ตอนที่แล้วตอนที่ 68 จะต้องสร้างรายได้มากมายอย่างแน่นอน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 70 ตำราคู่มือลับสำหรับสร้างค่ายกล

ตอนที่ 69 อาจารย์อาไม่ต้องกังวล ข้าจะทำให้สำเร็จอย่างแน่นอน!


ตอนที่ 69 อาจารย์อาไม่ต้องกังวล ข้าจะทำให้สำเร็จอย่างแน่นอน!

 

ในที่สุด ฉู่เสวียนและคนอื่นๆ ก็ส่งมนุษย์เหล่านี้ไปยังสถานที่ที่เรียกว่า "เมืองผิงหยวน"  ซึ่งเมืองนี้เป็นเมืองมนุษย์แห่งแรกภายใต้อาณาเขตคุ้มครองของถ้ำจีหยิน

เนื่องจากว่าเมืองผิงหยวนก่อตั้งขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ เพียงสองเดือนกว่าเท่านั้น ในเมืองจึงมีเพียงสองเส้นทาง คือทางเชื่อมระหว่างตะวันออก-ตะวันตก และเหนือ-ใต้

จำนวนบ้านเรือนมีเพียงไม่กี่ร้อยหลังคาเรือนและมีจำนวนประชากรเพียงสองพันกว่าคนเท่านั้น หากจะบอกว่าเป็นหมู่บ้านก็ดูจะเหมาะสมมากกว่าเมืองมากนัก

ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากมีงู แมลง หนู มด และวิญญาณชั่วร้ายมากมายในแคว้นอู๋โจวแห่งนี้ กำแพงเมืองจึงต้องทำให้สูงตระหง่านล้อมรอบเมืองผิงหยวนไว้ทุกทาง เพราะนี่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด จึงส่งผลให้จำเป็นจะต้องเลื่อนการก่อสร้างอาคารหลายหลังเช่นบ้านและร้านค้าออกไป

อย่างไรก็ตาม  เรื่องที่น่าเบื่อหน่ายเหล่านี้ฉู่เสวียนไม่จำเป็นจะต้องมีส่วนร่วมในการจัดการ  เพราะในฐานะผู้บำเพ็ญช่วงสร้างรากฐาน เขาถือว่าเป็นแกนนำหลักของถ้ำจีหยิน แค่การช่วยคุ้มกันมนุษย์ในครั้งนี้ ก็ทำให้มนุษย์รู้สึกซาบซึ่งใจมากแล้ว

และสำหรับงานที่น่าเบื่ออีกงาน เช่น การควบคุมดูแล พวกเขาก็สามารถปล่อยให้ เฉินเกอ, เว่ยหัวและศิษย์ช่วงกลั่นลมปราณคนอื่น ๆ จัดการเองได้

หลังจากที่ทั้งสามมาถึงเมืองผิงหยวนแล้ว เฉินเกอก็พูดคุยกับเว่ยหัวสองสามคำ จากนั้นเขาก็พาฉู่เสวียนออกจากเมืองผิงหยวนและมุ่งหน้าไปทางเหนือ

ฉู่เสวียนที่รู้สึกว่าดาบบังเหินของเฉินเกอช้าเกินไป เขาจึงดึงเฉินเกอมายืนบนดาบบังเหินเทียนกังของเขาและทะยานออกไป

ไม่นานหลังจากนั้น ทั้งสองก็ร่อนลงนอกเมืองเมืองหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางภูเขาสีเขียวที่เขียวชอุ่ม

เฉินเกอได้แต่ลูบหัวตัวเองด้วยสีหน้างุนงง เมื่อได้สติเขาก็พูดออกมาว่า  “อาจารย์อา  ดาบบินของเจ้าเร็วเกินไปจนข้าเวียนหัวไปหมด...”

ฉู่เสวียนหัวเราะเบา ๆ เพียงเขาตบมือ พลังวิญญาณก็หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของเฉินเกอ กำจัดอาการวิงเวียนศีรษะของเขาไปได้อย่างรวดเร็ว ....ทันใดนั้นเฉินเกอก็แสดงความขอบคุณออกมา "ขอบคุณมากขอรับอาจารย์อา!"

