บทที่ 40 ร่วมมือ
“ต่อไปคุณจะสืบสวนยังไง?” โยวกวงเดินไปยืนข้างๆ
“ผมมีแนวทางแล้ว” เซี่ยอู่เยวียนเดินตามมาติดๆพร้อมพูดด้วยท่าทางสงบ
“ทันทีที่ผมออกจากบ้านตระกูลเย่ก็เจอการโจมตี มันกล้ามาก ผมทำคดีมามากมายไม่เคยเห็นใครที่อวดดีแบบนี้มาก่อน ช่างไร้ยางอายจริงๆกล้าทำขนาดนี้ได้ ต้องมีคนสำคัญคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังแน่”
“คุณสงสัยว่าคือคนของตระกูลเย่เหรอ?”
“หากหัวหน้าตระกูลเย่ยอมออกมาพบ ผมคงสงสัยหนักกว่าเดิม แต่พอเขาเลือกที่จะเลี่ยงไม่พบ…ความสงสัยเลยลดลงไปหน่อย” เซี่ยอู่เยวียนส่ายศีรษะ
“แต่จะใช่หรือไม่ใช่ก็ไม่สำคัญแล้ว”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ผมไปที่บ้านตระกูลเย่เพื่อสืบคดี แต่พอออกมาได้ไม่ทันไรก็โดนโจมตีโดยนักสู้ระดับปรมาจารย์จนเกือบตาย เรื่องนี้แค่รายงานขึ้นไปก็คงเขย่ามณฑลเทียนหนานได้ หากมีการส่งปรมาจารย์มาโจมตี ก็คงต้องให้ตระกูลเย่เป็นผู้ต้องสงสัยรายแรก หากไม่สืบสวนให้กระจ่างคงจะเป็นการละเลยหน้าที่ของสำนักงานตรวจการ”
“คุณจะใช้เรื่องนี้ดึงตระกูลเย่มาเกี่ยวพัน แล้วใช้พลังของตระกูลเย่สืบหากลุ่มอิทธิพลเบื้องหลังเหตุการณ์หยู่หลงอินเตอร์เนชั่นแนลงั้นเหรอ?”
โยวกวงเข้าใจความคิดของเขา
การส่งปรมาจารย์มาโจมตีเจ้าหน้าที่ระดับสูง หากอีกฝ่ายตายอาจจะสามารถปกปิดด้วยการใช้เส้นสายหาแพะรับบาปได้ แต่หากไม่ตายแล้วยังตามสืบต่อ ไม่มีฝ่ายไหนรอดไปได้โดยไม่ต้องให้คำอธิบาย
การแจ้งให้เบื้องบนรับทราบและสร้างแรงสั่นสะเทือนในเทียนหนานไม่ใช่เรื่องไกลเกินจริง คงจะมีการสั่งให้สำนักงานตรวจการส่งเจ้าหน้าที่มาตั้งคณะทำงานสืบสวน
ตระกูลเย่ในฐานะตระกูลขนาดใหญ่ในเทียนหนานย่อมมีปัญหาสะสมไม่น้อย หากมีการสืบสวนเต็มรูปแบบไม่เพียงคนในทุกแผนกได้รับผลกระทบ แต่ชื่อเสียงในมณฑลคงป่นปี้
ในสถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้ตระกูลเย่ไม่พอใจนัก ก็ต้องยอมช่วยสืบหาผู้ต้องสงสัยเพื่อรักษาชื่อเสียงของตน
เซี่ยอู่เยวียนพยักหน้า
“ถ้าจะมีใครที่รู้ทุกซอกทุกมุมในเทียนหนานดีพอ ตระกูลเย่ย่อมเป็นที่หนึ่ง แม้แต่เว่ยคงหมิงผู้ว่าการมณฑลเทียนหนานก็ยังไม่เทียบเท่า”
ตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลอาจผลัดเปลี่ยนกันไปได้เรื่อยๆแต่ตระกูลเย่ยังยืนหยัดเหนียวแน่น
การให้ตระกูลเย่ลงมือตรวจสอบจึงแทบไม่เหลือความลับอะไรในมณฑลเทียนหนานที่ตระกูลเย่จะปิดไว้ได้
ผลลัพธ์สุดท้าย…
หากตระกูลเย่สืบพบหลักฐานย่อมเป็นเรื่องดี
หากหาไม่พบ…
ก็คงชัดเจนแล้วว่าใครคือผู้บงการอยู่เบื้องหลัง
“มันเสี่ยงมากนะ ถ้าพลาดก็คือเล่นกับเสือ”
โยวกวงกล่าว
“ถ้าอยากทำเรื่องใหญ่ คงเลี่ยงการแบกรับความเสี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว นี่คือวิธีที่ดีที่สุดที่ผมคิดออกในเวลานี้” เซี่ยอู่เยวียนตอบ
แม้สำนักงานตรวจการจะสามารถรายงานเบื้องบนได้โดยตรง แต่คงไม่สามารถทำได้หากขาดหลักฐานและมีแค่ความสงสัย
ไม่เช่นนั้นเบื้องบนจะเก็บพวกเขาไว้ทำไม?
