บทที่ 110 ชมวิว
บทที่ 110 ชมวิว
เมื่อมองไปยังเฉินเฉิงที่เดินหายลับไปหลังประตู เจียงลู่ซีถึงกับชะงักไปเล็กน้อย ใบหน้าที่แสนงดงามปรากฏรอยสีชมพูเรื่อขึ้นทันที เธอรู้สึกว่าไม่น่าพูดคำนั้นออกไปเลย ไม่น่าจะยิ้มแบบนั้นออกไปเลย และในระหว่างทางที่เดินกลับมา ก็น่าจะไม่ถามคำถามนั้นออกไปด้วยซ้ำ
เจียงลู่ซีปิดประตูแล้วล็อกมัน
เสียงลมที่พัดแรงทำให้มีเสียงหวีดหวิวลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา
เจียงลู่ซีจึงเดินไปปิดหน้าต่างให้แน่นขึ้นอีกหน่อย
อากาศเย็นลงอย่างกะทันหัน เธอรู้สึกได้ชัดเจน
เมื่อเทียบกับตอนกลางวันหรือเมื่อวานแล้ว ตอนนี้อุณหภูมิลดลงไปไม่ต่ำกว่าสิบองศา
เมื่อวานเธอสวมแค่เสื้อแขนยาวก็ยังรู้สึกไม่หนาว แต่ตอนนี้กลับรู้สึกหนาวมากขึ้น
เจียงลู่ซีถอดรองเท้าและถุงเท้า แล้วนำไปวางไว้ในตู้รองเท้า จากนั้นก็เปลี่ยนมาใส่รองเท้าแตะของโรงแรมแทน
หลังจากเปลี่ยนรองเท้าเรียบร้อย เธอก็ถอดเสื้อผ้าแล้วเข้าไปในห้องน้ำ
เมื่อร่างกายเปลือยเปล่า ความหนาวเย็นก็ยิ่งสัมผัสได้ชัดเจนขึ้น
เธอคิดว่าพรุ่งนี้ แม้จะไม่ต้องใส่เสื้อคลุม แต่ก็ต้องใส่เสื้อกันหนาวแล้ว
เธอเคยคิดว่าอากาศที่เซินเจิ้นจะคงที่และไม่เย็นมาก
แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าหน้าหนาวของเซินเจิ้นก็หนาวเหมือนกัน
เจียงลู่ซีเปิดน้ำอุ่นในห้องน้ำและอาบน้ำ
หลังจากอาบน้ำเสร็จ เธอก็เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ แล้วนั่งลงเพื่อล้างเสื้อผ้าด้วยมือ
ในโรงแรมไม่มีเครื่องซักผ้า และเธอต้องพักอยู่ที่นี่เป็นสัปดาห์ เสื้อผ้าสองชุดที่นำมาต้องซักเพื่อให้มีใส่สลับ เธอรู้สึกขอบคุณที่อากาศที่เซินเจิ้นอบอุ่นกว่าอันเฉิง ไม่ต้องใส่เสื้อหนาๆ จึงต้องซักแค่เสื้อบางๆ ผงซักฟอกเธอก็พกติดตัวมาเล็กน้อยจากบ้าน
เมื่อซักผ้าเสร็จ เจียงลู่ซีเดินไปที่ระเบียง เปิดประตูแล้วนำเสื้อผ้าออกไปตาก
ลมข้างนอกพัดแรงมาก เจียงลู่ซีที่สวมเพียงเสื้อผ้าบางๆ ยืนอยู่ตรงระเบียงและรู้สึกหนาว เธอมองออกไปข้างนอกด้วยดวงตาที่งดงาม อาคารที่พักอาศัยฝั่งตรงข้ามเริ่มดับไฟกันไปบ้างแล้ว แต่ห่างออกไปไกลกว่านั้น แสงนีออนยังคงส่องสว่าง และตามท้องถนนหน้าโรงแรมก็ยังคงเต็มไปด้วยผู้คน
