ตอนที่ 1 : เงินล่ะ? เงินฉันอยู่ไหน?
“ค่าสินสอดสามแสนหยวน นี่ไม่ใช่น้อยๆ เลย!”
“ฉันไม่ได้สนใจเรื่องเงิน ฉันแค่อยากรู้ว่าฉันสำคัญกับคุณมากแค่ไหน”
“นอกจากนี้ คุณไม่สามารถใช้ชื่อแม่ของคุณเป็นเจ้าของอพาร์ตเมนต์ได้ ต้องโอนมาเป็นชื่อฉัน”
เซินเฉิง ตรงที่นั่งริมหน้าต่างของเกรย์วาฬคาเฟ่
เจียงฉินในวัยสามสิบแปดปีมองไปที่คู่แต่งงานตรงหน้าเขา และทันใดนั้นก็รู้สึกว่าใบหน้าของเธอดูแปลกไปเล็กน้อย
พวกเขาพบกันผ่านการนัดบอดและได้คบหากันมานานกว่าครึ่งปีแล้ว เนื่องจากทั้งคู่ไม่ใช่วัยรุ่นอีกต่อไปและไม่มีเวลาให้ยืดเยื้อไปมากกว่านี้ ช่วงนี้ทั้งสองคนจึงเริ่มพูดคุยถึงเรื่องการแต่งงานด้วยกัน
พูดตามตรง เจียงฉินไม่มีความรู้สึกกับเธอมากนัก และเขาเชื่อว่าอีกฝ่ายเองก็มีความคิดคล้ายกัน
ท้ายที่สุดเขาก็อายุเข้าใกล้เลขสี่แล้ว การแต่งงานมีลูกจะเป็นเรื่องของความรักอยู่ได้ยังไง?
เขาก็แค่ไม่อยากอยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิต…
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้พูดอะไร แค่ดื่มน้ำจากแก้วอย่างเงียบๆ แล้วมองออกไปนอกหน้าต่างกระจก หูของเขาปิดกั้นเสียงของอีกฝ่ายโดยอัตโนมัติ
เขารู้สึกว่าชีวิตตัวเองค่อนข้างบัดซบจริงๆ
เพราะพ่อแม่บอกว่าความรู้จะเปลี่ยนแปลงโชคชะตา เขาจึงตั้งใจเรียนตั้งแต่ยังเป็นเด็ก โดยคิดว่าจะกลายเป็นคนรวยหรือคนมีชื่อเสียงในอนาคต
แต่จนกระทั่งได้ทำงานเขาก็ตระหนักได้ว่าตัวเองไม่แม้แต่จะเป็นคนธรรมดาได้ด้วยซ้ำ
เมื่อเขาเริ่มเข้าทำงานในปี 2016 เขาน็อคหลับเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ท่ามกลางโต๊ะที่เต็มไปด้วยลูกค้าและจบลงที่โรงพยาบาล ไม่ได้ร่ำลากันเป็นครั้งสุดท้ายกับคุณยายที่เลี้ยงเขามา
ในปี 2019 โปรเจ็กต์ที่เขาทำต้องเผชิญกับพายุฝนฟ้าคะนอง และเขาถูกบังคับให้รับผิดชอบ เขาต้องพักอยู่ในห้องเช่าและกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่เป็นเวลาห้าเดือน ไม่แม้แต่จะแยกความจริงและความฝันออกจากกันได้
งานหลังๆ นั้นถือว่าค่อนข้างมั่นคง แต่อยู่ห่างไกลจากที่ที่เขาอาศัยอยู่ เขาตั้งใจทำงานอย่างหนักจนปัสสาวะก็ยังต้องกลั้นไว้สองครั้งเพื่อเก็บเงินซื้อรถยนต์
ในที่สุดเขาก็ซื้อรถได้เมื่อตอนอายุ 22 ปี แต่กลับพบว่าเขาเติมน้ำมันไม่ได้และก็ปัสสาวะไม่ออกซะแล้ว
หลังจากที่เขาอายุ 30 ปี เขาพบว่าค่าเช่าเพิ่มขึ้นเร็วกว่าเงินเดือนของตัวเองซะอีก ดังนั้นเขาจึงประหยัดเงินอย่างมากและบอกกับพ่อแม่ว่าเขาต้องการซื้อบ้านในเซินเฉิง
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา บนโต๊ะกับข้าวของพ่อกับแม่เขาก็ไม่มีเนื้ออีกต่อไป
แต่กระนั้นเงินดาวน์รวมกันก็ยังไม่พอ พ่อจึงแอบเก็บเป็นความลับ ทำงานประจำในตอนกลางวันและไปขับ Didi ในตอนกลางคืน ซึ่งเกือบจะเป็นโรคหลอดเลือดสมองแตก
ความยากจนเกี่ยวข้องกับความเกียจคร้านจริงหรือ?
