ตอนที่ 70 ตำราคู่มือลับสำหรับสร้างค่ายกล
ตอนที่ 70 ตำราคู่มือลับสำหรับสร้างค่ายกล
หลังจากที่ ฉู่เสวียนดื่มคูเหมาเฟิงหมดไปสองถ้วย ก็มีร่างหนึ่งก้าวขึ้นบันไดและมาถึงห้องส่วนตัวบนชั้นสาม
ฉู่เสวียนจ้องมองของเขา ก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายเป็นผู้บ่มเพาะหนุ่มในชุดขาว
ทักษะการปลอมตัวของบุคคลผู้นี้ก็ไม่ค่อยแนบเนียนนัก
แต่เมื่อเทียบกับผู้บำเพ็ญช่วงสร้างรากฐานคนอื่นๆ ก็น่าจะเพียงพอ
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ฉู่เสวียนก็อยู่ในดงแห่งการปลอมตัวมาหลายปี โดยอาศัยเทคนิคปลอมตัวเพื่อหลีกเลี่ยงการตามล่าของผู้บำเพ็ญฝ่ายธรรมะนับไม่ถ้วน เขาจึงถือว่ากลายเป็นปรมาจารย์ในการปลอมตัวโดยสมบูรณ์
เว้นเสียแต่ว่าจะถูกผู้บำเพ็ญแก่นปราณทองคำตรวจสอบ นอกจากนั้นไม่ว่าจะมองยังไงก็จะไม่เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเขาได้
แต่ผู้บ่มเพาะที่อยู่ตรงหน้า...แค่ฉู่เสวียนมองแวบแรก ก็รู้ได้ทันทีว่าเขาปลอมตัวมา ใบหน้าที่แท้จริงของบุคคลนี้ยังดูเด็กมาก
ในวัยเท่านี้ แต่กลับสามารถทะลวงเข้าสู่ช่วงสร้างรากฐานได้ ก็แสดงว่าคุณสมบัติของผู้บ่มเพาะคนนี้จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
แต่เขากลับถูกส่งให้มาที่แค้วนอู๋โจว เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้บ่มเพาะชุดแรกที่ลงสนามต่อสู้กับนิกายพื้นเมือง เห็นได้ชัดว่าเขาได้ตกเป็นเหยื่อของความขัดแย้งระหว่างคนในนิกายเอง
“ยินดีที่ได้พบกับสหายลัทธิเต๋า ข้าชื่อซ่งเฟิง ข้าสงสัยว่าข้าควรเรียกเจ้าว่าอะไร?” ผู้บ่มเพาะหนุ่มถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
ฉู่เสวียนพูดอย่างไม่เป็นทางการว่า "เหอเลี่ยง"
ยังไงซะพวกเขาก็ใช้นามแฝงกันทั้งนั้น เพียงแค่แอบอ้างชื่อใดชื่อหนึ่งออกมาก็เท่านั้น
ซ่งเฟิงยิ้มและพูดว่า "สหายลัทธิเต๋า เจ้ามีอะไรจะแลกเปลี่ยนกับข้าไหม หรือว่ามีอะไรจะขายให้ข้าหรือไม่?"