ตอนนี้คงเกือบเที่ยงคืนแล้ว หากเป็นที่อันเฉิง ตอนนี้คงจะเหลือแค่ไฟถนนที่ส่องสว่างอย่างมัวๆ และผู้คนต่างนอนหลับในผ้าห่มที่อบอุ่นไปหมดแล้ว
แต่ผู้คนในเซินเจิ้นแม้จะถึงเวลาสิบเอ็ดหรือเที่ยงคืน หรือแม้กระทั่งตีหนึ่งตีสอง เสียงคึกคักจากถนนก็ยังคงดังขึ้นมาถึงบนนี้ ราวกับว่าเมืองนี้ไม่มีวันหลับไหล ในเวลากลางคืนก็ยังคงมีชีวิตชีวาเสมอ
เซินเจิ้นเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรือง แต่เจียงลู่ซีก็ยังคงชอบอันเฉิงมากกว่า
เพียงแต่ เธอไม่อยากให้คุณยายต้องอยู่ในเมืองเล็กๆ ในชนบทอีกต่อไป
เธออยากมีเงินมากพอที่จะพาคุณยายมาอยู่ในเขตตัวเมือง
เซินเจิ้นเป็นเมืองที่น่าประทับใจ แต่ถ้าเงยหน้ามองท้องฟ้า เธอไม่เห็นดาวแม้แต่ดวงเดียว
และคุณยายก็คงไม่ชอบย้ายไปอยู่เมืองที่ไม่คุ้นเคย
ดังนั้นไม่ว่าตัวเมืองอื่นจะดีเพียงใด ก็ไม่สวยงามเท่ากับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวในอันเฉิง
ความหวังของเธอไม่ได้ยิ่งใหญ่มากนัก แต่เพื่อความหวังเล็กๆ นี้ เธอก็ต้องพยายาม
เจียงลู่ซีกลับเข้าห้องแล้วปิดประตูระเบียง
เมื่อเข้ามาข้างใน เธอยังไม่ได้เข้านอนทันที แต่กลับนั่งที่โต๊ะและเริ่มเขียนโจทย์ที่ต้องสอนเฉินเฉิงในวันพรุ่งนี้ใส่ในสมุด เนื่องจากไม่มีหนังสือเรียนให้ยืดอิง ทุกครั้งที่ติวเธอจึงต้องจดเนื้อหาที่จะสอนลงในสมุดก่อนซึ่งทำให้เสียเวลาไปมาก ดังนั้นตั้งแต่คืนนี้เธอตั้งใจที่จะเขียนไว้ล่วงหน้าเพื่อจะได้สอนเขาได้ทันทีพรุ่งนี้ เธออยากสอนเนื้อหาคณิตศาสตร์มัธยมปลายทั้งหมดให้เฉินเฉิงให้จบ
แบบนี้ตอนที่เฉินเฉิงสอบเข้ามหาวิทยาลัย เขาจะได้มีความรู้ทั้งวิชาภาษาไทยและคณิตศาสตร์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มคะแนนให้เขาไม่น้อย
หลังจากเขียนเนื้อหาที่ต้องสอนในวันพรุ่งนี้เสร็จแล้ว เจียงลู่ซีก็วางปากกา นั่งเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงล้มตัวลงนอนในผ้าห่ม
เวลานั้นเฉินเฉิงที่อยู่ในห้องข้างๆ ยังไม่ได้หลับ หลังจากกลับมาจากห้องของเจียงลู่ซี เขานอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียงเป็นเวลาหลายชั่วโมง เพิ่งจะวางหนังสือลงแล้วใช้รีโมตเปิดทีวีในห้อง