เจียงฉินคิดเกี่ยวกับคำถามนี้มาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
เขารู้สึกว่าตัวเองขยันมามากพอและก็คู่ควรกับชื่อของเขาอย่างเต็มที่
แต่แล้วเงินล่ะ?
ใครเป็นคนเอาเงินไป?
ตอนที่เขายังเป็นเด็ก พ่อกับแม่บอกเขาอย่างจริงใจว่าตราบใดที่เขาเต็มใจที่จะอดทนต่อความยากลำบาก เขาก็จะก้าวหน้าต่อไปเรื่อยๆ
แต่สิ่งที่เขาค้นพบเมื่อโตขึ้นก็คือตราบใดที่คุณเต็มใจที่จะอดทนต่อความยากลำบาก ความทุกยากข์มากมายก็จะเข้ามาอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น
ตอนนี้คู่นัดบอดของเขาต้องการค่าสินสอด 300,000 หยวน
“เจียงฉิน คุณฟังฉันอยู่หรือเปล่า”
“อืม ผมฟังอยู่”
“ถ้างั้นทำไมคุณไม่พูดอะไรเลยล่ะ? ให้ฉันพูดอยู่คนเดียว พูดจนเสียงแหบคุณก็ยังไม่สนใจเลย!”
เจียงฉินวางแก้วน้ำลงแล้วพูดหลังจากเงียบไปนาน: “เราพักเรื่องแต่งงานไว้ก่อนดีไหม?”
หญิงสาวตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วแสดงสีหน้าโกรธจัด: “คุณหมายความว่ายังไง”
“ไม่มีอะไร ผมแค่รู้สึกเหนื่อยอยากกลับบ้านไปหลับสักงีบ”
“เจียงฉิน ไอ้คนใจเสาะ ไม่น่าแปลกใจเลยที่คุณอายุสามสิบแปดแล้วแต่ยังไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากจะคบกับคุณ!”
เจียงฉินก้าวออกจากร้านอาหารตะวันตกโดยไม่สนใจเสียงคำรามของผู้หญิงคนนั้น เขาเดินไปตามถนนอย่างไร้จุดหมาย
เมื่อเขาเดินไปที่ไซต์ก่อสร้าง เขาเห็นป้ายที่แขวนอยู่บนผนังเขียนไว้ว่าคนทำงานคือคนที่อยู่เหนือผู้อื่น
เขาจึงจุดบุหรี่ สูบไปสองฟอดแล้วจี้ใส่ป้ายนั้นจนเป็นรู
จริงๆ แล้วเขาไม่ได้ตำหนิอะไรผู้หญิงคนนั้นมากนัก และคิดว่าคำขอของเธอก็เป็นเรื่องปกติ
คนอื่นเขาอายุสามสิบห้าแล้ว มองโลกตามความเป็นจริงสักหน่อยจะมีปัญหาอะไร?
เขาก็แค่กำลังคิดถึงคำถาม
วันเวลาเหล่านี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใด?
คนที่ไม่เคยทำงานประจำเลย พยายามโฆษณาอย่างหนักว่าคนทำงานคือคนชั้นสูง แต่คนที่ทำงานประจำมาตลอดกลับไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่พยักหน้ายอมรับว่าใช่ๆๆ
แต่สุดท้ายแล้ว คนเหล่านี้มีอะไรที่เหนือกว่าเจ้านายพวกนั้นบ้าง?
ตลอดชีวิตมีรองเท้า AJ สองคู่ แต่ก็ไม่พ้นเป็นของปลอมจากผูเถียน[1] คุณเรียกสิ่งนี้ว่าคนชั้นสูงเหรอ?
ส่วนเรื่องความรัก?
เจียงฉินไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งนี้มีอยู่จริงหรือเปล่า
เขาไปออกเดทหลายครั้งและได้พบกับสาวๆ หลายคนที่เพื่อนๆ แนะนำให้รู้จัก เขาได้คบกันคนเหล่านั้น แต่สิ่งที่น่าเศร้าคือพวกเธอแค่เข้ามาเพียงเพื่อผ่านไป
เมื่อมองย้อนกลับไปในชีวิต มีแต่ความเศร้าเสียใจมากมาย…
เจียงฉินถอนหายใจพลางหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า เขาต้องการหาเพื่อนมาดื่มย้อมใจ แต่เมื่อเขาเปิดดูเขาก็เห็นข้อความสี่ข้อความ
แจ้งเตือนบัตรเครดิต เตือนยอดค้างบิลค่าโทรศัพท์ และข้อความจากเพื่อนที่บอกว่าวันนี้ไม่อยู่บ้าน
ข้อความสุดท้ายมาจากเจ้านายโดยตรงของเขา โดยใช้ถ้อยคำที่หนักแน่นและจริงใจบอกกับเขาว่าผลการดำเนินงานช่วงนี้ของบริษัทเข้าขั้นย่ำแย่ เขาหวังว่าพนักงานจะสมัครใจลดเงินเดือนตัวเองและก้าวข้ามวิกฤตนี้ไปด้วยกันกับบริษัท
เจียงฉินหมดอารมณ์ดื่มทันที เขายืนสูบบุหรี่ต่อไปที่ชั้นล่างใต้อาคารก่อสร้าง
ยุคนี้ถ้าอยากรวยจริงๆ ก็ไม่ควรทำงานประจำ เพราะระบบการกระจายทรัพยากรในสังคมมันไม่เท่าเทียมกันอยู่แล้ว
แต่เมื่อคิดถึงอายุปูนนี้ของตัวเอง เจียงฉินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
เริ่มต้นธุรกิจตอนอายุสามสิบแปด มันฟังดูเป็นไปได้งั้นเหรอ?
ในช่วงสองปีที่ผ่านมา เอวของเขาแทบหักเนื่องจากความเหนื่อยล้า และเขายังประสบปัญหาเกี่ยวกับกระดูกสันหลังส่วนคอด้วย ปวดเส้นประสาทอักเสบบ่อยกว่าปวดปัสสาวะซะอีก
การลากร่างที่ผุพังนี้ไปเริ่มต้นธุรกิจ ถึงแม้จะสำเร็จก็ต้องรอจนอายุห้าสิบ แต่เมื่อถึงตอนนั้นชีวิตยังจะเพลิดเพลินกับอะไรได้อีก
ถ้ามีโอกาสได้เริ่มต้นใหม่อีกสักครั้งก็คงจะดี ไม่ต้องทำงานอะไร แค่ใช้หน้าตาไปเกาะผู้หญิงรวยๆ สักคนก็พอ
หากวิธีนี้ไม่ได้ผลจริงๆ ก็ลองเริ่มธุรกิจดูได้ เขาเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าการขาดทุนทำให้ได้กำไรมากกว่าเดิม แต่ถ้าขาดมโนธรรมไปเงินที่ได้ก็จะมากกว่าอย่างแน่นอน
เจียงฉินหายใจเข้าลึกๆ บีบนวดหลังคอที่รู้สึกปวดและอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมอง
หือ?
นั่นอะไรดำๆ? มันตรงมาหาฉันเหรอ?
“...”
“ฉีดอะดรีนาลีนให้เขา เร็วเข้า!”
“...”
“ต้อนรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก จงมีอารยธรรม สร้างภาพลักษณ์ที่ดี!”
“...”
“หมอหลิวอยู่ไหน ไปถามหน่อยว่าห้องผ่าตัดว่างหรือยัง รีบหน่อย!”
“...”
“ประตูบ้านฉันเปิดต้อนรับอยู่เสมอ ยินดีต้อนรับคุณด้วยความโอบอ้อมอารี”
ทันใดนั้นเจียงฉินก็รู้สึกตัวขึ้นมา เขาแสบตาเล็กน้อย มีเสียงดังก้องอยู่ในหู เนื้อตัวร้อนผ่าว รู้สึกสับสนมึนงงอย่างบอกไม่ถูก
ในขณะที่สายตายังคงปรับรับแสง เขาเห็นเด็กผู้หญิงสวยมากคนหนึ่ง อายุประมาณสิบเจ็ดถึงสิบแปดปี
เธอสวมชุดเดรสลายลูกไม้ลักษณะพองๆ โชว์เรียวขาขาวเนียนเล็กน้อย จมูกโด่งริมฝีปากบางเฉียบแดงระเรื่อ ขนตางอนยาว และดวงตากลมโตสดใสคู่หนึ่ง
เจียงฉินหัวเราะ
ในช่วงหลายปีที่เขาทำงานอย่างขยันขันแข็งเพื่อให้เจ้านายได้เปลี่ยนรถและซื้อวิลล่าหลังใหญ่ แม้แต่ฝันเขาก็ยังไม่เคยเห็นผู้หญิงที่สวยขนาดนี้มาก่อน
ผู้หญิงที่สวยขนาดนี้ ถ้าโดนตบสักทีคงร้องไห้ไปอีกนานเลยใช่ไหม?