ฉู่เสวียนสะบัดลูกปัดโลหิตเม็ดใหญ่ออกไปตรงหน้าของอีกฝ่ายทันที
ซ่งเฟิงเอื้อมมือไปจับมันขึ้นมา ก่อนจะมองดูอย่างระมัดระวัง จากนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นประหลาดใจ
ลูกปัดโลหิตเม็ดใหญ่นี้ ทั้งสีและรูปร่างของมันนั้นดูดีไม่มีที่ติ มันจะต้องเป็นลูกปัดโลหิตชั้นดีแน่นอน
หากลองดมกลิ่นมันดูดีๆแล้ว ก็จะได้กลิ่นอันหอมหวานของแกนโลหิต
ลูกปัดโลหิตเม็ดใหญ่นี้จะต้องมีคุณภาพสูงและเป็นของหายากอย่างแน่นอน
ซ่งเฟิงยิ้มและพูดว่า "ข้าต้องการลูกปัดโลหิตเม็ดใหญ่เหล่านี้จำนวนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ สหายเหอ เจ้ามีเยอะหรือไม่ "
ฉู่เสวียนพูดอย่างไม่เป็นทางการว่า "ไม่ต้องกังวล ข้ามีของเยอะจนบางทีเจ้าอาจจะมีของมาแลกเปลี่ยนกับข้าไม่พอก็ได้ "
ซ่งเฟิงหัวเราะและพูดว่า "สหายลัทธิเต๋า เจ้ากำลังดูถูกข้า ไหนเจ้าลองบอกของที่เจ้าต้องการให้ข้าฟังหน่อย"
ฉู่เสวียนจึงได้ยกตัวอย่างค่ายกลทั้งสามที่เขาต้องการออกมาทันที “ข้าอยากได้ค่ายกลกลั่นวิญญาณปีศาจหยิน ค่ายกลกลั่นโลหิตปีศาจหยิน และค่ายกลการชำระล้างโลหิตปีศาจหยิน เจ้ามีหรือไม่?”
ค่ายกลทั้งสามประเภทนี้ล้วนเป็นค่ายกลที่มีคุณภาพสูงกว่าค่ายกลยึดวิญญาณปีศาจหยินแน่นอน
ระดับของค่ายกลทั้งสามนี้ คือสามอันดับแรกของค่ายกลที่ดีที่สุดในช่วงสร้างรากฐานแล้ว
พื้นที่ครอบคลุมของค่ายกลเหล่านี้สูงกว่าค่ายกลการยึดวิญญาณปีศาจหยินอย่างน้อยสิบเท่า!
หลังจากได้ยินที่ฉู่เสวียนพูดชื่อของค่ายกลทั้งสามนี้ออกมา การแสดงออกของซ่งเฟิงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
เขาตัดใจนำมันออกมาไม่ได้จริงๆ
ทั้งสามค่ายกลที่ฉู่เสวียนกล่าวออกมาล้วนเป็นค่ายกลเวทย์มนตร์ระดับสูงทั้งสิ้น!
สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อยู่ในระยะของค่ายกลจะถูกฆ่าเพื่อมาสังเวยต่อวิญญาณชั่วร้าย
ในปัจจุบัน นิกายฝ่ายธรรมะทั้งห้าพยายามอย่างเต็มที่ที่จะต่อต้านการกระทำทุกรูปแบบที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์
โดยธรรมชาติแล้ว ค่ายกลเหล่านี้ก็ได้ถูกนิกายฝ่ายธรรมะทั้งห้ายึดไปหมดแล้ว
ทว่านิกายเทียนหยินก็ไม่ได้ผลประโยชน์มากนักจากการทำสงครามในครั้งนั้น และโดยธรรมชาติแล้วพวกเขาก็ไม่ได้ยึดค่ายกลเวทย์มนตร์ของนิกายอู๋จี๋มามากนัก
ซ่งเฟิงจึงยิ้มออกมาอย่างช้าๆ "สหายลัทธิเต๋า ข้าไม่มีค่ายกลที่ใหญ่โตขนาดนั้นหรอก แต่ข้ามีศพหยินที่มีคุณสมบัติระดับสูงที่ได้รับการขัดเกลามานานหลายปีจนตอนนี้มันได้ทะลวงไปสู่ระดับนายพลศพขั้นที่ 9 แล้ว... "
ฉู่เสวียนโบกมือ "ไม่ ถ้าไม่มีสามสิ่งนี้ก็ไม่จำเป็นจะต้องพูดเรื่องนี้อีก"
เขามาที่นี่เพื่อตามหาค่ายกลอันยิ่งใหญ่เท่านั้น
นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรอื่นที่เขาสนใจอีก
ซ่งเฟิงไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้ "สหายลัทธิเต๋า ข้ายังมีอาวุธเวทย์มนตร์คุณภาพสูงสามชิ้นที่ข้าสามารถขายให้เจ้าได้ในราคาพิเศษ ข้าต้องการแลกเปลี่ยนกับลูกปัดโลหิตเม็ดใหญ่นี้เท่านั้น!"