จากนั้นทั้งสองคนก็ปลอมตัวและในไม่ช้ารูปลักษณ์ของพวกเขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อทำการปลอมตัวเสร็จทั้งสองก็เดินตรงเข้าไปในเมืองทันที

เมื่อเฉินเกอก้าวไปข้างหน้า เขาก็อธิบายให้ฉู่เสวียนทราบถึงสถานการณ์ภายในของตลาดมืดแห่งนี้

จากคำอธิบายของเฉินเกอ ก็ทำให้ฉู่เสวียนได้เรียนรู้ข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้อย่างรวดเร็ว

เมืองนี้ไม่มีชื่อ.... มันเป็นเพียงสถานที่ที่ผู้บ่มเพาะของนิกายเทียนหยินชุดแรกที่มาถึงอู๋โจวมารวมตัวกันที่นี่

ต่อมาเมื่อผู้บ่มเพาะทั่วไปที่อยู่รอบๆ ได้ยินข่าว ก็ได้ทยอยเข้ามายังสถานที่แห่งนี้

ซึ่งนี่ก็คือที่มาของสถานที่แห่งนี้

ระเบียบของเมืองได้รับการดูแลโดยผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งที่สุดหลายคนที่อยู่ในช่วงสร้างรากฐาน

โดยทั่วไปแล้ว ตราบใดที่มันไม่ก่อให้เกิดปัญหามากเกินไป พวกเขาก็ไม่คิดที่จะใส่ใจ

"มาตรวจสอบตลาดกันก่อน" ฉู่เสวียนเดินดูไปตามแผงลอยต่างๆ

เฉินเกอเองก็เดินตามมาติดๆ

ตามที่คาดไว้ พวกเขาทั้งสองได้เห็นทรัพยากรสำคัญในการบ่มเพาะสายมารมากมายวางขายในตลาดมืดแห่งนี้

และลูกปัดโลหิตนั้นก็ถือว่าเป็นที่นิยมและเป็นที่ต้องการอย่างมากในตลาด

โดยไม่มีข้อยกเว้น ผู้บ่มเพาะนิรนามในเมืองก็ได้เปลี่ยนรูปลักษณ์ของตนโดยใช้เทคนิคการปลอมตัวที่เป็นเทคนิคสายมาร ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะไม่ตระหนี่ในการซื้อทรัพยากรเหล่านี้ และกล้าซื้อมันอย่างเปิดเผย

ในเมื่อข้าเปลี่ยนรูปลักษณ์แล้ว  ข้าจะซื้อลูกปัดโลหิตไปเยอะแค่ไหนก็ได้ ถ้าหากเจ้ามีความสามารถ และอยากจับผิด ก็ไปฟ้องที่ห้องโถงใหญ่ของภูเขาเทียนหยินได้เลย!

นอกจากลูกปัดโลหิตแล้ว ศพหยินและแมลงกู่ก็เป็นที่นิยมเช่นกัน

และฉู่เสวียนยังได้เห็นผู้บ่มเพาะหลายคนทะเลาะกันเรื่องราคาของศพหยินระดับกลางมากกว่าหนึ่งครั้ง เนื่องจากว่าตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นแผงไหนต่างก็ขึ้นราคากันหมด

ในท้ายที่สุด มันก็ถูกซื้อขายกันในราคา 300 ก้อนหินวิญญาณระดับต่ำ

ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วอาวุธเวทย์มนตร์ระดับกลางมีราคาเพียง 200 ก้อนหินวิญญาณระดับต่ำเท่านั้น

เว้นแต่เขตแดนของศพหยินจะมีคุณสมบัติสูงกว่าระดับกลาง ไม่เช่นนั้นราคาโดยทั่วไปของมันก็จะเท่ากับอาวุธเวทย์มนตร์ระดับกลาง

ผลก็คือ ศพหยินระดับกลางกลับถูกซื้อขายแพงกว่าข้างนอกถึง 100 ก้อนหินวิญญาณระดับต่ำ!