ทีวีแสดงเวลาเที่ยงคืนพอดี เฉินเฉิงรู้สึกหนาวจึงหยิบมือถือมาเช็คสภาพอากาศแล้วพบว่าอุณหภูมิลดลงเหลือประมาณ 10 องศา
เมื่อคืนยังอุ่นๆ ประมาณยี่สิบแปดเก้าองศา ตอนนี้ลดลงไปสิบหกเจ็ดองศาเลย
เพราะอากาศที่อยู่ติดทะเลและชื้น ทำให้ความหนาวของเซินเจิ้นอาจไม่เหมือนความหนาวของภาคเหนือ แต่ในอากาศที่สิบองศาก็ทำให้ถึงเวลาใส่เสื้อหนาแล้ว หากไม่ใส่เสื้อผ้าอุ่นๆ ขาอาจหนาวจนรู้สึกได้ชัดเจน
เฉินเฉิงเปิดเครื่องปรับอากาศในห้อง
ข้อดีของโรงแรมนี้คือไม่เหมือนโรงแรมราคาถูกทั่วไปในเซินเจิ้นที่มีเพียงลมเย็นไม่มีลมร้อน เมื่อเปิดเครื่องปรับอากาศให้ปล่อยลมอุ่นออกมาแล้ว เฉินเฉิงก็ปิดไฟแล้วล้มตัวลงนอน
เช้าวันรุ่งขึ้น เฉินเฉิงตื่นขึ้น เขาสวมเสื้อผ้าและเปิดทีวี จากนั้นเข้าไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ ขณะที่เขาใช้ผ้าขนหนูเช็ดหน้าก็เห็นรายการข่าวเช้าของสถานีโทรทัศน์เซินเจิ้น
“ผลกระทบจากอากาศเย็นที่แผ่ลงมาจากภาคเหนือของประเทศ ทำให้ในช่วงสัปดาห์นี้ อุณหภูมิที่เซินเจิ้นจะอยู่ในช่วง 9 ถึง 15 องศาเซลเซียส โดยอุณหภูมิจะลดต่ำสุดถึง 9 องศาในเวลากลางคืน และจะมีลมเหนือพัดแรงถึงระดับ 4-5 ขอให้ประชาชนเตรียมรับมือกับอากาศหนาว”
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมอากาศถึงหนาวขนาดนี้ เฉินเฉิงโทรหาพ่อแม่ถึงได้รู้ว่าหลายพื้นที่ทางเหนือมีหิมะตกแล้ว
เขามองเวลาอีกครั้งก็พบว่าเกือบจะแปดโมงแล้ว
เฉินเฉิงจึงปิดทีวีกับเครื่องปรับอากาศแล้วออกไปข้างนอก
ทุกเช้าเวลาแปด
โมงเป็นเวลาที่พวกเขาต้องรวมตัวกันไปทานอาหารเช้า
ตอนที่เฉินเฉิงลงมาชั้นล่าง เจียงลู่ซีก็มาถึงแล้ว
เพื่อนๆ คนอื่นก็มากันเกือบครบแล้วเช่นกัน
เมื่อเฉินเฉิงมองไปทางเจียงลู่ซีที่ยืนอยู่อีกฝั่ง เธอที่แตกต่างจากเพื่อนนักเรียนคนอื่นๆ ก็หันมามองเขาเช่นกัน ทั้งสองสบตากันครู่หนึ่ง ก่อนที่เจียงลู่ซีจะเบนสายตาไปที่อื่น
หลังจากที่เฉินเฉิงมาถึงได้ไม่นาน ครูข่งหลินกับครูอีกสองท่านก็เดินลงมา
“พวกเธอมากันครบแล้วสินะ วันนี้อากาศหนาวมาก นี่มันอากาศอะไรกันนะ จากสามสิบองศาลดลงมาจนเหลือสิบองศาได้ยังไง?” ครูข่งหลินพูดขึ้น