“ทันทีที่ผมออกจากตระกูลเย่แล้วถูกโจมตีทันที ราวกับมีเจตนาจะใส่ความตระกูลเย่ด้วยเหตุนี้ ตระกูลเย่ก็คงช่วยสืบอย่างเต็มที่”
เมื่อเซี่ยอู่เยวียนพูดถึงตรงนี้ เขาหยุดเล็กน้อยแล้วมองโยวกวง
“ถ้าหากผมตายไป…”
“ตระกูลเย่” โยวกวงเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ
เซี่ยอู่เยวียนพยักหน้า
บรรยากาศรอบตัวดูเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย
ไม่นานนักเซี่ยอู่เยวียนก็สลัดความกังวลออกและปัดความเป็นไปได้นี้ทิ้งไปชั่วคราว
แม้จะรู้ดีว่าแผนนี้เสี่ยงแค่ไหน แต่เขาก็จำต้องทำ
“ตอนนี้เหลือแค่คำถามสุดท้าย”
เซี่ยอู่เยวียนสูดหายใจลึกแล้วถามอย่างจริงจัง
“ผมอยากรู้ว่า…พวกตัวประหลาดที่คุณจัดการไปก่อนหน้านี้ ทุกตัวแข็งแกร่งถึงระดับปรมาจารย์หรือเปล่า?”
โยวกวงเข้าใจเจตนาในคำถามนี้
เขาพยักหน้า
การพยักหน้าเพียงครั้งเดียวของเขาทำให้เซี่ยอู่เยวียนถึงกับรู้สึกเสียววาบไปทั้งศีรษะ
หากสามารถส่งปรมาจารย์หลายคนหรือเป็นสิบคนได้…จะเป็นกลุ่มอิทธิพลขนาดไหนกัน!?
โลกใต้ดินที่แฝงตัวอยู่ในมณฑลเทียนหนาน…กลับซุกซ่อนสัตว์ร้ายขนาดนี้ไว้หรือ!?
และเบื้องหลังทั้งหมดนี้…
มันซ่อนความลับอะไรไว้กันแน่!?
