ตอนที่ 8 สร้างบ้าน
ตามความคิดของหลี่เหอ บ้านดินสามหลังที่อยู่ด้านหลังจะยังไม่ถูกทำลายในขณะนี้ บ้านของเขาว่างเปล่าและที่ดินเป็นของเขาเอง เขาจะสร้างบ้านกระเบื้องอีกสามหลังด้านหน้า ประกอบด้วยสนามหญ้าไว้ตรงกลาง และสร้างรั้ว หลังจากนั้นถ้าสภาพแวดล้อมดี ก็จะเหมาะสมที่จะทำลายบ้านดินและเปลี่ยนเป็นอาคารสองหรือสามชั้น
ไม่จำเป็นต้องเตรียมดินอัด เพราะจะใช้แต่เฉพาะอิฐแดงเท่านั้น จะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 1,000 หยวน
หลี่เหอมองไปที่สมุดบัญชีเล็ก ๆ และพบว่าจำนวนปลาหมูและปลาไหลที่เก็บได้ในครั้งนี้มากกว่า 2,000 ชั่ง ซึ่งมากกว่าที่รวบรวมมาได้เมื่อวานนี้ หมู่บ้านข้างเคียงเริ่มส่งพวกมันมาที่นี่แล้ว ภายในค่ำนี้จะไม่มีปัญหาในการรวบรวมปลาต่าง ๆ ได้มากถึง 6,000 ชั่ง หลิวต้าจวงเริ่มรู้สึกวิตก "หลี่เหอ รถเกวียนสองคันไม่พอ ต้องหารถเพิ่มขึ้นในอนาคต มันน่าจะยากที่จะขอยืมรถเพิ่มอีกคัน"
หลี่เหอคิดทบทวน ใช่สินะ? ทีมผลิตสามารถให้ยืมเกวียนลา สองคันได้ก็เก่งแล้ว ถ้าเขาจะขอใช้ม้าหรือวัว คนอื่น ๆ ก็จะรู้สึกไม่ค่อยพอใจ
ดังนั้นหลี่เหอจึงพูดว่า "นายกับเจ้าสามไปหาดูที่ไหนที่มีรถลากและรถเกวียน จะเป็นของทีมผลิตหรือจากบ้านใครก็ได้ ไปขอยืมมาให้คันละ 2 หยวยชนเราจะลากเอง อย่างน้อยต้องใช้รถ 4 คัน"
เมื่อยืมรถแล้วก็ต้องมีคนลากด้วย หลี่เหอจึงบอกหลี่ฟูเฉิงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ช่วยหาคนและสัญญาว่าจะจ่ายให้เขา 10 หยวนต่อวัน
เมื่อหลี่ฟูเฉิงได้ยินว่าได้คนละ 10 หยวน เขาก็ชะงักไปคำพูดมันติดอยู่ที่ริมฝีปาก เขาอยากให้ลูกชายคนที่สองและคนที่สามของเขามาช่วย แต่เขาก็อายหลานไม่กล้าพูดออกมา คนหนึ่งเป็นหลานชายคนโตของเขาที่กำลังต้องการความช่วย ส่วนอีกสองคนเป็นลูกชายของเขาเองแล้วเขาก็ละอายใจที่จะให้พวกลูกชายทำงานฟรี เขาพูดว่า "หลานไม่จำเป็นต้องหาคนอื่น ยังมีอารองกับอาสามของหลานอยู่นะ ปู่จะไปบอกพวกอาของหลานให้ ไม่ต้องสิ้นเปลืองมากเกินไปให้พวกเขา 5 หยวนก็พอ"