“ใช่ครับ ตอนกลางคืนผมหลับๆ อยู่ก็หนาวจนตื่น ในชั่วข้ามคืนอากาศเหมือนเปลี่ยนจากฤดูร้อนกลายเป็นฤดูหนาวเลย คงต้องหาซื้อยาแก้หวัดไว้บ้างแล้ว พวกเธอก็ต้องรักษาความอบอุ่นกันด้วยนะ อย่าให้เป็นหวัดเหมือนครู” ครูเฉินอี้พูดพร้อมกับจาม
ครูข่งหลินพูดต่อ “วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราจะอยู่ที่นี่แล้ว พรุ่งนี้ก็จะประกาศผลรางวัลและสรุปการแข่งขัน พอผลออก พวกเราก็จะได้กลับบ้านกันแล้ว”
“ครูกับครูท่านอื่นๆ คุยกันไว้ว่า พอทานข้าวเช้าเสร็จแล้ว ช่วงเช้าพวกเธอมีอิสระ ส่วนตอนบ่ายหลังจากกินข้าวเที่ยงแล้ว พวกเราจะไปเที่ยวที่ภูเขาเหลียนฮว๋าซานกับเพื่อนนักเรียนจากอีกหลายๆ เมือง”
“ดีจัง เมื่อวานผมคุยกับพี่เติ้งเทียนว่าจะไปเหลียนฮว๋าซานพอดี ได้ยินว่าภูเขาเหลียนฮว๋าซานอยู่ไม่ไกล นั่งรถไฟใต้ดินแป๊บเดียวก็ถึง” นักเรียนคนหนึ่งพูดขึ้น
“ใช่ ได้ยินว่าถ้าปีนขึ้นไปถึงยอด จะได้เห็นรูปปั้นและลายเซ็นของท่านผู้นำด้วย” นักเรียนอีกคนยิ้มตอบ
ครูข่งหลินพยักหน้าแล้วยิ้ม ครูหลายท่านที่มาจากเมืองอื่นๆ ก็มีแผนพานักเรียนไปที่สวนสาธารณะภูเขาเหลียนฮว๋าซานเช่นกัน เพราะที่นั่นเป็นหนึ่งในจุดท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่สำคัญของเมืองเซินเจิ้น
หลังจากพูดคุยกันเสร็จ ครูข่งหลินก็พาทุกคนไปที่ร้านอาหารเช้า
ร้านอาหารเช้าแห่งนี้มีรูปแบบคล้ายฟาสต์ฟู้ด พวกเขาจะถือถาดแล้วเลือกเมนูที่ชอบให้พนักงานตักให้ ส่วนอาหารเช้าในเซินเจิ้นส่วนใหญ่จะมีเสี่ยวหลงเปา ก๋วยเตี๋ยวหลอด และข้าวแห้งหรือเส้นหมี่
เฉินเฉิงชอบทานข้าวแห้งที่นึ่งกับพริกเขียวผัด รสชาติอร่อยมาก
เขาจึงสั่งข้าวแห้งหนึ่งจาน เสี่ยวหลงเปาหนึ่งเข่ง และนมถั่วเหลืองหนึ่งแก้ว
เจียงลู่ซีตักอาหารเสร็จแล้ว ส่วนเฉินเฉิงก็ตักอาหารเสร็จแล้วเช่นกันและเดินไปหาเธอ
เจียงลู่ซีสั่งแค่อาหารเช้าเรียบง่าย ไข่ต้มหนึ่งฟองกับข้าวต้มหนึ่งถ้วย
“อาหารเช้าเบิกเงินคืนได้นะ ทำไมถึงตักแค่นี้ล่ะ?” เฉินเฉิงถาม
“แค่นี้ก็อิ่มแล้วค่ะ อีกอย่างถ้าตักเยอะเกินไปกินไม่หมดจะโดนปรับเงิน” เจียงลู่ซีตอบ
จริงๆ แล้วเหตุผลที่เธอตักน้อยเพราะไม่อยากให้โดนปรับเงินมากกว่า ก่อนหน้านี้ครูข่งหลินกำชับไว้ว่าให้ตักพออิ่ม หากเหลือเยอะเกินไปจะต้องถูกปรับเงิน
