บทที่ 119: ย้ายมาอยู่กับเจ้า
“เร็วขนาดนั้นเลยหรือ?” ซูหว่านสะดุ้งตกใจ และรีบหันไปมองปากเล็ก ๆ ของลูกสาวอย่างเป็นกังวล “เจ้าเด็กโง่ น้ำแกงมันร้อน ถ้าเจ้าดื่มเข้าไปทีเดียวเช่นนี้มันจะไม่ลวกปากเอาหรือ?”
มู่ไป๋ไป่หน้าเห่อร้อนขึ้นมาเมื่อลืมนึกถึงเรื่องนี้ “ไม่เป็นไรเพคะ…”
“เจ้าเด็กโง่” พอหญิงสาวเห็นว่าเจ้าตัวเล็กไม่ได้โดนน้ำแกงลวกจริง ๆ นางก็ถอนหายใจแล้วปล่อยมันไป “วันนี้ตอนที่สวดมนต์อยู่ที่วิหารแม่คิดหนักมาก แม่มักจะรู้สึกว่าช่วงนี้ตนเองละเลยเจ้า จึงทำให้เจ้าต้องมาป่วยเช่นนี้”
นับตั้งแต่ที่มู่ไป๋ไป่เปลี่ยนไป นางก็รู้สึกวางใจในตัวเด็กคนนี้มากขึ้นและไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับลูกสาวในทุกเรื่องเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป
ก่อนหน้านี้นางคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ดีสำหรับมู่ไป๋ไป่
ทว่าตอนนี้ดูเหมือนว่านางจะทำผิดพลาดลงไปแล้ว
ไม่ว่าเด็กคนนี้จะฉลาดและรู้ความมากเพียงใด แต่นางก็ยังเป็นเพียงแค่เด็ก
“ท่านแม่ ท่านอย่าได้คิดมากเลย” เด็กหญิงไม่ชอบเห็นผู้เป็นแม่ต้องมากังวลเกี่ยวกับเรื่องของตัวเองมากที่สุด มันจึงทำให้เธอตื่นตระหนกอยู่ครู่หนึ่ง
“แม่รู้ว่าไป๋ไป่รู้ความเป็นอย่างดี” ซูหว่านโน้มตัวไปจูบหน้าผากเล็ก ๆ ของลูกสาว “แต่คราวนี้มันเป็นความผิดของแม่จริง ๆ”
“แม่ได้ทูลขออนุญาตจากไทเฮาเรียบร้อยแล้ว นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป แม่จะย้ายมาอยู่กับเจ้า เพื่อให้ง่ายต่อการดูแลเจ้า”
มู่ไป๋ไป่ที่ได้ยินดังนี้ก็ตัวแข็งทื่อไปทันที
ถ้าซูหว่านย้ายมาอยู่ที่นี่ เธอจะแอบลงจากภูเขาได้อย่างไรกัน?
“เดี๋ยวแม่จะสั่งให้คนขนของของแม่มาที่นี่” หว่านผินกล่าวพลางลูบหัวเด็กน้อยด้วยความรัก “ตอนนี้ก็ใกล้ถึงเวลาแล้ว เจ้าต้องกินยาให้ตรงเวลา เดี๋ยวแม่จะกลับไปที่วิหารก่อน”
“ท่านแม่!” มู่ไป๋ไป่พยายามหาทางหยุดยั้ง แต่ซูหว่านไม่เปิดโอกาสให้เธอพูดเลยและเดินออกไปทันทีที่กำชับทุกอย่างเสร็จ
“โอ๊ย! นี่ข้าขุดหลุมฝังตัวเองหรือนี่?” คนตัวเล็กทรุดตัวลงบนเตียงด้วยความสิ้นหวัง
ขณะเดียวกัน หลัวเซียวเซียวก็โผล่หน้าออกมาเงียบ ๆ และกระซิบถามว่า “องค์หญิงหก หว่านผินจะมาอยู่ที่นี่ แล้วพรุ่งนี้เราจะลงจากภูเขาได้อีกหรือไม่เพคะ?”
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา นางติดตามมู่ไป๋ไป่ลงจากภูเขาทุกวัน แล้วค่อย ๆ รู้สึกถึงความสนุกของการอาศัยอยู่ที่นี่
เมื่อเด็กหญิงคิดว่านางคงไม่สามารถลงจากภูเขาได้บ่อยนัก นางเองก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมาเช่นกัน
“ไปสิ!” มู่ไป๋ไป่ผุดลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ “ทำไมจะไม่ไปล่ะ เรายังต้องหาเงินกันอยู่”
“แล้วทางหว่านผินล่ะเพคะ เราจะทำอย่างไร?” หลัวเซียวเซียวปิดประตูแล้วเดินเข้ามากระซิบคุยกับอีกฝ่าย “เราจะหนีจากใต้จมูกของหว่านผินไปได้อย่างไรเพคะ?”
