสับปังตอลงไปที่เขียงด้วยเสียงที่ดังที่สุดเท่าที่จะทำได้
เจียงเจิ้งหง พ่อของเขากำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนโซฟาพร้อมกับฮัมเพลง “ก้อนเมฆแห่งบ้านเกิด” ในขณะที่รองเท้าแตะไกวไปมาอยู่ที่ปลายเท้า
เมื่อสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่คุ้นเคย เจียงฉินก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
หลังจากลอยเคว้งมาหลายปี เขายังคงเป็นจอกแหนที่ไร้ราก รากที่คอยค้ำจุนเขาจริงๆ นั้นอยู่ที่นี่ ดังนั้นที่นี่จึงเป็นบ้านที่ไม่มีที่ไหนมาแทนที่ได้
โดยเฉพาะจู่ๆ การได้เห็นพ่อกับแม่ที่ยังอายุไม่มาก มันช่างน่าทึ่งจริงๆ
“ผมกลับมาแล้ว!”
เจียงเจิ้งหงหรี่ตาลงพร้อมกับมองมาที่เขา: “แกสอบเสร็จแล้วเหรอ?”
คุณหยวนโหย่วฉินเองก็แฉลบหัวออกมาจากห้องครัวเช่นกัน: “เป็นไงบ้างลูก ทำได้ไหม?”
“ขาข้างหนึ่งเหยียบเข้าไปในธรณีประตูแล้ว”
“เจ้าเด็กนี่ พูดจาโอ้อวดขนาดนี้ เชื่อได้หรือเปล่า?” คุณหยวนโหย่วฉินมองเขาด้วยความสงสัย
เจียงเจิ้งหงสนับสนุนลูกชาย: “กล้าพูดโอ้อวดขนาดนี้ก็แสดงว่าคงมั่นใจอยู่บ้างแล้วล่ะ คืนนี้เรามาดื่มฉลองกันให้เต็มที่เลยดีกว่า!”
เจียงฉินโบกมือและปฏิเสธตรงๆ: “พ่อครับ ผมลองคิดเรื่องนี้แล้ว ผมอยากจะเริ่มต้นธุรกิจในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน ผมไม่อยากเสียเวลาไปเปล่าประโยชน์”
“เริ่มต้นธุรกิจ?”
“แค่อยากหาเงิน”
คุณหยวนโหย่วฉินคิดอยู่ครู่หนึ่ง: “งั้นหลังมื้อเย็นลูกมาล้างจาน ชามให้ห้าหยวน ส่วนหม้อให้สิบหยวน”
เจียงฉินถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้โต้แย้งอะไร: “แม่ให้ผมล้างหม้อล้างจานก็ได้ แต่ช่วยเพิ่มเงินให้ผมอีกสามร้อยหยวนได้ไหม?”
หลังจากได้ยินสิ่งนี้เจียงเจิ้งหงก็เงยหน้าขึ้นมาทันที: “มีเรื่องดีๆ แบบนี้ด้วยเหรอ? งั้นฉันก็จะทำเหมือนกัน!”
“ไปๆ ไปไกลๆ เลย สามร้อยก็พอให้ฉันซื้อเสื้อผ้าใหม่ได้ตั้งชุดหนึ่ง ฉันล้างหม้อแถมยังทำกับข้าวทุกวันไม่เห็นมีใครให้เงินสามร้อยกับฉันเลย ไปล้างมือแล้วมากินข้าวซะ!”
“เฮ้อ.. ธุรกิจฉันเจ๊งก่อนที่จะเริ่มซะอีก”
เจียงฉินถอนหายใจด้วยความเศร้า ล้างมือแล้วกลับไปที่โต๊ะเพื่อกินข้าวกับพ่อแม่
ก่อนเข้านอน หยวนโหย่วฉินเดินออกจากห้องแล้วยัดแผ่นกระดาษรูปเหมาเจ๋อตงห้าใบใส่ไว้ในมือเขา
ที่จริงแล้ว คุณหยวนรู้ดีว่าการเรียนจบชั้นมัธยมปลายนั้นก็เหมือนกับม้าที่ถูกปลดบังเหียน การไปเที่ยวหรือสังสรรค์ในงานรวมตัวของชั้นเรียนล้วนต้องใช้เงิน ที่เธอบอกว่าจะให้ค่าจ้างห้าหยวนสำหรับการล้างจานนั้นเป็นแค่การพูดเล่นๆ ทำทีเป็นเข้มงวดไปงั้นๆ
เมื่อมองดูเงินห้าร้อยในมือของเขา เจียงฉินก็รู้สึกเศร้าเล็กน้อย
ทุนเริ่มต้นของนักธุรกิจรายใหญ่คนไหนบ้างมีแค่ห้าร้อย แต่ห้าร้อยก็คือห้าร้อย ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
“คุณหยวน จากนี้ไปคุณคือแม่ของท่านประธาน!”