เจียงลู่ซีไม่อยากกินข้าวแล้วต้องเสียเงินเพิ่ม เลยตักอาหารน้อยทุกครั้ง
แต่เธอไม่รู้ว่าครูข่งหลินพูดแค่เพื่อเตือนใจเท่านั้น เขาไม่ได้ตั้งใจจะปรับเงินจริงๆ หากเหลืออาหารไม่มาก ครูจะไม่ว่าอะไรเลย เขาแค่ไม่อยากให้เด็กๆ ฟุ่มเฟือยและเหลืออาหารทิ้งเท่านั้น และไม่มีนักเรียนคนไหนเชื่อจริงจัง ยกเว้นเจียงลู่ซี
จะให้เหลืออาหารเยอะก็คงไม่เป็นไร เพราะครูข่งหลินคงไม่ลงโทษปรับเงินเด็กๆ จริงจัง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฉินเฉิงจึงหยิบถาดของเธอแล้วเดินไปสั่งนมขวดหนึ่ง และสั่งก๋วยเตี๋ยวหลอดไส้หมูให้เธออีกหนึ่งจาน เมื่อมาเยือนกวางตุ้งทั้งที จะพลาดก๋วยเตี๋ยวหลอดได้อย่างไร ถึงแม้จะไม่ชอบ ก็ยังควรได้ลองสักครั้ง
หลังจากตักเสร็จ เขาก็วางถาดไว้ตรงหน้าเธอ
เมื่อเห็นอาหารที่เพิ่มเข้ามา เจียงลู่ซีก็รีบพูดอย่างตกใจ “เยอะไปนะ! ฉันกินไม่หมดหรอก แบบนี้ต้องเหลือแน่ๆ” แล้วเธอก็พูดเบาๆ ต่อ “เดี๋ยวโดนปรับเงินอีก”
“ไม่เป็นไร” เฉินเฉิงมองเธอแล้วยิ้ม “เธอกินไม่หมดเดี๋ยวฉันช่วยกินเอง จะไม่โดนปรับเงินหรอก”
เจียงลู่ซีฟังแล้วถึงกับอึ้ง
“จะบอกว่าเธอกินไม่หมดแล้วจะให้ฉันช่วยกินเหรอ?”
เธอรู้สึกว่า ถ้ากินเหลือแล้วให้เฉินเฉิงช่วยกิน มันจะดูสนิทสนมเกินไป
เธอคิดแบบนี้จึงตั้งใจทานก๋วยเตี๋ยวหลอดกับไข่ให้หมด
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ลองก๋วยเตี๋ยวหลอด รสชาติอร่อยมาก
“นี่ไง ก็กินหมดแล้วใช่ไหมล่ะ?” เฉินเฉิงพูดหลังจากทานอาหารในถาดของตัวเองหมด
เจียงลู่ซีเม้มปากและไม่พูดอะไร
จากนั้นเธอก็ยกข้าวต้มขึ้นมาดื่มต่อ
ความจริงแล้ว ในวัยนี้ร่างกายกำลังเจริญเติบโต
เธอไม่ได้ตัวเล็ก อาหารแค่นี้ไม่น่าจะกินไม่หมดอยู่แล้ว
เพียงแค่กลัวตักเยอะแล้วกินไม่หมดจะโดนปรับเงินเท่านั้นเอง
“อาหารไม่เยอะขนาดนั้นหรอกนะ คงกินหมดอยู่แล้ว ครั้งหน้าก็ไม่ต้องกังวลว่าจะกินไม่หมดจนโดนปรับเงิน ตักมาเยอะๆ ได้เลย เพราะมันไม่ได้จ่ายจากเงินเรา ถ้ากินไม่หมดจริงๆ เดี๋ยวฉันช่วยกิน ไม่ต้องกลัวโดนหักเงิน” เฉินเฉิงพูด
เจียงลู่ซีไม่ได้พูดอะไร
“ดื่มนมด้วยนะ” เมื่อเห็นเธอดื่มข้าวต้มหมด เฉินเฉิงก็เสียบหลอดให้
“ฉันทำเองก็ได้ค่ะ” เจียงลู่ซีหยิบนมมาเอง
