บทที่ 121: หลานรักของย่า
“ไม่เอาหรือ? เจ้าไม่ต้องกังวล ในเมื่อมีเราคอยหนุนหลังอยู่ ไม่มีใครกล้าพูดอะไรหรอก” ไทเฮาพูดคล้ายกับว่าตนสามารถควบคุมได้ทุกอย่าง
นั่นทำให้หัวใจของมู่ไป๋ไป่อบอุ่นขึ้น แล้วเธอก็ตัดสินใจเขย่งเท้าขึ้นไปหอมแก้มอีกคนเสียงดัง “ไม่เป็นไรจริง ๆ เพคะ ท่านย่า ไป๋ไป่หายดีแล้วเพคะ”
“หลานรักของย่า…” ไทเฮายกมือขึ้นกุมอกและอดไม่ได้ที่จะลูบหน้าเด็กน้อยด้วยความรักใคร่อีกครั้ง
ในตอนที่หรงเฟยเข้ามา นางก็เห็นมู่ไป๋ไป่นั่งอยู่บนตักของไทเฮา โดยที่ทั้งคู่คอยพูดคุยกันตลอดเวลา
ภาพบาดตานั้นทำให้มีความริษยาแล่นผ่านดวงตาของนางชั่วอึดใจหนึ่ง
นางเคยวางแผนที่จะกำจัดมู่ไป๋ไป่มาแล้ว แต่นางถูกเซียวถังอี้ขัดขวางเอาไว้เสียก่อน
นั่นทำให้หญิงสาวตกใจเสียขวัญอยู่พักหนึ่งเพราะกลัวว่าคนผู้นั้นจะนำเรื่องนี้ไปทูลต่อฝ่าบาทและไทเฮา
แต่หลังจากเวลาผ่านไปสักพักก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ นางก็แน่ใจแล้วว่าเขาไม่ได้บอกเรื่องที่เกิดขึ้นกับใคร นางจึงรู้สึกโล่งใจมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม หรงเฟยยังจดจำความอัปยศอดสูที่เซียวถังอี้กับมู่ไป๋ไป่มอบให้วันนั้นได้เป็นอย่างดี
ในช่วงเวลานี้นางจึงพยายามหาโอกาสที่จะแก้แค้นองค์หญิงหก
“ถวายบังคมไทเฮา ขอให้พระองค์อายุยืนหมื่นปี หมื่น ๆ ปี” หรงเฟยก้าวเข้าไปทำความเคารพไทเฮาด้วยท่าทางนอบน้อม จากนั้นนางก็รับบางสิ่งจากมือของนางกำนัลที่อยู่ด้านหลังแล้วยื่นออกมาพร้อมกับกล่าวว่า “ไทเฮา หม่อมฉันได้ยินมาว่าวันนี้อาจจะมีฝนตกหนัก”
“วัดฮู่กั๋วตั้งอยู่บนภูเขาทำให้อากาศหนาวกว่าในเมืองหลวง ดังนั้นหม่อมฉันจึงเย็บชุดรองเข่ามาให้พระองค์โดยเฉพาะเพคะ”
มู่ไป๋ไป่เงยหน้ามองหรงเฟย เธอต้องขอชื่นชมว่าฝีมือการเย็บปักถักร้อยของอีกฝ่ายนั้นดีมาก และชุดรองเข่าที่นางทำออกมาก็ดูงดงาม
อย่างไรก็ตาม ไทเฮาทำเพียงแค่เหลือบมองเล็กน้อยแล้วโบกมือให้นางกำนัลที่อยู่ด้านข้างมารับมันไป “เป็นหรงเฟยที่ใส่ใจ”
“เป็นสิ่งที่หม่อมฉันสมควรทำในฐานะพระสนมเพคะ” หรงเฟยลอบกัดปากก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้ม
ทุกวันนี้นางพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเอาใจไทเฮา แต่ไม่ว่านางจะทำสิ่งใด พระนางก็ดูเหมือนจะไม่แยแสใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งมันทำให้นางรู้สึกไม่พอใจมาก
หญิงสาวพยายามกล้ำกลืนความโกรธขณะนั่งอยู่เงียบ ๆ สักพักก่อนที่จะรู้สึกโมโหขึ้นมาอีกครั้ง แล้วปั้นหน้ายิ้มกล่าวว่า “องค์หญิงหก ข้าได้ยินมาว่าเมื่อวานพระองค์เป็นไข้ลมหนาว วันนี้พระองค์มาสวดมนต์ได้ หมายความว่าพระองค์หายแล้วหรือ?”
“คงอดไม่ไหวแล้วสินะ” มู่ไป๋ไป่กัดฟันพึมพำใส่หรงเฟยเบา ๆ จากนั้นจึงยิ้มตอบว่า “เมื่อวานข้ากินยาพักผ่อนได้เต็มที่ วันนี้จึงหายแล้ว”
“นั่นสินะ” หรงเฟยปิดปากซ่อนรอยยิ้ม “ในเมื่อองค์หญิงหกหายดีแล้ว ทำไมวันนี้หว่านผินถึงยังไม่มา?”