ฉู่เสวียนส่ายหัวอีกครั้ง "ตราบใดที่ไม่ใช่ค่ายกลใหญ่ ข้าก็ไม่สนใจ"
ซ่งเฟิงต้องการพูดคุยอีกครั้ง ทว่าในตอนนั้นก็มีเสียงฝีเท้าเดินขึ้นบันไดมา
ทันใดนั้น ผู้บ่มเพาะรูปร่างกำยำล่ำสันก็ปรากฏตัวขึ้น
“ค่ายกลอันยิ่งใหญ่อย่างนั้นหรือ?....ข้ามี!” ผู้บ่มเพาะรูปร่างกำยำหัวเราะเบา ๆ และพูดออกมาเสียงดัง
ฉู่เสวียนพยักหน้าและส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายนั่งลง "ขอดูหน่อยได้หรือไม่"
"แน่นอน!" ผู้บ่มเพาะคนนั้นเหลือบมองที่ซ่งเฟิงแล้วพูดว่า "สหายซ่ง ในเมื่อสหายลัทธิเต๋าผู้นี้ไม่ต้องการอะไรจากเจ้าอีกแล้ว เจ้าออกไปได้ การค้านี้เป็นของข้า"
ซ่งเฟิงถอนหายใจเบา ๆ มองซวนจือสองสามครั้งแล้วก็เดินออกไป
ฉู่เสวียนหัวเราะเบา ๆ “เจ้าจะให้ข้าเรียกเจ้าว่าอะไร ?”
ผู้บ่มเพาะร่างกำยำนั่งลงต่อหน้าฉู่เสวียน พรางหยิบขนมอบขึ้นมาสองสามชิ้นแล้วยัดเข้าไปในปากของเขา "ไม่ว่าจะชื่ออะไรพวกมันก็ล้วนเเต่เป็นนามแฝงอยู่แล้ว เรียกข้าว่าอะไรก็ตามที่เจ้าต้องการได้เลย หรือจะเรียกข้าว่าเหล่าฮั่นก็ได้"
จู่ๆฉู่เสวียนก็หัวเราะออกมา ชายผู้นี้ตรงไปตรงมาดี ช่างน่าสนใจจริงๆ
ผู้บ่มเพาะแซ่ฮั่นหยิบค่ายกลจำนวนหนึ่งออกมาจากถุงเก็บของของเขาอย่างตั้งใจ "นี่ เรามาดูประเภทของค่ายกลกักเก็บปราณปีศาจกันก่อนดีกว่า"
ฉู่เสวียนเหลือบมองมันสองสามครั้งและขมวดคิ้ว "ค่ายกลกักเก็บปราณปีศาจนี้เป็นเพียงค่ายกลระดับกลางของช่วงสร้างรากฐานเท่านั้น ข้าไม่ต้องการมัน"
ผู้บ่มเพาะแซ่ฮั่นยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “สหายลัทธิเต๋า ค่ายกลใหญ่ๆ ที่เจ้ากำลังตามหาอยู่นั้นได้หายไปนานแล้ว และถ้าข้าเดาไม่ผิด แม้แต่ผู้บ่มเพาะที่เหลือของนิกายอู๋จี๋ก็อาจจะไม่มีค่ายกลขนาดใหญ่เช่นนี้อยู่ในมือของพวกเขา”
“ซึ่งค่ายกลนี้ก็ไม่ด้อยไปกว่ากันเลย ข้าสามารถให้ตำราคู่มือลับสำหรับสร้างค่ายกลเป็นของแถมแก่เจ้าได้ ถ้าเจ้ามีพรสวรรค์ในด้านการสร้างรูปแบบค่ายกลที่เพียงพอ เจ้าก็จะสามารถรวมค่ายกลกักเก็บปราณปีศาจเหล่านี้เข้ากับค่ายกลอื่นๆ ได้ ซึ่งมันจะทำให้ค่ายกลของเจ้าใหญ่ขึ้น และสามารถตอบสนองความต้องการของเจ้าได้ในที่สุด”
เมื่อพูดอย่างนั้น ผู้บ่มเพาะแซ่ฮั่นก็ส่งหนังสือเล่มเล็กเล่มหนึ่งมาให้ฉู่เสวียน
