บทที่ 120: ปล่อยให้เจ้าเป็นอิสระอีก 2 ปี
“...” มู่เทียนฉงนิ่งเงียบไม่เอ่ยถ้อยคำใด ๆ ออกมา
“แคว้นเป่ยหลงมีเสด็จพี่เพียงคนเดียวก็พอแล้ว” เซียวถังอี้พูดด้วยสีหน้าจริงจังอยู่ครู่หนึ่ง แต่จากนั้นเขาก็กลับมามีท่าทีเหลาะแหละเหมือนเดิม “ข้าเหมาะกับการใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อย และคอยช่วยพระองค์จัดการงานบางอย่างอยู่นอกวังหลวงมากกว่า”
“เจ้านี่มัน…” ฮ่องเต้หนุ่มรู้สึกปวดหัวทันทีที่คิดว่าอีกฝ่ายจะขาดการติดต่อไปอีก “ถ้าเสด็จพ่อยังมีชีวิตอยู่ พระองค์คงจะดุเจ้าเรื่องนี้อีกแล้ว”
เซียวถังอี้ยิ้มและไม่ได้พูดอะไร ไม่ว่าอดีตฮ่องเต้จะเคยตรัสว่าอย่างไรก็ตาม ในความเห็นของเขา มู่เทียนฉงทำได้ดีกว่ามาก
“เอาเถอะ เราจะปล่อยให้เจ้าใช้ชีวิตอย่างอิสระต่อไปอีก 2 ปี” ผู้เป็นฮ่องเต้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องยื่นคำขาด “ในยามที่เจ้าอายุครบ 18 ปี ไม่ว่าเจ้าจะเห็นด้วยหรือไม่ ถังอี้ เจ้าจะต้องกลับมา”
เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบรับพี่ชาย เขาทำเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์เสี้ยวที่ถูกเมฆบดบังเอาไว้บางส่วน
ค่ำคืนนี้เมืองหลวงไม่ได้สงบเหมือนที่เคย แต่ที่วัดฮู่กั๋วกลับสงบสุข
หลังจากมู่ไป๋ไป่วิ่งเต้นมาทั้งวัน คืนนั้นเธอก็หลับสบายจนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าซูหว่านย้ายมาอยู่ด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่
พอเด็กหญิงตื่นขึ้นมา เธอก็พบว่ามีคนจำนวนมากมาอาศัยอยู่ในเรือนพักของตน
เวลาผ่านไปไม่นาน ซูหว่านก็นำกลุ่มนางกำนัลมาหาเธอซึ่งมีคนหนึ่งถือถ้วยน้ำแกงที่ดูคุ้นตา
“เจ้าตื่นแล้วหรือ?” ผู้เป็นแม่แตะหน้าผากของลูกสาวเพื่อวัดไข้ตามปกติ ก่อนจะมองสำรวจใบหน้ากลมมน แล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ไม่เลวเลย สีหน้าของเจ้าดูดีกว่าเมื่อวานมาก แต่เอาเถอะ หมอหลวงฉินอยู่ที่นี่แล้ว ให้เขาตรวจเจ้าสักหน่อย”
“อย่างไรเสีย เมื่อวานนี้แม่เห็นว่าเจ้าดูเหมือนจะชอบน้ำแกงโสมนี้มาก วันนี้แม่จึงต้มมาเพิ่มให้เจ้า”
ต่อมา หว่านผินส่งสัญญาณให้นางกำนัลส่งถ้วยน้ำแกงให้องค์หญิงหกขณะมองเด็กน้อยด้วยสายตาอ่อนโยน “เจ้าดื่มสิ”
ขณะนี้มู่ไป๋ไป่ยังคงมึนงงกับกลิ่นฉุนของน้ำแกง และแอบรู้สึกเสียใจอยู่ในใจ
ทำไมเมื่อวานเธอถึงเทน้ำแกงโสมทิ้งหมดกัน อย่างน้อยเธอควรจะเหลือมันไว้บ้าง มิเช่นนั้นซูหว่านคงไม่คิดว่าเธอชอบดื่มมันหรอก
เมื่อเด็กหญิงกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับวิธีการจัดการกับน้ำแกงโสมในวันนี้ คนของไทเฮาก็มาแจ้งว่ากำหนดการสวดมนต์วันนี้ขยับขึ้นมาเร็วกว่าวันอื่น ดังนั้นจึงขอให้ทุกคนไปรวมตัวที่วิหารเร็วขึ้นสักหน่อย
และสุดท้ายก็ยังเอ่ยกำชับเป็นพิเศษว่าหากมู่ไป๋ไป่ยังคงรู้สึกไม่สบาย วันนี้นางไม่ต้องไปสวดมนต์