แม้แต่ 5 หยวนก็ยังถือว่ามากในสมัยนี้ ช่างไม้หรือคนงานสร้างบ้านที่มีฝีมือเมื่อทำงานข้างนอกก็ยังได้รับค่าแรงแค่ 2 หยวนเท่านั้น
หลี่เหอคิดว่าการให้เขา 10 หยวนก็ไม่ได้เยอะแยะอะไร และแม้แต่หลิวต้าจวงก้ได้ค่าแรง 10 หยวน จะให้ค่าแรงอาๆทั้งหลายแค่ 5 หยวนจึงเหมือนการพูดเล่น ๆ เพื่อแสดงน้ำใจเท่านั้น เขาจึงลองทำเพื่อขอความโปรดปรานและพูดว่า "คุณปู่ครับ เราจะไปยังเมืองหลวงของมณฑล ต้องใช้เวลาเดินทางถึงห้าหลี่ในการลากรถ และถนนก็เต็มไปด้วยหลุมบ่อ อารองกับอาสามต้องได้รับความลำบากมากมาย นอกจากนี้ผมยังจะต้องมีกำไรอยู่บ้าง ดังนั้นปู่ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้นะครับ"
หลี่ฟู่เฉิงพูดว่า "หลานมีใจที่จะดูแลอาทั้งสองของหลาน ดังนั้นปู่จะไม่พูดมากอีกแล้ว งั้นปู่จะช่วยลากรถเข็นไปกับหลานด้วย หลานไม่ต้องให้อะไรทั้งนั้นเลย ปู่เป็นปู่แท้ๆ ของหลานนะ ปู่ช่วยอะไรได้ก็จะช่วย" หลี่เหอรู้นิสัยของชายชรา ดังนั้นเขาจึงไม่พูดมาก
ที่หน้าบ้านมีเสียงดังจอแจ ผู้คนเข้ามาทและออกไป หลี่เหอจึงกำหนดเวลาไว้ จากนี้ไปเขาจะรวบรวมปลาเฉพาะตั้งแต่เวลา 16.00 น. ถึง 18.00 น. ทุกวัน และจะไม่รับอีกหลังจากเวลานี้
การทำเช่นนี้จะช่วยให้มีเวลาทำสิ่งอื่น และเขาจะต้องสร้างบ้านหลังจากนั้น มันยุ่งเกินไปจนไม่สามารถจัดการอะไรได้เลย
ระหว่างทานข้าวเย็น หลี่เหอพูดถึงแผนการสร้างบ้านที่โต๊ะอาหาร หวังหยูหลานตกใจ "โอ้ ลูกชายพ่อของคุณไม่อยู่บ้าน คุณและฉันจะตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องใหญ่แบบนี้ในการสร้างบ้านได้เหรอ?"
พี่น้องทั้งห้ามองหน้ากันและสามารถอ่านความคิดของกันและกันได้ ถ้าพ่อกลับมาจากทางตะวันตกเฉียงเหนือ อย่าพูดถึงเรื่องสร้างบ้านเลยแม้แต่น้ำก็คงไม่เหลือให้พวกเราดื่ม
ไม่ได้หมายความว่าหลี่เหอไม่ให้ความเคารพต่อหวังหยูหลาน แต่แม่ของเขาเป็นคนคิดมากและมีอารมณ์อ่อนไหวเกินไปเขาจึงพูดว่า "แม่ พ่ออาจจะกลับมาในปีหน้าก็ได้ เราโตขนาดนี้แล้ว ไม่สามารถเบียดเสียดเข้าไปในห้องเดียวกันได้อีกต่อไป นอกจากนี้เจ้าสามอายุเท่าไหร่แล้ว? เขาจะมีงานแต่งงานได้อย่างไรโดยไม่สร้างบ้าน?"