บนหน้าปกหนังสือเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า "ตำราคู่มือลับสำหรับสร้างค่ายกล"
ฉู่เสวียนมองดูมันซักพัก
ก่อนจะพบว่าในนั้นมีเคล็กลับวิชาการสร้างค่ายกลต่างๆจำนวนมากตั้งแต่ค่ายกลช่วงกลั่นลมปราณไปจนถึงค่ายกลการสร้างฐาน และทุกค่ายกลล้วนเป็นค่ายกลเวทย์มนตร์ทั้งสิ้น
เห็นได้ชัดว่ามันถูกเขียนโดยปรมาจารย์นอกรีตที่คลั่นไคล้การสร้างค่ายกล
“ไม่เป็นไร มายื่นข้อเสนอกันดีกว่า” ฉู่เสวียนพยักหน้า ก่อนจะสะบัดลูกปัดโลหิตเม็ดใหญ่ออกไป
ผู้บ่มเพาะแซ่ฮั่นมองดูมันหลายครั้งและประหลาดใจ "ลูกปัดโลหิตก้อนใหญ่ที่มีคุณภาพขนาดนี้...เจ้าไปสังหารผู้คนมากี่เมืองแล้ว? น่าแปลกที่ข้าไม่เคยได้ยินข่าวใด ๆ เกี่ยวกับการสังหารหมู่มนุษย์เลยในระยะนี้ "
ฉู่เสวียนไม่ตอบอีกฝ่าย เขาเพียงแค่ดื่มชาเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าผู้บ่มเพาะร่างกำยำคนนี้ต้องการจะจับพิรุธจากท่าทางของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถเปิดเผยมันออกมาได้
เมื่อผู้บ่มเพาะร่างกำยำเห็นว่าการทดสอบของเขาล้มเหลว และเขาก็ไม่โกรธ แต่กลับหัวเราะออกมาเบา ๆ และพูดอย่างจริงจังว่า "หากว่าทั้งหมดนี้เป็นของคุณภาพสูง ข้าก็สามารถจ่ายให้เจ้าในราคาที่สูงได้ เช่นนั้นเอาแบบนี้ดีหรือไม่ ลูกปัดโลหิตเม็ดใหญ่ หนึ่งเม็ดมีราคา 50 ก้อนหินวิญญาณระดับต่ำ ซึ่งตำราคู่มือลับสำหรับสร้างค่ายกลของข้าบวกกับค่ายกลกักเก็บปราณปีศาจนั้นมีราคาประมาณ 500 ก้อนหินวิญญาณระดับต่ำ เช่นนั้นข้าขอแลกกับลูกปัดโลหิตเม็ดใหม่นี้ 10 เม็ดก็พอ "
ฉู่เสวียนพยักหน้า ราคาปกติของลูกปัดโลหิตเม็ดใหญ่นี้ก็ตกอยู่ที่ 40 ก้อนหินวิญญาณระดับต่ำ
อย่างไรก็ตามหลังจากที่นิกายอู๋จี๋ล้มสลายลงไป ความยากในการกลั่นลูกปัดโลหิตเม็ดใหญ่ก็เพิ่มสูงขึ้น จึงทำให้ราคาของมันพุ่งสูงขึ้นตามธรรมชาติ ซึ่งก็ไม่คิดว่าตอนนี้มันจะเพิ่มขึ้นเป็น 50 ก้อนหินวิญญาณระดับต่ำแล้ว
“เอาล่ะ” ฉู่เสวียน หยิบลูกปัดโลหิตขนาดใหญ่สิบเม็ดออกมาแล้วยื่นให้อีกฝ่าย
ผู้บ่มเพาะร่างกำยำหัวเราะเบา ๆ และยอมรับมันมา "เอาล่ะ อย่าลืมมาหาข้าถ้าเจ้ามีอะไรที่น่าสนใจอีกในอนาคต เพราะข้ายังมีสิ่งต่างๆ มากมายอยู่ในมือ ทั้งศพหยิน แมลงกู่ เทคนิคสกัดโลหิต ยาอายุวัฒนะ ค่ายกลเวทย์มนตร์อื่นๆ…”
หัวใจของฉู่เสวียนขยับเล็กน้อย “แล้วเจ้ามีแมลงกู่ระยะที่สองหรือไม่?”