ตามแผนเดิมของคนตัวเล็ก แน่นอนว่าในวันนี้เธอต้องไม่อยากไปสวดมนต์
แต่พอมู่ไป๋ไป่คิดว่าซูหว่านจะต้องต้มน้ำแกงโสมให้เธอต่อไปอีกเป็นแน่ เธอก็รีบบอกไปทันทีว่าตนหายดีแล้ว จากนั้นจึงกลับไปที่ห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดอะไร
“เด็กคนนี้นี่…” ผู้เป็นแม่มองน้ำแกงโสมที่ยังไม่ได้แตะต้องบนโต๊ะพลางถอนหายใจอย่างขบขัน “นางยังคงไม่ชอบกินยาเหมือนเดิม”
“พระสนม องค์หญิงหกไม่ชอบกินยา แต่พระองค์ก็ยังดื่มน้ำแกงโสมที่พระสนมนำมาให้เมื่อวานจนหมด นี่แสดงให้เห็นว่าองค์หญิงรู้สึกเสียใจที่ทำให้พระสนมต้องเป็นกังวล จึงต้องการจะทำให้พระสนมมีความสุขเพคะ” นางกำนัลที่ถือน้ำแกงโสมกล่าวปลอบโยนหว่านผิน
“ข้ารู้” หญิงสาวลดสายตาลงพร้อมกับยิ้ม “ไป๋ไป่ เด็กคนนี้เป็นคนรู้ความตลอด”
ในห้องของมู่ไป๋ไป่ ผู้มีเหตุให้ต้องถอนหายใจขณะเปลี่ยนเสื้อผ้า
ก่อนหน้านี้เจ้าส้มกำลังหลับอยู่ มันไม่อาจทนฟังสิ่งที่เกิดขึ้นได้อีกต่อไปและส่งสายตามองเด็กหญิงอย่างเอือมระอา “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
“ถึงแม้ว่าข้าจะบอกเจ้าไป เจ้าก็ไม่เข้าใจหรอก” คนตัวเล็กกลอกตามองแมวอ้วน “เจ้านอนของเจ้าไปเถอะ”
“เอ๊ะ!” เจ้าส้มส่งเสียงไม่พอใจ “เจ้าไม่บอกแล้วข้าจะรู้ได้อย่างไร มนุษย์หน้าโง่อย่างเจ้ามีอะไรที่แมวตัวนี้ไม่เข้าใจอีก?”
มู่ไป๋ไป่ไม่สนใจคำพูดของอีกฝ่าย เธอทำเพียงแค่เปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวจะไปสวดมนต์
“นี่ หยุดเดี๋ยวนี้นะ ข้ายังพูดไม่จบ!” เมื่อเจ้าส้มเห็นว่าเด็กน้อยกำลังจะหนีไป มันจึงรีบกระโดดลงจากเตียงไปยืนขวางหน้าอีกคน “ข้ามีเรื่องอยากจะถามเจ้า ในวันที่ข้าไม่ได้อยู่ที่นี่ เจ้าไปทำอะไรให้ใครโกรธเข้าหรือไม่?”
“หา?” มู่ไป๋ไป่ทำหน้าสับสน และสงสัยว่าทำไมจู่ ๆ เจ้าแมวตัวโตถึงถามเช่นนี้
“ฮึ! นึกแล้วเชียว” เจ้าส้มมองเด็กหญิงตรงหน้าด้วยสายตาเหยียดหยาม “เมื่อคืนนี้ตอนกลางดึก มีขันทีแอบย่องมาที่ประตู ดูจากท่าทางแล้วคนผู้นี้ไม่ได้มาดีแน่”
“ขันทีอย่างนั้นหรือ?” คนตัวเล็กรู้สึกสนใจในสิ่งที่มันพูดขึ้นมาทันที “เจ้าจำเวลาที่เจาะจงได้หรือไม่ แล้วขันทีคนนั้นมาจากทางไหนและกลับไปอย่างไร?”
“ข้าจะไปจำเรื่องนั้นได้อย่างไร?” เจ้าส้มพูดพร้อมกับหันหลังให้มู่ไป๋ไป่
เมื่อคืนตอนที่มันหลับไปแล้ว มันตื่นขึ้นมาเพราะปวดฉี่
ส่งผลให้มันต้องตกใจที่จู่ ๆ ก็เห็นร่างหนึ่งอยู่นอกลานบ้าน
“อย่างนี้นี่เอง…” มู่ไป๋ไป่แตะคางตัวเองเบา ๆ “พวกเขาอาจจะเป็นคนของหรงเฟย อย่างไรก็ตาม หรงเฟยก็เป็นเพียงคนเดียวในวัดฮู่กั๋วที่ต้องการจะจัดการกับข้าในตอนนี้”
เธอคิดว่าหลังจากที่เจ้าสัตว์ประหลาดสั่งสอนหรงเฟยไปครั้งที่แล้ว นางจะกลับตัวกลับใจเสียอีก
ใครจะไปคาดคิดว่าผ่านไปเพียงไม่กี่วัน หรงเฟยจะเริ่มดิ้นรนหาทางแก้แค้นเธออีกแล้ว
“หรงเฟย?” เจ้าส้มทำหน้าไม่เข้าใจก่อนจะถามว่า “นั่นใครกัน?”