น่าเสียดายที่ครูข่งหลินสั่งไว้ว่าต้องทานอาหารในร้าน ไม่สามารถนำออกไปได้ ไม่เช่นนั้นเธอคงเอานมนี้กลับไปให้คุณยายดื่ม
“กินอิ่มแล้วใช่ไหม? เอาเพิ่มไหม?” เฉินเฉิงมองดูเธอกินอย่างสนุกสนาน
โดยเฉพาะตอนที่เธอนั่งดื่มนมเงียบๆ มันดูน่ารักดี
“ไม่แล้วค่ะ อิ่มแล้ว” เจียงลู่ซีโบกมือรีบพูด “อิ่มแล้วค่ะ”
ตอนนี้อิ่มพอดี กินมากกว่านี้คงกินไม่ไหวแล้ว
“กินอิ่มก็ดี งั้นเรากลับกันเถอะ” เฉินเฉิงพูด
“อื้ม
” เจียงลู่ซีพยักหน้า
หลังจากทานอาหารเสร็จ พวกเขาก็แยกย้ายไปทำกิจกรรมตามที่ต้องการ
และกิจกรรมของเฉินเฉิงในช่วงเช้าก็คือกลับไปที่โรงแรมแล้วติวหนังสือต่อในห้องพัก
เมื่อกลับเข้าห้อง เจียงลู่ซีก็หยิบสมุดขึ้นมาจะเริ่มติวคณิตศาสตร์ให้เฉินเฉิง
“เมื่อวานเธอไม่ได้เปิดแอร์เหรอ?” เฉินเฉิงถาม
“ไม่ได้เปิดค่ะ” เจียงลู่ซีส่ายหน้า
“ปรับอุณหภูมิแอร์ให้สูงขึ้นได้นะ ถ้าอากาศหนาวก็เปิดแอร์เป็นโหมดอุ่น” เฉินเฉิงหยิบรีโมตบนโต๊ะทีวีมาปรับอุณหภูมิให้เป็นโหมดอุ่น
ไม่นานนัก ลมอุ่นก็เริ่มกระจายไปทั่วห้อง ความหนาวเย็นที่รู้สึกก่อนหน้านี้ก็หายไปหมด
“ฉันปรับให้แล้วนะ ครั้งหน้าถ้าหนาวก็แค่เปิดแอร์ก็พอ” เฉินเฉิงพูด
“ค่ะ” เจียงลู่ซีพยักหน้า
เฉินเฉิงถอดเสื้อคลุมออกแล้ววางบนเตียงของเธอ
จากนั้นทั้งสองคนนั่งพิงเตียงกันอีกครั้ง
เจียงลู่ซีเริ่มติวคณิตศาสตร์ให้เฉินเฉิงต่อ
หลังจากติวช่วงเช้าเสร็จ ทั้งสองลงไปทานอาหารกลางวัน แล้วช่วงบ่ายพวกเขาก็ไปเที่ยวภูเขาเหลียนฮว๋าซานกับเพื่อนๆ สวนสาธารณะเหลียนฮว๋าซานมีพื้นที่รวมถึง 181 เฮกตาร์ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1992 และเป็นสวนสาธารณะที่เปิดให้เข้าชมฟรี
แม้เมืองเซินเจิ้นจะมีพื้นที่ค่อนข้างเล็ก แต่มีอัตราส่วนพื้นที่สีเขียวที่สูงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ
หลายเมืองที่มีพื้นที่สีเขียวสูงกว่าเซินเจิ้นก็มีพื้นที่ใหญ่กว่าเซินเจิ้นถึงห้าเท่าหรือหกเท่า
โดยเฉพาะเมืองเป่ยเฉิง ที่มีพื้นที่เกือบสิบเท่าของเซินเจิ้น
โชคดีที่วันนี้ไม่ใช่วันหยุดสุดสัปดาห์ และเป็นเวลาช่วงบ่าย ทำให้ในสวนเหลียนฮว๋าซานไม่ค่อยมีคนมากนัก แต่เมื่อนักเรียนกลุ่มใหญ่ที่เดินทางมาแข่งขันเข้าไปถึง คนก็เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