คนตัวเล็กนิ่งคิดก่อนจะตอบว่า “ปัญหาทุกอย่างย่อมมีทางออก บางทีพรุ่งนี้ข้าอาจคิดวิธีแก้ปัญหาได้”
“...”
หลัวเซียวเซียวเองก็ได้แต่หวังว่าองค์หญิงหกจะคิดหาวิธีลงจากเขาได้
…
ขณะเดียวกันที่คุกของศาลต้าหลี่
เสียงแส้กระทบเนื้อดังก้องไปทั่วคุกที่ว่างเปล่า ยามนี้เซียวถังอี้นั่งไขว่ห้างดื่มชาขณะเฝ้าดูคนของศาลต้าหลี่ลงทัณฑ์นักโทษ
พอเด็กหนุ่มได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง เขาก็หันไปมองก่อนจะเอ่ยทักทายคนที่อยู่เบื้องหลังด้วยรอยยิ้ม “เสด็จพี่ พระองค์เองก็มาด้วยหรือ?”
มู่เทียนฉงสวมชุดคลุมสีดำแบบเดียวกับเซียวถังอี้ซึ่งทำให้ใบหน้าที่เย็นชาของเขายิ่งดูเยือกเย็นมากขึ้น
เมื่อชาวหนานซวน 2-3 คนเห็นผู้มาเยือน พวกเขาที่ถูกทรมานจนใกล้ตายก็สั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว
“คนพวกนี้คือคนของแคว้นหนานซวนที่เจ้าจับได้นอกเมืองหลวงอย่างนั้นหรือ?” ฮ่องเต้หนุ่มนั่งลงข้างน้องชายบุญธรรมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เมื่อ 2 วันก่อน เขาเป็นคนพูดต่อหน้าเซียวถังอี้ว่าแคว้นหนานซวนต้องการสงบศึกกับแคว้นเป่ยหลง แต่พอเวลาผ่านไปไม่เท่าไหร่ อีกฝ่ายก็จับสายลับหลายคนจากแคว้นหนานซวนมาให้เขา
“ไม่ใช่” เด็กหนุ่มตอบพลางเทชาให้ผู้เป็นพี่ชาย “คนพวกนี้คือคนที่ถูกจับจากในเมือง พวกมันเป็นโจรที่ลักพาตัวเด็ก ๆ ในเมืองหลวง”
มู่เทียนฉงที่กำลังยกชาขึ้นดื่มชะงักไปก่อนจะเลิกคิ้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
ทางด้านผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ซึ่งอยู่ถัดจากเขาได้ก้าวไปข้างหน้าและอธิบายด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมไม่มีเวลารายงานเรื่องนี้ให้พระองค์ทราบ...”
“ประมาณครึ่งชั่วยามที่แล้ว ท่านอ๋องส่งคนกลุ่มหนึ่งมาให้ศาลต้าหลี่โดยบอกว่าพวกเขาเป็นผู้ก่อเหตุลักพาตัวเด็กในเมืองหลวง”
“ต่อจากนั้น คุณชายอวี้ก็ส่งเด็กที่ถูกลักพาตัวมายังศาลต้าหลี่—”
“คนของแคว้นหนานซวนพวกนี้มาที่แคว้นเป่ยหลงเพื่อลักพาตัวเด็ก ๆ จากแคว้นเป่ยหลง? ท่านว่ามันหมายความว่าอย่างไร?” มู่เทียนฉงขัดจังหวะอีกฝ่ายอย่างใจร้อน
“เอ่อ...” ผู้บัญชาการศาลต้าหลี่รู้สึกลำบากใจ คนของแคว้นหนานซวนพวกนี้ปากแข็งมาก เขาทรมานพวกมันมาเป็นเวลานานแต่ก็ยังไม่สามารถเค้นคำตอบอะไรออกมาได้
จนกระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้อะไรทั้งสิ้น
“หึ! เราคิดว่าท่านเริ่มจะเลอะเลือนมากขึ้นเรื่อย ๆ” ฮ่องเต้หนุ่มโกรธมากเมื่อเห็นท่าทีลังเลของผู้บัญชาการ “เราให้เวลาท่านไปตามหาเด็กที่หายไปในเมืองหลวง แล้วผลลัพธ์เป็นอย่างไร? ถังอี้เป็นคนส่งผู้ต้องหามาให้ศาลต้าหลี่ด้วยตัวเอง”
“ทำไม ท่านไม่อยากนั่งตำแหน่งผู้บัญชาการอีกแล้วหรือ?”
“ถ้าไม่อยากนั่งก็ให้ถังอี้นั่งแทน!”