แม้หวังอวี้หลานจะไม่มีอารมณ์โกรธ แต่เธอก็ไม่ใช่คนโง่ เธอมีลูกชายสองคนและลูกสาวคนโตที่ยังไม่ด้แต่งงานเลยสักคนอยู่ในบ้าน จึงอดกังวลไม่ได้ "แต่จะเอาเงินจากไหนล่ะ? ต้องใช้เงินเยอะมากเลยนะ ปีที่แล้วลุงของเจ้าเพิ่งปรับปรุงบ้านหลังคากระเบื้องสามหลัง ยังต้องใช้เงินไปมากกว่า 500 หยวนเลย
หลี่เหอลุกขึ้นและตักข้าวใส่ชาม แล้วพูดว่า "ยังไงก็ตาม พวกเราพี่น้องก็โตขึ้นแล้ว อย่าห่วงเลย ฉันคุยกับคุณปู่แล้วว่าจะมาช่วยดู เมื่อถึงเวลาแม่ก็แค่ต้องช่วยดูแลเรื่องอาหารกลางวันเท่านั้น"
เมื่อเกวียนลา และรถเข็นบรรทุกของเสร็จแล้วก็จะออกเดินทาง การลากรถเข็นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ถนนที่จะไปยังเมืองหลวงของมณฑลเต็มไปด้วยหลุมบ่อ เกวียนลา สองคันและรถเข็น 4 คันน้ำหนักรวมกันมากกว่า 5,000 ชั่ง แล้วยังมีน้ำในกระสอบต่าง ๆ อีกทำให้รถเข็นมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น
เพราะการเดินทางใช้เวลานาน จึงต้องออกเดินทางแต่เช้ามืดและเริ่มต้นประมาณสิบโมง หลี่หลงและหลิวต้าจวงขับเกวียนลา สองคันอยู่ด้านหน้าและเสียบโคมไฟไว้ข้างหน้าส่องแสงสว่างไปบนถนน หลี่เหอนำอาทั้งสองคนสองคนและคุณปู่ของเขาไปด้วย เดินเรียงแถวกันเป็นขบวน
ชายชราเชื่อว่าตนเองถึงแม้จะแก่แต่ก็ยังแข็งแรงมากและมีนิสัยที่ดื้อรั้น เขายืนยันที่จะลากรถและไม่ยอมขับเกวียนลา เขาแค่พึมพำว่า "เมื่อตอนที่ปู่ยังเด็ก ปู่จะไปที่โรงสีข้ามแม่น้ำ ในฤดูหนาวจะถือตะกร้าแล้วว่ายข้ามแม่น้ำฮุยเหอ ว่ายกลับไปกลับมาได้สองรอบแน่ะ"
"คุณปู่ยังเด็กจริงๆด้วย!"
เมื่อมาถึงเมืองหลวงของมณฑล มันเร็วกว่าเมื่อวานเล็กน้อย บริษัทผลิตภัณฑ์ทางน้ำอยู่ในช่วงเวลาที่กำลังยุ่งที่สุดในเช้าตรู่ ดังนั้นจึงไม่กังวลว่าจะไม่พบใครเมื่อส่งของไปที่นั่น
หลังจากเคลียร์ชั่งน้ำหนักและรับใบเสร็จแล้ว หลี่เหอก็สั่งหลี่หลงให้ไปห้องการเงินเพื่อรับเงิน พวกเขาล้างหน้าด้วยน้ำจากก๊อกที่อ่างล้างหน้า เสื้อผ้าเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ เขาจึงถอดมันออกและชุบเสื้อในน้ำแล้วก็กรอกน้ำใส่กาต้มน้ำ สำหรับเรื่องว่าน้ำจะสะอาดหรือไม่นั้น ตอนนี้มันไม่ได้สำคัญขนาดนั้น
นอกจากไอติมแล้ว ของที่ช่วยดับกระหายก็มีแต่น้ำเปล่า น้ำแร่แล้วก็โค้ก ซึ่งถึงจะมีเงินก็หาซื้อไม่ได้ง่าย ๆ ความต้องการของเขาตอนนี้ไม่ได้สูงเลย ขอแค่ไม่ต้องกินพวกข้าวหยาบและผักป่าทุกวันก็พอ
ตอนกลับบ้านก็ง่าย ๆ เลย นั่งบนเกวียนลา ส่วนรถเข็นก็ผูกติดกับเกวียนอีกทีลากตามพื้นไปเลย สะดวกสบายมาก หลี่เหอและหลี่เจาหมิงนอนพักบนเกวียนแล้วหลับไป