“เมื่อวานนางมาสวดมนต์ขอพรสายเพราะอ้างว่านำน้ำแกงโสมไปให้องค์หญิงหก วันนี้องค์หญิงหกหายดีแล้ว นางคงไม่ต้องตุ๋นน้ำแกงโสมไปให้พระองค์อีกใช่หรือไม่?”
“ในความเป็นจริงคงจะไม่เป็นไรถ้านางจะมาสวดมนต์สาย แต่ในวันนี้มันแตกต่างออกไป”
“ถ้าหากว่าพระโพธิสัตว์รู้สึกว่าเราไม่จริงใจและลงโทษแคว้นเป่ยหลง…”
ถ้อยคำที่ออกมาจากปากของอีกฝ่ายทำให้ใบหน้าของมู่ไป๋ไป่เปลี่ยนเป็นเย็นชา เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมจู่ ๆ ผู้หญิงคนนี้ถึงมาคุยกับเธอ ที่แท้นางพยายามหาเรื่องแม่เธอนี่เอง
“ท่านย่า ตอนเช้าท่านแม่ได้นำน้ำแกงโสมมาให้ไป๋ไป่ดื่มแล้วเพคะ” เด็กหญิงหันไปจ้องหรงเฟย ก่อนจะดึงแขนเสื้อไทเฮามาอธิบายด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “แต่ไป๋ไป่ไม่ได้ดื่มมันเพราะว่ามันขมมาก”
“เรารู้” สตรีสูงวัยตบไหล่หลานสาวเป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายวางใจ “เราส่งคนให้นำโสมไปให้หว่านผินเมื่อเช้านี้เอง”
คำพูดนี้ส่งผลให้รอยยิ้มบนใบหน้าของหรงเฟยแข็งทื่อทันที
“สิ่งที่หรงเฟยพูดเมื่อครู่นี้ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่พอใจหว่านผินที่ตุ๋นน้ำแกงโสมเช่นนั้นหรือ?” ไทเฮาหันไปถามหรงเฟยพร้อมกับเหยียดยิ้มเยาะเย้ย “เราเป็นคนสั่งให้หว่านผินต้มน้ำแกงโสมเอง ถ้าหรงเฟยรู้สึกไม่พอใจก็บอกเราได้”
“หม่อมฉันไม่กล้าเพคะ” หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
“ที่เจ้าพูดมีเจตนาอะไร?” ไทเฮาแค่นเสียงเย็น “การสวดมนต์ขอพรนั้นเป็นเรื่องใหญ่ก็จริงอยู่ แต่เรื่องสุขภาพร่างกายของไป๋ไป่ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือ?”
“ไป๋ไป่เป็นทายาทของฝ่าบาท นางคืออนาคตของแคว้นเป่ยหลง”
“การสวดมนต์ขอพรก็เพื่อเป็นการขอให้พระโพธิสัตว์ปกป้องคุ้มครองแคว้นเป่ยหลงและผู้สืบเชื้อสายของฝ่าบาทก็มีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับชะตากรรมของแว่นแคว้นด้วยเช่นกัน”
“ไทเฮา!” หรงเฟยรู้สึกตื่นตระหนก นางไม่เคยคาดคิดเลยว่าตนจะไปทำให้ไทเฮาโกรธเข้า “หม่อมฉันผิดไปแล้ว”
“หม่อมฉันจะไม่พูดอะไรไร้สาระอีกเพคะ”
มู่ไป๋ไป่รู้สึกสมเพชสตรีตรงหน้าที่กำลังคุกเข่าขอความเมตตา
ครั้งล่าสุดที่หรงเฟยพยายามจะฆ่าเธอ นางก็ทำเช่นนี้ตอนที่ถูกเจ้าสัตว์ประหลาดจับได้ ตอนนั้นนางถึงขั้นร้องไห้อ้อนวอนด้วยซ้ำ
ดูเหมือนว่าครั้งที่แล้วเธอจะไร้เดียงสาเกินไปจริง ๆ ถึงขั้นคิดว่าผู้หญิงคนนี้จะสำนึกได้
ตอนนี้ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้จักแก้ไขความผิดพลาดของตัวเอง
“ถ้าเจ้ารู้ว่าผิดเจ้าก็คุกเข่าอยู่ที่นี่แล้วไตร่ตรองตัวเองให้ดี” ไทเฮาทรงยืนขึ้นโดยที่มู่ไป๋ไป่ยังอยู่ในอ้อมแขน “ไม่เช่นนั้น พรุ่งนี้เช้าเจ้าก็เก็บข้าวของแล้วกลับวังหลวงไปซะ”
ในเมื่อไทเฮาเป็นคนเอ่ยปากด้วยตัวเอง แล้วหรงเฟยจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร?