ผู้บัญชาการศาลต้าหลี่หน้าซีดกับคำพูดของนายเหนือหัว ในขณะที่เขาคุกเข่าก้มหน้าเงียบ ๆ
“เสด็จพี่ โปรดยกโทษให้ข้าด้วย” เซียวถังอี้พูดขัดขึ้นมา “ในครั้งนี้ข้ากระทำไปโดยพลการ”
มู่เทียนฉงเหลือบมองคนเป็นน้องชาย แต่มองเพียงปราดเดียวเขาก็รู้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดไม่น่าเชื่อถือ
“ข้าพอจะเดาจุดประสงค์ของแคว้นหนานซวนได้” เมื่อเซียวถังอี้หันไปมองคนของแคว้นหนานซวน ก็มีแสงเย็น ๆ แล่นผ่านดวงตาของเขา “เท่าที่ข้ารู้ คนพวกนี้ไม่ได้ซุ่มซ่อนอยู่ในเมืองหลวงเพียงไม่กี่วัน”
“ในทุก ๆ ปีพวกมันจะเลือกเด็กในวัยเดียวกันและลักพาตัวพวกเขาไป”
“พอสอบถามเด็กที่เราช่วยเหลือมาได้ คนพวกนั้นไม่ได้ทำเรื่องเลวร้ายกับเด็ก ๆ แถมพวกมันยังใจดีกับเด็ก ๆ มากกว่าด้วยซ้ำ”
“ความเป็นจริง ข้าเพียงอยากจะรู้ว่าเด็กที่พวกมันลักพาตัวไปอยู่ที่ไหนมากกว่าความจริงเบื้องหลังเกี่ยวกับสิ่งที่พวกมันกระทำ”
ผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ไม่ใช่คนโง่ เมื่อเขาได้ยินคำพูดของเซียวถังอี้ หัวใจของเขาก็กระตุกวูบและเขาก็เข้าใจความหมายของอีกฝ่ายทันที
หากมันเป็นจริงอย่างที่ท่านอ๋องคิด ในเวลานี้ภายในแคว้นเป่ยหลงก็ไม่รู้ว่ามียอดฝีมือที่แคว้นหนานซวนฝึกฝนมาอยู่กี่คน
สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือ ยอดฝีมือเหล่านี้เป็นเด็กของแคว้นเป่ยหลงเอง
“ใครก็ได้เข้ามา!” ผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ไม่กล้ารอช้าแม้เพียงเสี้ยวอึดใจ เขารีบสั่งการให้คนออกไปสืบสวนเรื่องนี้โดยเร็ว
“เสด็จพี่ พระองค์อยากจะออกไปเดินเล่นหรือไม่?” เซียวถังอี้วางถ้วยชาลงแล้วยืดตัวขึ้น “ที่นี่อบอ้าวไปสักหน่อย ทำไมพระองค์ไม่ออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์สักหน่อยล่ะ?”
มู่เทียนฉงพยักหน้าเบา ๆ
ปัจจุบันท้องฟ้าด้านนอกคุกมืดสนิทเป็นที่เรียบร้อย
ยามนี้อันกงกงถือตะเกียงรออยู่ที่หน้าประตูคุก เมื่อเขาเห็นมู่เทียนฉงกับเซียวถังอี้เดินออกมาพร้อมกัน เขาก็ทำความเคารพทั้ง 2 แล้วเดินตามหลังไปอย่างใกล้ชิด
“เจ้าคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร?” ฮ่องเต้หนุ่มเดินไปได้ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยปากพูด “เห็นได้ชัดว่าแคว้นหนานซวนวางแผนเรื่องนี้มาเป็นเวลานาน…”
“บ่งบอกด้วยว่าพวกมันมีความทะเยอทะยานสูงมาก”
“ข้าเองก็ไม่รู้” เด็กหนุ่มหัวเราะเบา ๆ “แคว้นหนานซวนรู้จักแต่จะทำเรื่องน่ารังเกียจ”
“ถังอี้…” มู่เทียนฉงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะถามว่า “เจ้าไม่เต็มใจจะกลับไปช่วยเราจริง ๆ หรือ?”
“เสด็จพี่” เซียวถังอี้หยุดฝีเท้าลง ภายใต้แสงจันทร์ รอยยิ้มบนริมฝีปากของเขาค่อย ๆ จางลง ในขณะที่แววตาเปลี่ยนเป็นจริงจัง “ข้าไม่ได้มีความคิดที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในราชสำนัก”
--------------------------------------------------
มีใครรอ E-Book ไป๋ไป่เล่ม 5 กันอยู่บ้าง~ วันที่ 21 ธ.ค. 67 นี้เตรียมตังค์รอกันได้เลย! นักอ่านสามารถเข้าไปกดลงตะกร้ากันได้ที่ลิงก์ด้านล่างเลยน้า