“แค่ได้เป็นผู้จัดการทั่วไปฉันก็พอใจแล้วล่ะ แล้วก็ ตอนเที่ยงแม่ฝากลุงสามไปถามให้แล้ว อีกสองสามวันลูกจะไปเรียนขับรถที่โรงเรียนสอนขับรถเจิ้งฟางไหม?”
“เรื่องเรียนขับรถไว้ค่อยว่ากัน ช่วงนี้ผมมีเรื่องสำคัญต้องทำ”
เจียงฉินรับเงินแล้วกลับไปที่ห้องนอน เปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมาหาหมายเลข QQ ของกัวจื่อหัง จากนั้นก็บอกให้เขาไปเจอกันที่ถนนใจกลางเมืองพรุ่งนี้เช้า
กัวจื่อหังถามเขาว่าจะไปทำอะไร แต่เจียงฉินไม่ได้บอกตรงๆ เขาแค่บอกว่าตอนนี้มีเงินอยู่ห้าร้อยหยวน แล้วเจ้าคนโลภนั่นก็เรียกเขาว่าลูกพี่ทันที
หลังจากตกลงแผนการสำหรับพรุ่งนี้เรียบร้อยแล้ว เจียงฉินก็เปิดไป่ตู้ขึ้นมาและวางแผนที่จะอ่านข่าวออนไลน์ โดยพยายามปลุกความทรงจำบางอย่างเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญๆ เช่น การรื้อถอนและการปรับปรุงเมือง การเปลี่ยนแปลงนโยบาย สถานการณ์ตลาดหุ้น และราคาสินค้าที่พุ่งสูงเกินจริง เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการทำกำไร
แต่ก่อนที่หน้าเว็บจะโหลดเสร็จ สายตาของเขาก็หยุดอยู่ที่รายชื่อเพื่อน QQ ในคอมพิวเตอร์
ช่องแชทของฉู่ซือฉีถูกปักหมุดไว้ด้านบนเลยเหรอ?
เจียงฉินเลื่อนเคอร์เซอร์เมาส์ไปที่มันแล้วกดยกเลิกปักหมุดโดยตรง ทั้งยังล็อคคิวโซนของเขาด้วย พร้อมกันนั้นก็จัดการเปลี่ยนรูปโปรโฟล์แปลกๆ ของตัวเองใหม่
หลังจากทำสิ่งเหล่านี้เสร็จเขาก็ไปดูที่สถานะส่วนตัว และเพียงแค่เหลือบมองครั้งเดียวเขาก็สามารถวิเคราะห์ถึงรายละเอียดชีวิตส่วนตัวทั้งหมดได้ทันที เหมือนกับการดูบ้านสามห้องนอนหนึ่งห้องนั่งเล่น
[ฉันรักเธอ แล้วเธอจะทำไม?]
โคตรน่าอาย เจียงฉินถึงกับยกมือขึ้นตบหน้าผากแล้วรีบลบมันออก จากนั้นก็แทนที่มันด้วยข้อความจากเพลงที่เคยฟัง
หลังจากที่เปลี่ยนสถานะแล้วเจียงฉินก็พบว่าฉู่ซือฉีที่รูปโปรไฟล์เป็นสีเทาเมื่อครู่จู่ๆ ก็ออนไลน์ขึ้นมา จากนั้นรูปโปรไฟล์ของเธอก็กระพริบซึ่งชัดเจนว่ามีการส่งข้อความมาหา
ดังนั้นเขาจึงเปิดมันขึ้นมาดูอย่างไม่คิดอะไร แล้วก็ปิดมันไปโดยไม่สนใจเลย
อีกฝ่ายถามเขาว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงล็อคคิวโซนและสั่งให้เขารีบเปิดมันออก โดยบอกว่าเธอจะเข้ามาดูคิวโซนของเขา
ยังจะเข้ามาดูคิวโซนของฉันอีกงั้นเหรอ? ฉันไม่ได้ยินประโยคโบราณแบบนี้มาหลายปีแล้ว เธอคงจะไม่ทิ้งอะไรไว้ในคิวโซนของคนอื่นใช่ไหม?