ดังนั้นตอนที่ซูหว่านเดินเข้ามาในวิหาร นางก็เห็นหรงเฟยกำลังคุกเข่าอยู่ด้านนอกห้องโถงด้วยใบหน้าซีดเซียว
ส่วนไทเฮากับมู่ไป๋ไป่กำลังฟังบทสวดอยู่ภายใน
ขณะที่หญิงสาวกำลังจะหันไปถามคนที่อยู่ข้างกายว่าพวกเขารู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น นางก็สัมผัสได้ถึงสายตาไม่พอใจที่มาจากด้านข้าง
แต่เมื่อนางหันไปมอง ความรู้สึกนั้นก็หายไป
“ท่านแม่ ท่านมาแล้ว!” ภายในห้องโถง มู่ไป๋ไป่เห็นผู้เป็นแม่เดินเข้ามาจึงโบกมือให้นางอย่างมีความสุข “เร็วเข้า ๆ ไป๋ไป่กับไทเฮากำลังรอท่านอยู่!”
ซูหว่านไม่มีเวลาให้คิดมากอีก นางจับชายกระโปรงยกขึ้นแล้วก้าวเข้าไปทำความเคารพไทเฮา
นั่นทำให้หรงเฟยที่ถูกลงโทษให้คุกเข่ารู้สึกริษยามากยิ่งขึ้น นางไม่กล้าที่จะลุกขึ้นไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจากไทเฮา ด้วยเหตุนี้นางจึงต้องคุกเข่าจนท้องฟ้าเริ่มมืดลง และขาของนางก็ชาไปหมด จนกระทั่งมีรับสั่งจากพระนางว่าไม่ต้องคุกเข่าแล้ว
หญิงสาวจึงสั่งให้นางกำนัลส่วนตัวเข้ามาช่วยพยุงนางกลับเข้าไปในเรือนพักผ่อน
“พระสนม ท่านคุกเข่ามาทั้งวันแล้ว เหตุใดเราไม่เรียกให้หมอหลวงฉินเข้ามาดูสักหน่อยล่ะเพคะ” เมื่อนางกำนัลเห็นใบหน้าซีดเซียวของอีกฝ่าย นางจึงเอ่ยปากแนะนำอย่างระมัดระวัง “มิฉะนั้น มันอาจจะกลายเป็นต้นตอของโรคในอนาคต—”
“เจ้ายังมีหน้ามาถามข้าอีกหรือ?!” หรงเฟยถีบนางกำนัลล้มลงไปกองกับพื้นเพื่อระบายความโกรธ “ไอ้พวกไร้ประโยชน์ ทำไมไม่รีบไปเรียกหมอหลวงมาอีก!”
“ถ้าขาของข้ามีปัญหา ข้าจะเอาชีวิตพวกเจ้ามาชดใช้!”
นางกำนัลที่ถูกตะคอกสะอื้นไห้เบา ๆ แล้ววิ่งออกไปตามหมอหลวง
“ไร้ประโยชน์! มีแต่พวกไร้ประโยชน์!”
“องค์หญิงหก มู่ไป๋ไป่ ข้าได้จดจำความแค้นนี้เอาไว้แล้ว”
“สักวันข้าจะต้องให้เจ้าชดใช้!!”
“เหตุใดหรงเฟยจะต้องรอให้ถึงวันหน้าด้วย?” เสียงแหลมสูงของใครบางคนดังขึ้น “หลังจากกลับไปถึงวังหลวง หรงเฟยคิดว่าจะยังมีโอกาสลงมือได้อีกหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ใครน่ะ?” หญิงสาวมองออกไปด้านนอกหน้าต่างพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ใครอยู่ตรงนั้น!”
“ข้าน้อยมาที่นี่ก็เพื่อช่วยเหลือหรงเฟย” ไม่นานก็มีขันทีหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาทางประตูช้า ๆ
“เจ้าเป็นคนของตำหนักใด เจ้ากล้าเข้ามาในเรือนพักผ่อนของข้าตามใจชอบได้อย่างไร?” หรงเฟยมองขันทีด้วยท่าทางหวาดระแวง “ออกไปเดี๋ยวนี้นะ!”
“หรงเฟย ท่านอยากให้ข้าน้อยออกไปจริง ๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ?” ขันทีคนนี้ไม่ได้รู้สึกกลัวเลย เขาทำเพียงแค่มองสตรีตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อน หลังจากนี้คงไม่มีใครสามารถช่วยท่านจัดการกับองค์หญิงหกได้ ข้าน้อยขอตัวลา”
คำพูดนั้นทำให้มีแสงอันมืดมิดส่องประกายผ่านดวงตาของหรงเฟย “ข้าไม่เข้าใจสิ่งที่เจ้ากำลังพูด ถ้าเจ้าไม่รีบออกไปจากที่นี่ ข้าจะเรียกให้คนมาจัดการเจ้าซะ!”