ระหว่างทางหลี่เหอได้ตัดสินใจแล้วว่าแทนที่จะรับซื้อปลาหมูเหมือนปกติ เขาจะรับเฉพาะปลาไหลเท่านั้น ปลาไหลได้ราคามากกว่าปฃาหมู 9 เฟินต่อชั่ง การขนส่งปลาไหล 5,000 ชั่งในครั้งเดียวถือว่าเป็นขีดจำกัดแล้ว ถ้าเราขนส่งปลาไหลทั้งหมด เราสามารถทำกำไรเพิ่มอีก 200 หยวน ถ้าเรายังคงเก็บปลาหมู เราจะต้องหารถบรรทุกแล้วยังต้องจ้างคนอีกซึ่งเป็นการลงทุนที่ไม่จำเป็น ถ้ายึดตามความคิดนี้ เขาจะสามารถทำกำไรได้มากกว่า 400 หยวนในทุกวัน
ในวันต่อ ๆ มา บ้านหลี่เก็บรวบรวมและส่งปลาไหลทุกวัน ปลาไหลมีเยอะมากเด็กวัยรุ่นทั่วไปสามารถใช้เบ็ดตกปลาไหลได้มากกว่าสิบชั่งในหนึ่งวัน แล้วทุกคนก็เอามาส่งไปให้ครอบครัวของหลี่เหออย่างมีความสุข
ในเวลาเดียวกันบ้านหลี่เริ่มสร้างบ้าน ในช่วงเวลานี้ถ้าครอบครัวไหนต้องการสร้างบ้าน คนในหมู่บ้านก็จะช่วยเหลือกันเป็นการเอาแรงกันภายในหมู่บ้าน ไม่มีการพูดคุยเกี่ยวกับการจ้างคนงาน ค่าเช่า ค่าขนส่ง ฯลฯ สำหรับงานใหญ่เช่นการสร้างบ้าน คนที่มาช่วยที่บ้านจะถูกกำหนดโดยทีมผลิตและทำหน้าที่ของตนโดยไม่มีค่าตอบแทน
หลี่เหอไม่อาจทนทำตัวไร้ยางอายและใช้ประโยชน์จากประเพณีนี้ได้ ตราบใดที่พวกชาวบ้านมาช่วยทำงาน เขาจะดูแลเรื่องอาหาร ชาวบ้านจะนั่งรอบโต๊ะสองตัว ดื่มและกินอาหารจานใหญ่ เขาจะดูแลอาหารและเหล้าให้เพียงพอ ทุกคนบอกว่าหลี่เหอสุภาพเกินไป เพราะครอบครัวของเขาไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากมายในการเตรียมอาหารและเครื่องดื่มพวกนี้
หลังจากที่ล่าช้าไปอีกวัน หลี่เหอขอให้แม่และพี่สาวคนโตทำอาหารเช้า จากนั้นเขาไปที่เตาเผาอิฐกับคนทำงานเพื่อขนอิฐสำหรับสร้างบ้าน เตาเผาอิฐอยู่ห่างออกไปมากกว่า 20 หลี่ ดังนั้นเขาจึงต้องตื่นแต่เช้าและรีบเดินทาง อีกด้านหนึ่งพวกชาวบ้านช่วยกันขุดฐานรากและสร้างกำแพง งานดำเนินไปได้เร็วขึ้นเมื่อมีคนมากขึ้น หลี่เหอและครอบครัวมีอาหารเพียงพอ และทุพวกชาวบ้านก็ไม่ได้ขี้เกียจและอู้งาน แต่ทุกคนทำงานอย่างหนักและรอบคอบ
ในคืนที่จะติดตั้งคานบ้าน หลี่เหอขอให้ปู่ของเขาหลี่ฟูเฉิงพาไปหาคนงานที่มาสร้างบ้านแบบเงียบ ๆ ให้เงินแต่ละบ้านตามความชำนาญของแต่ของงาน 4 หยวนสำหรับคนงานทั่วไป และ 5 หยวนสำหรับนายช่างใหญ่ ทุกคนรู้สึกว่าลูกชายคนที่สองของครอบครัวหลี่ช่างใจกว้างและเปิดเผยจริง ๆ และกำแพงด้านหลังนั้นมีสีขาว หลี่เหอและครอบครัวไม่กังวลเรื่องการปูหลังคาเลย