ผู้บ่มเพาะร่างกำยำตกตะลึง "แมลงกู่ระยะที่สอง ? นี่เป็นของหายากมาก แต่ข้ารู้จักชายผู้หนึ่งที่เลี้ยงแมลงกู่ไว้มากมาย ซึ่งเขามีแมลงกู่ระยะที่สองหลายตัว ข้าสามารถติดต่อให้เจ้าได้”
ฉู่เสวียนพยักหน้า "ดีเลย”
หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็โยนลูกปัดโลหิตสองสามเม็ดให้อีกฝ่ายแล้วพูดว่า "ข้าจะขอบใจเจ้าอีกครั้งหลังจากที่ทุกอย่างเสร็จสินแล้ว"
ผู้บ่มเพาะร่างกำยำหัวเราะออกมา “ตกลง! ข้าชอบคนใจกว้างเช่นเจ้าจริงๆ! อย่างไรก็ตาม ชายผู้นั้นยังมาไม่ถึงแคว้นอู๋โจว ถ้าเขามาถึง ข้าจะติดต่อเจ้าอีกที”
ฉู่เสวียนพยักหน้า และทิ้งหินลูกไว้ให้อีกฝ่าย “เมื่อถึงเวลา ก็บดขยี้หินนี้ซะ แล้วข้าจะรู้”
หินแม่ลูกแบ่งออกเป็นหินแม่และหินลูกเมื่อหินลูกแตก รอยแตกจะปรากฏขึ้นบนพื้นผิวของหินแม่ ไม่ว่าจะอยู่ห่างกันแค่ไหนก็ตาม
ตอนแรกเขาคิดที่จะส่งหยกส่งเสียงให้ แต่เขาก็ไม่สามารถอยู่ในถ้ำตลอดเวลา หากว่าเขาไปทำการบ่มเพาะที่ดาวเคราะห์โลกาวินาศ หยกส่งเสียงก็จะไม่สามารถทำงานได้ตามธรรมชาติ
ผู้บ่มเพาะแซ่ฮั่นพยักหน้า จากนั้นฉู่เสวียนก็ได้จากไป เขายืนอยู่บนชั้นสาม มองที่ด้านหลังของฉู่เสวียนผ่านหน้าต่าง และลูบคางอย่างครุ่นคิด
“พลังวิญญาณที่สงบเช่นนี้ ข้าไม่สามารถมองเห็นเทคนิคการปลอมตัวของเขาด้วยซ้ำ ไร้ข้อบกพร่องจริงๆ ต่างจากซ่งเฟิงที่เห็นได้ในพริบตา…ชายคนนี้สามารถดึงลูกปัดโลหิตเม็ดใหญ่ออกมาได้สิบเม็ดในหนึ่งลมหายใจ เห็นได้ชัดว่าเขามีสมบัติซ่อนอยู่อีกมากมาย ข้าไม่รู้ว่าเขาเป็นใครมากจากไหน ถึงได้มีลูกปัดโลหิตก้อนใหญ่ขนาดนี้...ลืมไปเถอะ ข้ายังไม่รู้ความแข็งแกร่งของเขา ดังนั้นอย่าทำอะไรวู่วามจะดีกว่าใครจะรู้ว่าเขาซ่อนไพ่ลับไว้มากมายเพียงใด” ผู้บ่มเพาะแซ่ฮั่นส่ายหัวและถอนสายตาอย่างระมัดระวัง