“จะสืบต่อไปไหม?” โยวกวงถามด้วยน้ำเสียงขบขัน
“สืบ!” แววตาของเซี่ยอู่เยวียนมีแค่ความมุ่งมั่น
“ผมบอกแล้วว่าจะสืบให้ถึงที่สุด…ไม่ว่าข้างในนั้นจะมีความลับอะไรแฝงอยู่ก็ตาม”
“งั้นผมจะรอฟังข่าวดีจากคุณ”
โยวกวงยิ้มเล็กน้อยและหันหลังเตรียมจะเดินจากไป
เขายังต้องไปกินข้าวที่เต๋อเย่วโหลวอยู่
“ซูโยวกวง” เซี่ยอู่เยวียนเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ผมต้องการความช่วยเหลือจากคุณ”
โยวกวงชะงัก
เขามองชายหนุ่มผู้บรรลุระดับปรมาจารย์ขั้นสูงตั้งแต่อายุเพียงสามสิบเศษ ก่อนพยักหน้าเล็กน้อยตอบรับ
“ตกลง”
เซี่ยอู่เยวียนเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก
แม้เขาจะไม่เคยได้ต่อสู้กับโยวกวงตรงๆจึงไม่รู้ว่าพลังของโยวกวงแท้จริงแล้วแข็งแกร่งเพียงใด
แต่…
โยวกวงสามารถจัดการกับพวกตัวประหลาดที่แม้จะดูเป็นเพียงระดับปรมาจารย์ขั้นสูงแต่แท้จริงแล้วมีพลังต่อสู้เทียบเท่าปรมาจารย์ขั้นสูงสุดได้มากมายหลายตัว พลังของเขา…
คงน่ากลัวกว่าที่เขาคิดไว้มาก
ถึงขั้นไม่อาจวัดด้วยระดับปรมาจารย์ธรรมดา
ในเมื่อสถานการณ์ยังไม่ชัดเจน เบื้องหลังเต็มไปด้วยอิทธิพลใหญ่ที่แฝงตัวอยู่ การมีปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้มาร่วมมือในการสืบสวนก็นับเป็นแขนขาที่ยอดเยี่ยมที่สุด
…
“มนุษย์ธรรมดา นักสู้ ปีศาจ เลือดแห่งเทพ และเหล่าผู้มีอำนาจ”
บนรถโยวกวงรวบรวมและครุ่นคิดถึงคำสำคัญเหล่านี้ในหัว
มนุษย์ธรรมดาเป็นชั้นต่ำสุด เป็นเสบียงให้ปีศาจที่ใช้กินเพื่อกระตุ้นปัญญา
นักสู้อยู่ในลำดับที่สอง พวกปีศาจมองว่านักสู้นั้นเหมาะสมที่จะเป็นร่างสำหรับสิงสู่
ดูเหมือนว่า…
ยิ่งร่างที่มันสิงสู่แข็งแกร่งเท่าไร มันก็ยิ่งสามารถใช้พลังได้สูงเท่านั้น
นอกจากนี้เมื่อปีศาจผสานเข้ากับร่างมนุษย์ มันยังสามารถพัฒนาร่างกายให้แกร่งขึ้นได้อีก
ในทางทฤษฎี ยิ่งปีศาจตนใดมาอยู่โลกมนุษย์ได้นาน ก็จะยิ่งแข็งแกร่ง แต่หากพวกมันติดอยู่ในระดับสี่หรือห้า ต่อให้มาอยู่นานแค่ไหนก็คงวนเวียนอยู่ที่ระดับนั้น
เหนือกว่านักสู้ก็คือปีศาจ…
และกุญแจที่ทำให้ปีศาจดำรงอยู่ในโลกมนุษย์ได้คือ เลือดแห่งเทพ
พวกมันมีเทคนิคสกัดเลือดแห่งเทพที่ช่วยยืดอายุให้ยืนยาว อ่อนเยาว์อยู่เสมอ อีกทั้งยังใช้เลือดแห่งเทพนี้ในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจเพื่อให้ได้รับการคุ้มครอง
แต่…
“มันไม่ใช่แค่นั้น”
โยวกวงคิดในใจ
การใช้เลือดแห่งเทพเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจอาจจะเป็นเพียงกลยุทธ์ชั่วคราว