นักเรียนจำนวนห้าหกร้อยคนจากหลากหลายโรงเรียนในภาคเหนือมารวมตัวกัน
ทุกคนมากับครูที่คอยดูแลโดยนัดกันล่วงหน้าว่าจะมาเที่ยวด้วยกัน
เมื่อมาถึงภูเขาเหลียนฮว๋าซาน ทุกคนก็เริ่มปีนขึ้นไป
พวกเขามาเพื่อได้ขึ้นไปชมรูปปั้นของท่านผู้นำที่อยู่บนยอดเขา
ดีที่ยอดเขาเหลียนฮว๋าซานไม่สูงมาก มีความสูงเพียงร้อยกว่าเมตร
สำหรับเฉินเฉิงและพวก ใช้เวลาเพียงยี่สิบหรือสามสิบนาทีก็ถึงยอดเขา
หากปีนเร็วหน่อย อาจจะใช้เวลาน้อยกว่านี้ด้วยซ้ำ
นักเรียนจากภาคกลางหลายคนไม่เคยเห็นภูเขาและไม่เคยปีนเขา เมื่อเห็นเขาจึงเหมือนคนที่หิวมานานแล้วพบเหยื่อ วิ่งขึ้นไปด้วยความตื่นเต้น
เจียงลู่ซีไม่ชอบอยู่ในกลุ่มคนมาก เธอจึงเดินตามหลังมาอย่างช้าๆ
เฉินเฉิงที่เคยมาเที่ยวภูเขาเหลียนฮว๋าซานไม่กี่ครั้ง จึงไม่ได้คาดหวังกับยอดเขามากนัก
เขาจึงเดินตามอยู่ข้างๆ เจียงลู่ซี ไม่รีบร้อนแต่อย่างใด
เจียงลู่ซีมองเฉินเฉิงที่อยู่ข้างๆ แล้วถามว่า “ทำไมไม่เดินขึ้นไปกับพวกเขาล่ะ?”
“เธออยากให้ฉันเดินไปกับพวกเขาหรือเปล่า?” เฉินเฉิงถามกลับ
“ถ้าเธอไม่อยากให้ฉันเดินด้วย ฉันก็เดินไปเร็วกว่านี้ได้นะ” เฉินเฉิงตอบ
“เธอเงียบไปแบบนี้ คงไม่อยากให้ฉันเดินด้วยจริงๆ สินะ งั้นฉันจะตามพวกเขาขึ้นไปแล้วนะ” เฉินเฉิงยิ้มพูด
เจียงลู่ซีเม้มปาก มองเขาแล้วพูดว่า “ฉันไม่ได้พูดแบบนั้นสักหน่อย”
“ฉันก็ไม่ได้ทำจริงสักหน่อย!” เฉินเฉิงยิ้มตอบ
เจียงลู่ซีไม่พูดอะไรอีก
ทั้งสองจึงเดินขึ้นเขาไปอย่างไม่รีบร้อน พอถึงครึ่งทาง เฉินเฉิงก็แวะร้านขายน้ำและซื้อน้ำขวดหนึ่ง ปกติจะไม่ค่อยมีใครแวะซื้อกันตรงกลางทางแบบนี้ เพราะภูเขาไม่สูงมาก ส่วนใหญ่จึงปีนขึ้นไปดื่มน้ำข้างบนเลย
จากที่ใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมง พวกเขากลับใช้เวลาไปครึ่งชั่วโมงเพียงครึ่งทาง
เฉินเฉิงยื่นน้ำขวดให้เจียงลู่ซีแล้วพูดว่า “ถือไว้สิ เดี๋ยวเบิกเงินโรงเรียนคืนได้”
เจียงลู่ซีได้ยินดังนั้นจึงรับน้ำมาดื่มคำใหญ่
ไม่มีคนเยอะนักแล้ว พอพวกเขาปีนไปถึงครึ่งทางก็เริ่มเร่งขึ้นไปหน่อย
ตอนแรกใช้เวลาครึ่งชั่วโมงเดินไปครึ่งทาง แต่ตอนนี้ใช้เวลาเพียงสิบกว่านาทีก็ถึงยอดเขา