เช้าวันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าแจ่มใส พระอาทิตย์ดูอบอุ่น สายลมเองก็อ่อนโยน
เจียงฉินขี่จักรยานออกจากบ้านและมาที่ถนนคนเดินของถนนผิงหยางตะวันออก
ถนนสายนี้ถือเป็นถนนคนเดินที่คึกคักที่สุดในเมืองจี้โจว ก่อนที่จะมีการปรับปรุงตลาดเก่าให้แล้วเสร็จ ที่นี่เคยเป็นทำเลทองที่พ่อค้าแม่ค้าหลายรายมาแย่งกันตั้งร้านค้า แต่เพราะการแข่งขันสูงมากจึงเกิดเป็นสงครามกดราคา ทำให้สินค้าที่นี่กลับมีราคาที่ค่อนข้างถูกแทน
เนื่องจากกัวจื่อหังเอาแต่คิดถึงเงินห้าร้อยในกระเป๋าของเจียงฉินเขาจึงปั่นจักรยานเร็วมาก พอมาถึงสถานที่นัดพบเขาก็เหงื่อท่วมไปทั้งตัวแล้ว
“พี่เจียง นายจะใช้เงินห้าร้อยหยวนในกระเป๋ายังไง ฉันยังไม่เคยไปที่บาร์เลย ทำไมเราไม่ลองไปสัมผัสบรรยากาศมันดูล่ะ!”
“หยุดพูดเรื่องไร้ประโยชน์นั่นได้แล้ว เห็นลุงขายข้าวกล่องนั่นไหม ไปถามดูสิว่าข้าวกล่องราคาเท่าไหร่”
กัวจื่อหังมองไปตามนิ้วของเจียงฉิน ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็ซีดเผือดทันที: “เที่ยงนี้เราจะกินข้าวกล่องกันงั้นเหรอ?”
เจียงฉินหรี่ตาลงและไม่ได้ตอบตรงๆ: “ไปถามมาก่อน ไม่ต้องห่วง ฉันจะไม่ปฏิบัตต่อนายไม่ดีแน่นอน”
“โอ้”
กัวจื่อหังเดินไปถามราคาอย่างเซ็งๆ ดูเหมือนว่าราคาข้าวกล่องในปี 2008 จะยังไม่สูงมากนัก ข้าวกล่องที่มีมันฝรั่งเส้นผัดราคาสองหยวน ข้าวกล่องที่มีเนื้อสับราคาสามหยวน น่องไก่กับมันฝรั่งเส้นผัดอยู่ที่ห้าหยวน และน่องไก่กับไข่ดาวอยู่ที่หกหยวน
เจียงฉินมองดูเวลา คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโยนเงินสองร้อยหยวนให้เถ้าแก่ แล้วบอกว่าไม่ต้องถามอะไรมาก แค่ทำตามที่บอกก็พอ
จากนั้นเขาก็หากล่องกระดาษแข็งมาสองแบบ ใส่ข้าวกล่องที่เตรียมไว้ลงไป แล้วพากัวจื่อหังไปที่ถนนซึ่งมีร้านอินเทอร์เน็ตตั้งอยู่
เจียงฉินผลักประตูร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่แห่งหนึ่งออกแล้วหยิบบุหรี่อวี้ซีที่ซื้อมาจากข้างทางมอบให้ผู้ดูแลร้าน จากนั้นก็เริ่มขายข้าวกล่องของตัวเอง พวกหนอนอินเทอร์เน็ตที่ออนไลน์มาตลอดทั้งคืนตอนนี้หิวมากจนไม่อยากเดินออกไปกินข้าวข้างนอก พอเห็นข้าวกล่องมาส่งถึงที่ก็พากันน้ำลายแตกทันที
แม้ว่าข้าวกล่องจะไม่ได้ดูน่ากินอะไร แต่มันก็ดีกว่ากินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปใช่ไหมล่ะ?
ดังนั้นกล่องสองหยวนจึงขายได้สี่หยวน กล่องห้าหยวนขายได้เจ็ดหยวน และกล่องหกหยวนขายได้เก้าหยวน สุดท้ายเหลือแค่สองกล่องที่มีน่องไก่กับไข่ดาวเท่านั้น ที่เหลือขายหมดเกลี้ยง
ตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าถึงบ่ายโมงทั้งสองคนกลับไปกลับมาสามครั้ง เปลี่ยนร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ไปห้าแห่งและราคาก็เพิ่มขึ้นจากเดิมสองเท่า
กัวจื้อหังเหนื่อยจนหอบเหมือนหมา บนหน้าผากมีเหงื่อไหลย้อยลงมา
แผ่นหลังของเจียงฉินเองก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อเช่นกัน เขานั่งยองๆ อยู่ข้างถนน เช็ดเหงื่อพร้อมกับนับเงิน
ข้าวกล่องสองร้อยหยวนขายได้ในราคาสามร้อยเจ็ดสิบแปดหยวน และข้าวกล่องที่เหลือแค่สองกล่องในตอนท้ายก็เพียงพอสำหรับคนทั้งสอง
จริงๆ แล้วเขาไม่ได้ทำเพื่อหาเงิน ที่ทำไปก็เพราะอยากจะให้ความคิดตัวเองชัดเจนขึ้นแค่นั้น ตอนนี้ดูเหมือนว่าความคิดของเขาจะถูกต้อง สามารถทำเงินได้ แต่ปัญหาคือกำไรยังน้อยเกินไป
อย่างไรก็ตาม เจียงฉินไม่ได้ผิดหวัง คุณต้องการทำกำไรเท่าไหร่ด้วยเงินทุนแค่สองร้อย?