“เอาไว้ข้าจะอธิบายเรื่องนี้ให้เจ้าฟังระหว่างทาง” มู่ไป๋ไป่คว้าตัวแมวอ้วนขึ้นมาแล้วพูดว่า “เจ้าไปที่วิหารกับข้า หากเจ้าเห็นขันทีที่มาด้อม ๆ มอง ๆ เมื่อคืนนี้ก็บอกให้ข้ารู้ด้วย”
“อะไรนะ?” เจ้าส้มประท้วงพร้อมกับพยายามดิ้นรนออกจากอ้อมแขนของเด็กหญิง “ข้าไม่อยากสวดมนต์ ข้าอยากนอนต่อ มู่ไป๋ไป่ ปล่อยข้าไปเดี๋ยวนี้นะ!”
“ข้าคิดไว้แล้วว่าข้าไม่ควรตามเจ้ากลับมา”
“ข้าได้พลอดรักกับแม่ขาวมณีอยู่ที่ตีนเขาต่อไปก็ดีอยู่แล้ว ทำไมข้าต้องกลับมาทรมานกับเจ้าด้วย!”
“เอ๋ ในที่สุดเจ้าก็พูดถึงแม่ขาวมณีของเจ้าแล้วหรือ?” มู่ไป๋ไป่ทำหน้าล้อเลียนเจ้าส้ม “ข้าไม่ได้ยินเจ้าพูดถึงแม่ขาวมณีของเจ้ามาตั้งแต่เมื่อวานจนข้าเผลอคิดไปแล้วว่าเจ้าถูกนางทิ้ง”
ทางด้านแมวตัวโตกะพริบตาปริบ ๆ แบบมีพิรุธ “จะเป็นไปได้อย่างไร! เจ้าไม่รู้หรอกว่าแม่ขาวมณีชอบข้ามากเพียงใด…”
“ใช่ ๆ” เด็กหญิงแสร้งทำเป็นไม่สังเกตเห็นความผิดปกตินั้นและพยักหน้าเห็นด้วย “เจ้าส้มของเรางดงามมาก นางจะไม่ชอบเจ้าได้อย่างไรกัน?”
“ถูกต้อง” เจ้าส้มรู้สึกมั่นใจมากขึ้นในขณะที่พูดว่า “ข้าตามเจ้ากลับมาเพราะข้าเป็นห่วงเจ้า ถึงแม้ว่าจะไม่เต็มใจนักก็เถอะ ไม่ใช่เป็นเพราะแม่ขาวมณีเมินข้าอย่างแน่นอน”
“...”
เจ้าแมวโง่ตัวนี้ ทำไมหลังจากลงเขาแล้วถึงไม่ก้าวหน้าเลยสักนิด?
ในวันนี้ไทเฮาคิดว่ามู่ไป๋ไป่จะพักผ่อนต่ออีกสักหน่อย แต่เมื่อถึงเวลาตามกำหนด พระนางก็เห็นเด็กน้อยปรากฏตัวที่วิหารพร้อมกับแมวอ้วนตัวสีส้ม
“ไป๋ไป่ เจ้าหายป่วยแล้วหรือ ทำไมเจ้าถึงมาที่วิหารล่ะ?” สตรีสูงวัยกวักมือเรียกให้หลานสาวมาหาตน “มานี่สิ ให้เราตรวจเจ้าดูหน่อย”
“ท่านย่า~” มู่ไป๋ไป่เดินเข้าไปอย่างเชื่อฟัง และเสียงเรียกที่ไพเราะนั้นก็ทำให้ไทเฮามีความสุขมาก
“ทำไมเวลาแค่เพียงวันเดียวหน้าเจ้าถึงได้ตอบเช่นนี้ล่ะ?” ผู้เป็นย่าสัมผัสใบหน้าเล็ก ๆ ของเด็กหญิง จากนั้นพระนางมองไปรอบ ๆ ก่อนกระซิบว่า “ให้เราส่งคนลงภูเขาไปซื้อของอร่อย ๆ มาให้เจ้ากินดีหรือไม่?”
“เจ้าอยู่ในวัยกำลังโต แล้วยังป่วยอยู่อีก เราจะปล่อยให้เจ้ากินอาหารเจที่วัดฮู่กั๋วต่อไปได้อย่างไร?”
“ไม่เป็นไรเพคะ” มู่ไป๋ไป่เกือบจะหลุดหัวเราะกับสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าว เมื่อก่อนเธอเคยคิดว่าไทเฮาเป็นคนดุคนหนึ่ง แต่ตอนนี้ยิ่งเธอได้สนิทสนมกับพระนางมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้ว่าจริง ๆ แล้วพระนางเป็นคนที่น่ารักมากคนหนึ่ง