ยอดเขาเหลียนฮว๋าซานสวยมาก แม้ภูเขาจะไม่สูง แต่ก็สามารถมองเห็นย่านธุรกิจ (CBD) ของฝูเถียนได้ทั้งหมด
ย่านฝูเถียนของเซินเจิ้นเป็นหนึ่งในห้าย่านธุรกิจชั้นนำของจีนร่วมกับย่านตงซานหวนของเป่ยเฉิง ย่านหลูเจียจุ่ยของเซี่ยงไฮ้ ย่านเทียนเหอของกวางโจว และย่านจงหวนของฮ่องกง
CBD คือศูนย์กลางย่านธุรกิจของเมือง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งและความเจริญรุ่งเรืองของเมืองนั้น
หลังจากชมวิวรอบภูเขาแล้ว ทั้งสองก็เดินต่อไปข้างหน้าและเห็นรูปปั้นทองแดงของผู้นำที่คนมากมายมุงดู
ในปี 1979 ฤดูใบไม้ผลินั้น มีชายชราคนหนึ่งมายังชายฝั่งทะเลใต้ของจีนแล้ววาดวงกลมขึ้นวงหนึ่ง
วงกลมนั้นเองทำให้หมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ที่ไม่เป็นที่รู้จักเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาเพียงไม่กี่สิบปี กลายเป็นเมืองชั้นนำของประเทศที่การพัฒนารวดเร็วเหนือความคาดหมายของทุกคน
แค่พูดถึง GDP เซินเจิ้นยังแซงหน้ากวางโจวและฮ่องกงไข่มุกแห่งทิศตะวันออกได้ด้วยซ้ำ
ด้วยพื้นที่เพียงสองพันตารางกิโลเมตร เมืองนี้จึงจัดอยู่อันดับหลังแค่เป่ยเฉิงและเซี่ยงไฮ้เท่านั้น
เซินเจิ้นยังเป็นเมืองเดียวในประเทศจีนที่ไม่มีเขตชนบท
หลังจากชมนิทรรศการรูปปั้นและคำจารึกของผู้นำที่ยอดเขาแล้ว ทั้งสองก็เดินลงจากเขา
ด้านล่างภูเขายังมีทะเลสาบเทียม และพื้นที่กว้างใหญ่ของสนามหญ้าที่ปลูกปาล์ม
ด้านตะวันออกมีลานว่าว นักเรียนบางคนศึกษาข้อมูลล่วงหน้าแล้วก็นำว่าวมาปล่อยที่ลานนี้
ในสวนมีพันธุ์ไม้หายากมากมาย เช่น ปาล์ม นกยูงแผ่หาง ต้นขนมปัง ต้นไฟร์ทรี ต้นทองพันชั่งของอินโดนีเซีย และสวนดอกท้อ เจียงลู่ซีชอบชมพรรณไม้เหล่านี้มาก
เมื่อเจอพันธุ์ไม้ที่เธอไม่รู้จัก เจียงลู่ซีก็จะมองไปที่เฉินเฉิง
จากนั้นเฉินเฉิงก็จะอธิบายให้เธอฟัง
หลังจากอธิบายพันธุ์ไม้อีกชนิดเสร็จ เฉินเฉิงก็พูดติดตลกว่า “ฉันกลายเป็นไกด์ให้เธอแล้วนะ”
“ขะ...ขอบ
คุณค่ะ ฉันแค่อยากรู้” เจียงลู่ซีพูดด้วยความเขิน
“ไม่เป็นไร หัดพูดเยอะๆ ก็ดี จะได้ไม่ต้องทำเป็นใบ้แล้วหันกลับมาว่าคนอื่นว่าเป็นใบ้” เฉินเฉิงพูดยิ้มๆ
“นี่เธอได้ยินด้วยเหรอ?” เจียงลู่ซีถามตะลึง
“ฉันก็ไม่ได้หูหนวกนะ” เฉินเฉิงยิ้มตอบ