จะให้ถึงหมื่นมันก็คงเป็นไปไม่ได้หรอก
ก่อนจะเกิดใหม่เขาไม่เคยทำธุรกิจเลย ดังนั้นที่เขาทำในวันนี้ก็เพียงเพื่อสัมผัสประสบการณ์การทำเงินเท่านั้น
แต่พูดตามตรงเขารู้สึกว่ามันขาดทุนนิดหน่อย อย่างบุหรี่อวี้ซีแค่อย่างเดียวก็ใช้ไปถึงห้ากล่องแล้ว เท่ากับว่าลงทุนไปแล้วร้อยหยวน ทั้งยังต้องเสียเวลาอีกครึ่งวัน ประเด็นคือพวกเขาทั้งสองเหนื่อยจนหอบเหมือนหมาแต่ได้กำไรมาแค่เจ็ดสิบกว่าหยวนเท่านั้น
แต่จะเป็นยังไงถ้าเงินทุนเยอะขึ้น แล้วถ้าใช้วัตถุดิบดีๆ ล่ะ? ได้เยอะกว่าเดิมเป็นสองเท่าจากเจ็ดสิบแปดก็ถือว่าใช้ได้เลย
เจียงฉินหยิบเหรียญสิบหยวนออกมาห้าเหรียญแล้วยื่นให้กัวจื่อหัง เจ้าเหรียญสุนัข[1]คนนี้หยุดตะโกนทันทีว่าเขาโคตรเบื่อ เขากำเงินไว้แล้วตะโกนซ้ำๆ ว่า “ขอบคุณลูกพี่”
“ลูกพี่ พรุ่งนี้นายจะทำอะไรต่อ?”
“บัดซบ ฉันเหนื่อยแทบจะตายอยู่แล้ว หาเงินได้เจ็ดสิบแปดแบ่งให้นายห้าสิบ เงินที่เหลือก็พอให้ซื้อบุหรี่ได้ซองเดียวเอง”
เจียงฉินกำลังสบถ แต่จริงๆ แล้วในใจเขากำลังคิดถึงวิธีหาถังทองคำ[2]ใบแรกอยู่
ฉันจะไปหาถังทองคำใบแรกได้ที่ไหน?
พวกเหรียญสุนัขที่เกิดใหม่ในนิยายออนไลน์สามารถทำธุรกิจขนาดใหญ่ได้อย่างง่ายดาย แต่พอเป็นฉันทำไมถึงไม่เป็นแบบนั้นบ้างล่ะ?
หากเป็นไปไม่ได้จริงๆ ฉันก็จะกลับไปชักชวนให้ทั้งคู่ขายบ้านแล้วเอาไปลงทุนใน Bitcoin พร้อมทั้งซื้อเหมาไถตุนไว้
ในขณะนั้นเอง ลุงขายข้าวกล่องถือตะหลิวเดินเข้ามา ก่อนอื่นเขาจ้องมองไปที่เจียงฉิน จากนั้นก็เข้ามาใกล้ด้วยท่าทางลึกลับพร้อมกับยื่นบุหรี่ไป๋เจียงจวินให้มวนหนึ่ง
“ข้าวกล่องราคาสองร้อยหยวนนายขายได้เท่าไหร่?”
เจียงฉินรับบุหรี่มาแล้วเงยหน้าขึ้นอย่างสงบ: “สี่ร้อยหก”
กัวจื่อหังตกตะลึงไปครู่หนึ่ง มันสามร้อยแปดสิบไม่ใช่เหรอ?
แต่เมื่อเห็นท่าทางที่สงบและเยือกเย็นของเจียงฉินเขาก็ไม่กล้าพูดอะไร แค่กลืนน้ำลายก่อนจะก้มหน้าลงเงียบๆ
(จบตอน)
[1] เหรียญสุนัข เป็นคำแสลงของจีน หมายถึงสิ่งของไร้ค่า ใช้พูดในเชิงดูถูกเสียดสี
[2] ถังทองคำ หมายถึง เงินก้อนแรก หรือเงินที่ได้จากการลงทุนครั้งแรก