หรือบางที…
มีอะไรบางอย่างที่เขามองข้ามไป
อาจเป็นไปได้ว่าเมื่อสิบปีหรือยี่สิบปีก่อน วัฏจักรเป็นแบบนั้น
ปีศาจต้องอาศัยการแลกเปลี่ยนกับเหล่าผู้มีอำนาจเพื่อให้มีที่ยืนในโลกนี้
แต่ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา…
สถานการณ์เปลี่ยนไป
ปีศาจเริ่มปฏิบัติการอย่างไม่เกรงกลัวใครอีกต่อไป
“พวกนักสู้อิสระ…และสำนักต่าง ๆ…”
คำสองคำนี้บ่งบอกว่าโลกนี้อาจมีด้านที่เขายังไม่รู้จักอยู่
แต่…
ใกล้แล้ว
ทั้งลูกแก้ววิเศษในมือเขาและการที่เซี่ยอู่เยวียนดึงตระกูลเย่เข้ามาเกี่ยว ทำให้ความจริงเริ่มใกล้เผยตัวออกมา
ในมณฑลเทียนหนาน บุคคลที่มีอำนาจสูงสุด ได้แก่ ผู้ว่าการเว่ยคงหมิง หัวหน้าสำนักงานตรวจการระดับสูงลู่เจิ้นไห่และประธานสภาท้องถิ่นเย่หนานสิง
ถัดจากพวกเขาก็เป็นรองผู้ว่าการ รองหัวหน้าสำนักงานตรวจการและรองประธานสภา รวมถึงกลุ่มอิทธิพลที่หนุนหลังอยู่เบื้องหลัง
บุคคลเหล่านี้ซึ่งมีอยู่ราวสิบคน ก่อร่างสร้างเป็นกลุ่มชนชั้นสูงสุดของมณฑลเทียนหนาน
ส่วนหน่วยงานสำคัญต่าง ๆ เช่น สมาคมวิถีแห่งนักสู้ สำนักงานตำรวจ สำนักงานการศึกษา สำนักงานข้าราชการ และสำนักงานการค้า ส่วนใหญ่แล้วคนจากกลุ่มอิทธิพลเหล่านี้มักจะนั่งอยู่ในตำแหน่งสำคัญ หรือมีอำนาจในการแต่งตั้งบุคคลากร
และตระกูลเย่ได้แผ่อิทธิพลของพวกเขาไปถึงทุกแผนกสำคัญเหล่านี้
แม้อาจจะไม่สูงสุดในทุกแผนก แต่ในทุกแผนกย่อมมีคนของตระกูลเย่ที่คุ้นเคยอยู่
หากพวกเขาพร้อมทำงานจริง…
พวกปีศาจที่อยู่เบื้องหลังหยู่หลงอินเตอร์เนชั่นแนล รวมถึงผู้นำของพวกมันที่ปีศาจตนที่เขาจัดการไปก่อนหน้านี้พูดถึง ก็คงไม่สามารถซ่อนตัวได้นานนัก
…
“คุณชายโยวกวง…”
เหลยหยุนที่นั่งขับรถอยู่นิ่งเงียบมานาน สุดท้ายก็เอ่ยขึ้นด้วยความลังเล
“คุณ…”
“อย่างที่คุณคิดนั่นแหละ”
โยวกวงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย
สำหรับทีมลับที่จัดการภารกิจภายหลังการต่อสู้ ซึ่งจะติดตามเขาไปในอนาคต โยวกวงไม่ได้คิดจะปิดบังอะไร
“อย่างที่ฉันคิด?”
เหลยหยุนเบิกตากว้างทันที
“คุณ…คุณเป็น…”
“แน่นอน” โยวกวงตอบตรงไปตรงมา
“ไม่อย่างนั้นล่ะทำไมผมถึงไม่ได้กลับบ้านมาสิบกว่าปี พอกลับมาแล้ว ท่านหัวหน้าตระกูลซูถึงได้มอบหมายหน้าที่สำคัญให้ทันที?”
“นี่…”
เหลยหยุนสูดหายใจลึก
“สิบเก้าปี…คุณบรรลุระดับปรมาจารย์ขั้นสูงตั้งแต่อายุสิบเก้า! มันช่างเหลือเชื่อจริง ๆ…”
“???”
โยวกวงได้ยินคำอุทานของเธอแล้วยังอดตกใจไม่ได้
สิบเก้า…
บรรลุระดับปรมาจารย์ขั้นสูง?