“เจียงฉิน ขอโทษนะ แต่ตอนนี้ฉันยังไม่อยากมีแฟนจริงๆ”
เจียงฉินไม่สามารถหัวเราะได้อีกต่อไปเพราะเขาพบว่าภาพหญิงสาวตรงหน้าเริ่มสดใสและชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ
ชุดเดรสลายลูกไม้ของเธอเป็นรูปดอกเบญจมาศสีเหลืองสดใส เธอยืนอย่างสง่างามอยู่บนลู่วิ่งสีแดง ใช้แขนที่ขาวเนียนราวกับหิมะบังแสงแดดเบาๆ เพื่อไม่ให้แสงจ้าเกินไปจนมองไม่เห็น
แต่ถึงอย่างนั้น อากาศที่ร้อนจัดก็ยังทำให้สาวน้อยน้อยสุดสวยคนนี้รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
“ถ้านายไม่พูดอะไรฉันจะถือว่านายยอมรับ เรายังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเหมือนเดิมใช่ไหม?”
คิ้วของเจียงฉินเริ่มขมวดเข้าหากัน ในดวงตาปรากฏร่องรอยแห่งความเคร่งขรึมเสี้ยวหนึ่ง
เขารู้จักผู้หญิงคนนี้ ฉู่ซือฉี สาวงามประจำชั้นมัธยมปลายซึ่งตอนนี้น่าจะแต่งงานไปแล้ว
จากมัธยมปลายไปจนถึงมหาวิทยาลัย เขาตามจีบเธอเป็นเวลาเจ็ดปี ถูกเธอปฏิเสธจนถึงจุดที่เขาแทบจะไม่มีความมั่นใจในชีวิต
อันที่จริงเจียงฉินไม่ใช่สุนัขขี้ประจบ และเขาก็ไม่สามารถทำเรื่องที่ต้องเอาชีวิตเข้าไปเดิมพันแบบนี้ได้
แต่ปัญหาคือฉู่ซือฉีเข้ามาแทรกแซงชีวิตของเขาในฐานะเพื่อนอยู่ตลอดเวลา โดยบอกให้เขาทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ และไม่อนุญาตให้เขาคบหากับผู้หญิงคนอื่น นอกจากนี้เธอยังให้ความหวังเล็กน้อยแก่เขาเป็นครั้งคราวเหมือนการลิ้มรสลูกกวาดเม็ดเล็กๆ ทำให้วัยเยาว์ของเจียงฉินเต็มไปด้วยการทุกข์ทรมาน
[ถ้าเรียนจบปีหนึ่ง ฉันจะพิจารณาเป็นแฟนกับนาย!]
[ไม่คิดเลยว่าปีสองจะหนักขนาดนี้ ค่อยพูดเรื่องนี้กันตอนปีสามดีกว่า]
[ปีสามแข่งขันกันหนักหน่วงมาก ฉันไม่มีเวลามาคิดเรื่องความรักหรอก]
จนกระทั่งถึงภาคเรียนที่สองของปีสาม จู่ๆ เธอก็เดินจับมือกับชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งในชุดคู่รัก
วันนั้นใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ดวงตาเปล่งประกายสดใสดุจดวงดาว เธอยิ้มแล้วถามเขาว่าแฟนหนุ่มของเธอหล่อหรือเปล่า
หลังจากนั้นเป็นต้นมาเขาก็ปิดผนึกหัวใจด้วยปูนซีเมนต์และไม่เคยคิดอยากจะมีความรักอีกเลย จนกระทั่งอายุสามสิบแปดถึงได้ตัดสินใจแต่งงานกับใครสักคนด้วยภาวะจำยอม
ในปี 2008 ยังไม่มีแนวคิดเรื่องยางอะไหล่(ตัวสำรอง) จนกระทั่งอินเทอร์เน็ตพัฒนาขึ้นในภายหลัง เจียงฉินจึงตระหนักว่าเขานี่แหละยางอะไหล่
เธอแค่ยังไม่เจอคนที่ใช่ เพราะงั้นเธอจึงทำตัวสนิทสนมและห่างเหิน หยอกล้อเขาบ้างเมื่อเธออารมณ์ดี และไม่สนใจเขาเมื่อเธออารมณ์เสีย
พูดตรงๆ สำหรับเธอแล้วเขาเป็นเพียงเครื่องมือใช้ฆ่าเวลาเมื่อตอนที่เธอเบื่อเท่านั้น
เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นชัดเจนอยู่ในใจเขา แต่ในขณะนี้เจียงฉินรู้สึกเวียนหัวและหูอื้อเล็กน้อย
โรงเรียนมัธยมปลายเฉิงหนาน Girl’s Generation และดอกไม้ประจำชั้นเรียน ทั้งหมดอยู่ในความทรงจำของเขา
นี่คือ... การเกิดใหม่งั้นเหรอ?