หลี่เหมยเป็นคนที่มีความสุขที่สุดและคนที่หงุดหงิดที่สุดคือหลี่เหมย เพราะเธอไม่สามารถหาที่ซ่อนเงินของเธอได้เลย หากไม่รวมเงินที่ใช้ซื้อทราย อิฐ และคาน เธอยังมีเงินจำนวนมากกว่า 2,000 หยวนในมือของเธอ เธอไม่เคยว่าจะมีเงินมาขนาดนี้มาก่อนในชีวิต
หลี่เหอไม่กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ มองไปที่บ้านใหม่ที่จะเข้าไปอยู่ได้ในเร็ว ๆ นี้แล้ว เขารู้สึกมีความสุขมากจริง ๆ นี่เป็นสิ่งที่เติมเต็มที่ดีที่สุดหลังจากเกิดใหม่
ในยุคของทีมผลิต มีผู้คนมากมายและมีพลังงานมากจริง ๆ อาหารดีดและเครื่องดื่มดีๆ ไม่มีใครไม่อยากทำงานให้คุณ นอกจากนี้บ้านที่มุงด้วยกระเบื้องยังสร้างง่าย เมื่อวางรากฐานเสร็จแล้ว สิ่งที่ต้องทำก็คือวางอิฐส่วนที่ยุ่งยากที่สุดคือการปูหลังคา ใช้เวลาสองวันรวมแล้วไม่ถึงสิบวันก็เสร็จเรียบร้อย
เมื่อคำนวณเวลาแล้ว นี่คือช่วงต้นเดือนสิงหาคม
ผนังภายนอกของบ้านใหม่ทำจากอิฐแดงทั้งหมด ซึ่งถูกฉาบด้วยซีเมนต์เพื่อให้แน่น หลังคาปูกระเบื้องแทนที่จะเป็นฟางหรือฟางข้าว ความสูง 4.2 เมตรถือเป็นความสูงที่สุดในหมู่บ้าน พื้นก็ถูกปูด้วยกรวดและทรายโดยตรง และทั้งครอบครัวก็มีความสุขสุด ๆ
เมื่อมีสิ่งที่ดึงดุดความสนใจคนคล้ายดาวเทียมขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมาในหมู่บ้าน ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจที่เคยมีให้กลับกลายเป็นความอิจฉา ความรู้สึกต่าง ๆ ปะปนกัน การสร้างบ้านสามหลังที่มุงด้วยกระเบื้องไม่ใช่เรื่องแปลกในหมู่บ้าน แต่ทั้งหมดนี้ทำจากอิฐ พื้นปูด้วยซีเมนต์ คานสูง พื้นที่กว้างขวาง มีแค่หลังนี้เท่านั้นที่ใหญ่โตขนาดนี้ หลายคนแอบนินทาว่าครอบครัวหลี่เจาคุนได้เงินมามากมายขนาดไหนถึงสามารถสร้างบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ได้
ถ้าพวกเขาไม่หาเงินได้เยอะมากแล้วจะสร้างบ้านหลังคากระเบื้องสามหลังใหญ่ๆ แบบนี้ได้อย่างไร? ทั้งหมดทำจากอิฐแดง อิฐแดงก้อนหนึ่งกว้าง 2 – 3 เซนติเมตร สิ่งที่มีค่าที่สุดคือไม้ คานสนที่ดีที่สุด เป็นไปไม่ได้เลยที่จะใช้เงินน้อยกว่า 1,000 หยวน
นอกจากนั้นพวกเขายังมีทั้งปู่ อาสองคน และแม้แต่ลูกชายคนเล็กของลุงหลิวอย่างหลิวต้าจวงติดสอยห้อยตามมาด้วยทั้งวัน คนแก่อย่างหลี่ฟู่เฉิงที่เคยสูบยาสูบแห้ง ตอนนี้ก็หันมาสูบยี่ห้อหงต้าซาน
หลี่เหอไม่สนใจเรื่องซุบซิบ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้จักถ่อมตัว อันดับแรกนโยบายในปัจจุบันไม่เข้มงวดนัก ใครมีความสามารถรวยได้
ครอบครัวหลี่เป็นชาวนาและชาวนาชั้นกลางที่ยากจนสามชั่วอายุคน พวกเขามีมีพื้นฐานที่ดี แต่ก็ไม่ได้เป็นคนมีชื่อเสียงมากนัก