“คุณชายคะ ตอนนี้คุณอายุแค่สิบเก้าแต่บรรลุระดับปรมาจารย์ขั้นสูงได้แล้ว ถ้ายังรักษาความเร็วนี้ไว้ได้ ก่อนอายุสามสิบคงสามารถทะลุสู่ระดับปรมาจารย์ขั้นสูงสุดได้ เป็นปรมาจารย์ระดับสูงของตระกูลเรา!” เหลยหยุนพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ตระกูลจางที่ใช้ทุกโอกาสกดดันตระกูลซูเรานั้นก็เพราะการแต่งงานกับจางเทียนจี ปรมาจารย์ผู้นั้นทำให้ตระกูลจางมียศศักดิ์เทียบเท่ากับตระกูลซูเราได้เลย”
“จางเทียนจี?” โยวกวงได้ยินชื่อแล้วนึกออก
“ปรมาจารย์ของตระกูลจาง?”
“ใช่ค่ะ” เหลยหยุนพยักหน้าหนักแน่น
“จางเทียนจีเมื่อวัยเยาว์สร้างปัญหาไว้มากจนโดนไล่ออกจากบ้าน แต่หลังจากที่ออกไปตะลอนไปหลายสิบปี เขาก็กลับมาพร้อมพลังระดับปรมาจารย์ เมื่อคนในตระกูลจางรู้เรื่องนี้ พวกเขาก็รีบไปติดต่อเขาให้กลับคืนตระกูล และด้วยอิทธิพลของปรมาจารย์ผู้นี้ ตระกูลจางก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ระดับแนวหน้าของเทียนหนาน”
“อืม” โยวกวงตอบสั้น ๆ
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ซูชี้หมิงถึงพูดถึงเรื่องร่วมมือกับปรมาจารย์ แล้วก็คิดถึงจางเทียนจี
“หากคุณชายสามารถบรรลุระดับปรมาจารย์ขั้นสูงสุดในอนาคตได้ ด้วยอิทธิพลของตระกูลซูเราและศักยภาพของปู้โจวกรุ๊ป วันหนึ่งคงสามารถขยายออกไปทั่วประเทศได้ พอสร้างอิทธิพลทั่วประเทศสำเร็จแล้ว ค่อยสะสมอิทธิพลเพิ่มอีกหลายสิบปี วันหนึ่งตระกูลซูเราก็อาจจะก้าวไปถึงระดับตระกูลชั้นสูงของประเทศได้”
เหลยหยุนแววตาเต็มไปด้วยความปรารถนาต่ออนาคตที่สดใส
“จริงๆแล้ว การคาดเดาของเธออาจจะเกินจริงได้อีกนิด” โยวกวงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“เกินจริงอีกนิด?”
เหลยหยุนอึ้งไปเล็กน้อย
ในวินาทีต่อมา ความคิดที่ไม่น่าเชื่อซึ่งเคยแวบเข้ามาในหัว แต่เธอเคยกดมันไว้ก็กลับมาชัดเจนอีกครั้ง
เธอเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“คุณ…เป็น…ปรมาจารย์ขั้นสูงสุด…ใช่ไหมคะ?”
โยวกวงพยักหน้าเล็กน้อย
เพียงท่าทางง่ายๆแต่ทำให้เหลยหยุนรู้สึกเหมือนถูกไฟฟ้าช็อต รู้สึกซู่ซ่าทั่วร่าง
ด้วยความตื่นเต้น ความรู้สึกยินดีที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อนนี้ไหลลามไปทั่วทุกอณูในร่าง เธอแทบจะกลั้นความดีใจไม่อยู่ เซลล์ทุกเซลล์ราวกับกำลังโห่ร้องยินดี
ในวินาทีนั้น ทุกความรู้สึกตื่นตะลึง ยินดีและตื่นเต้นถูกแปรเปลี่ยนเป็นคำเพียงหนึ่งเดียว
“หา!?”
(จบบท)