หรือว่าฉันแค่กำลังฝันอยู่?
ถ้าเป็นการเกิดใหม่ แล้วเสียงติ๊งล่ะ? ทำไมไม่เห็นได้ยินเลย?
เจียงฉินเหยียดมือออกอย่างสั่นเทา ปัดไปมาสองครั้งในอากาศ แต่ทว่าไม่มีการเปิดใช้งานหน้าต่างสเตตัส
นี่เป็นการเกิดใหม่ปลอมหรือเปล่า? แม้กระทั่งไอเทมก็ไม่มีให้ด้วยซ้ำ?
“เจียงฉิน นายได้ยินฉันไหม? ตอนนี้ฉันยังไม่อยากมีแฟน”
“โอเค เอาตามที่เธอว่าเลย”
เจียงฉินตอบอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นหลับตาลง พยายามดูว่าเขาสามารถปลุกนิ้วทองคำได้ด้วยความคิดหรือไม่ แต่น่าเสียดายที่เขาล้มเหลว เขาไม่มีระบบจริงๆ
เมื่อเธอได้ยินคำตอบที่ตรงไปตรงมาของเขา ฉู่ซือฉีก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ทัศนคติของเจียงฉินเต็มไปด้วยความเฉยเมย ซึ่งทำให้เธอรู้สึกเหมือนปล่อยหมัดใส่ปุยฝ้ายอย่างไร้ประโยชน์
“นายได้ยินไม่ชัดเหรอ ฉันเพิ่งปฏิเสธนายนะ!”
“ฉันได้ยิน ฉันไม่ได้หูหนวก”
“แล้ว...นายไม่มีอะไรจะพูดกับฉันหน่อยเหรอ?”
เจียงฉินยอมรับความจริงที่ว่าเขาไม่มีระบบ ทันใดนั้นสายตาของเขาก็หันไปมองที่มือของฉู่ซือฉี: “เธอถืออะไรอยู่น่ะ?”
ฉู่ซือฉียกซองจดหมายในมือขึ้นมาด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง: “จดหมายรักที่นายเพิ่งให้ฉันมาไง ฉันบอกนายแล้วว่าไม่ต้องการมัน แต่นายก็ยังเขียนมาให้ฉันอีก ครั้งหน้าไม่ต้องเขียนมาแล้วนะ”
“ถ้างั้นเธอช่วยคืนมาให้ฉันได้ไหม ฉันต้องใช้มัน”
เจียงฉินหยิบจดหมายรักกลับมาโดยไม่รอให้เธอตอบ เปิดเอากระดาษด้านในออกมา ขยำเป็นก้อนๆ แล้วยัดมันใส่กระเป๋า จากนั้นเขาก็คลี่ซองจดหมายออก วางมันลงบนเข่าแล้วเริ่มเขียนคำสองบรรทัดลงไปอย่างรวดเร็ว
ไม่จำเป็นต้องทำงาน ถ้ามีโอกาสก็ไปเกาะผู้หญิงรวยๆ
คุณสามารถทำเงินได้มากมายหากคุณขาดทุน แต่คุณจะสามารถทำเงินได้มากกว่าเดิมหากคุณขาดมโนธรรม
(จบตอน)
[1]ผูเถียน ชื่อเมืองในมณฑลฝูเจี้ยนของประเทศจีน เนื่องจากมีโรงงานผลิตจำนวนมาก ทำให้เมืองผูเถียนถูกเชื่อมโยงกับการผลิตสินค้าปลอมอยู่เสมอ เช่น เสื้อผ้าแบรนด์เนม รองเท้าแบรนด์เนม และเครื่องสำอางปลอม เป็นต้น