ถึงแม้หลี่เจาคุนจะเคยถูกตีตราว่าเป็นพ่อค้าเก็งกำไรในอดีต แต่เขาก็เคยทำงานร่วมกับทีมใหญ่ในการซ่อมแซมแม่น้ำ ซึ่งถือเป็นการใช้แรงงาน
ข่าวลือหลายอย่างเกี่ยวกับครอบครัวหลี่ก็ไปถึงหูเลขาฯ ของหมู่บ้านหลิวชวนฉี บอกเขาควรจะสอบสวนเรื่องนี้ แต่เขาก็รู้สึกว่าจะเป็นการรังแกครอบครัวที่มีแค่แม่และเด็กๆ ครอบครัวนี้ ถ้าหากหลี่เจาคุนยังอยู่ที่บ้าน เขาคงไม่ปล่อยผ่านหากไม่สืบสวน ก็คงยากที่จะนำพาทีมปฏิวัติในอนาคตได้
แต่ในใจก็ยังลังเลอยู่ จึงเล่าให้ภรรยาฟังถึงความคิดนี้ แต่ลูกสาวคนรองที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ กลับพูดว่า “พ่อ พ่อไม่รู้หรือไงว่าสถานการณ์ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว พ่อไม่เห็นหรือว่าในเมืองมีพ่อค้าและหาบเร่เต็มไปหมด ข้างโรงเรียนมัธยมในเขตของเรา พวกเขาขายของกันทุกที่ บางคนถึงขนาดไปขายมันเผาหน้าสำนักงานคณะกรรมการเขตเลยนะ แล้วในหมู่บ้านนี้บ้านไหนล่ะที่ไม่เลี้ยงไก่สักสองสามตัวหรือปลูกผักในสวนกันน่ะ? ของพวกนี้ก็มีในบ้านเรานี่นา”
หลังจากหลิวหลี่พูดจบ เธอก็แอบมองพ่อ เห็นว่าเขาไม่โต้ตอบจึงพูดต่อว่า “หลี่เหอเป็นนักเรียนดีเด่นอันดับหนึ่งหรือสองของเขตนี้นะ หนูได้ยินจากครูว่าเขามีโอกาสสูงที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ในปีนี้ แล้วเดี๋ยวนี้การเข้ามหาวิทยาลัยก็ไม่ต้องมีการตรวจสอบทางการเมืองแล้ว จะไปขัดขวางเขาทำไมละ? จบมาแล้วเขาก็จะได้งานทำในหน่วยงานของรัฐ มีอนาคตดี ๆ จะหาได้จากที่ไหนอีก?”
“ถ้าทำให้เป็นศัตรูกันตอนนี้ ในอนาคตจะเป็นมิตรได้ยังไง? ลูกชายคนที่สามของบ้านหลี่ยังให้บุหรี่พ่อสองมวนกับเหล้าอีกสองขวดเมื่อไม่กี่วันก่อนไม่ใช่หรอ ถ้าตอนนี้พ่อไปสอบสวนเขา มันจะไม่กลายเป็นว่าได้กินของเขาแล้วก็หักหลังเขาหรอกหรือ?”
หลังจากจบการศึกษา ฉันจะถูกกำหนดงานและกินอาหารเชิงพาณิชย์ จะมีอนาคตอะไร?
ถ้าคุณไปทำศัตรูแบบนี้ คุณจะสามารถเป็นคนดีในอนาคตได้ไหม?
ไม่ใช่ลูกชายคนที่สามของเขาให้บุหรี่สองมวนและไวน์สองขวดเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาเหรอ? ถ้าคุณจะไปตรวจสอบตอนนี้ จะไม่เป็นกรณีคลาสสิกที่ได้กินดีแล้วเปลี่ยนปากแล้วหันหลังให้คนเหรอ?"
หลิวชวนฉีจ้องมองแล้วพูดว่า “ลูกคิดว่าพ่อไม่รู้หรือไง”
หลังจากคิดทบทวนไปมาเขาก็รู้สึกว่าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ จึงปล่อยเรื่องนี้ไปตามธรรมชาติ หากมีใครจะเอาเรื่องนี้มาพูดมาทีหลัง หลิวชวนฉีก็จะปฏิเสธทันทีว่า "หากใครมีความสามารถก็ไปทำมาหากินเองสิ ไม่มีใครห้ามหรอก"