แต่แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะเห็นว่าผู้บ่มเพาะเหล่านี้ยอมทำทุกอย่างเท่าที่เป็นไปได้ เพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งของพวกเขา

ส่วนแมลงกู่นั้น ถ้าดูจากพันธุ์ของแมลงกู่หลายๆตัวที่พวกเขาเอามาขาย  ก็คาดเดาได้ไม่ยากว่าน่าจะมีการเพาะพันธ์เองแบบลับๆ เพื่อเอามาขายโดยเฉพาะ

เนื่องจากสัตว์พิษอย่างแมลงกู่นั้นกินเลือดเนื้อเป็นอาหาร  จึงถูกจัดให้อยู่ในเทคนิคสายมารมาโดยตลอด

แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะมีผู้บ่มเพาะฝ่ายธรรมะจำนวนมากที่แอบเลี้ยงแมลงกู่

น่าเสียดายที่ต่างก็เป็นแมลงกู่ระยะแรก ไม่มีแมลงกู่ระยะที่สองอย่างที่ฉู่เสวียนต้องการ

นอกจากศพหยินและแมลงกู่แล้ว ยังมีสมบัติดั่งเดิมอีกสี่อย่างเช่นค่ายกลพื้นฐานต่างๆ

ฉู่เสวียนมองไปรอบ ๆ แต่ก็ไม่พบสิ่งใดที่สะดุดตาเขาเลย

“อาจารย์อา ข้ามีลูกค้าประจำสองสามคนที่ซื้อลูกปัดโลหิตอสูรไปจากข้าจำนวนมาก เจ้าต้องการไหม...” เฉินเกอกระซิบ

ฉู่เสวียนยิ้มและโยนถุงเก็บของไป "ข้ามอบหมายให้เจ้าขายของเหล่านี้ให้ข้าที่ แล้วข้าจะให้กำไรแก่เจ้า 1 ส่วน"

เฉินเกอตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วเปิดมันดูทันที

จากนั้นเขาก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมากที่เห็นสมบัติจำนวนมากกองแน่นหนาอยู่ข้างในนั้น

ลูกปัดโลหิต ปราณปีศาจ!

อาวุธเวทย์มนตร์ระดับต่ำ! อาวุธเวทย์มนตร์ระดับกลาง!

ยาอายุวัฒนะ !น้ำอมฤต!

...

อาจารย์อาฉู่รวยเกินไปแล้ว!

ได้เงิน 1ส่วนของราคาสมบัติเหล่านี้... เฉินเกอกลืนนำลายอึกใหญ่ลงไปทันที

ราวกับว่าเขาเห็นภูเขาหินวิญญาณระดับต่ำอยู่ตรงหน้าของเขาอย่างไรอย่างนั้น!

อย่างไรก็ตาม เฉินเกอก็ไม่ได้ถูกความมั่งคั่งเหล่านี้บดบังสายตาได้ง่ายๆ

เขาพูดอย่างระมัดระวังว่า "อาจารย์อามีสมบัติดีๆมากมาย ข้าเกรงว่าจะต้องมีคนอยากได้มันมากแน่ๆ  และข้าเกรงว่า...."

ฉู่เสวียนหยิบหอเลี้ยงศพขึ้นมา ในตอนนั้นศพหยินก็ได้ถูกดึงออกมาจากหอเลี้ยงศพ ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าพวกเขา กล้ามเนื้อทั่วร่างกายของมันปูดนูนขึ้น มันได้ซ่อนพลังอันน่าสะพรึงกลัวเอาไว้

ฉู่เสวียนพูดอย่างใจเย็น "เสี่ยวเป้า เจ้าไปติดตามเขา ถ้าใครกล้าแตะต้องเขา ก็ลงมือสังหารอย่างไร้ปรานีได้เลย "

" โค๊ก! "เสี่ยวเป้าคำรามออกมา เผยให้เห็นเขี้ยวอันแหลมคมของเขา

การปรากฏตัวของศพหยินตัวนี้ทำให้ผู้บ่มเพาะที่อยู่รอบตัวเขาหยุดนิ่งและหันมามองทันที

ศพหยินปล่อยออร่าที่น่าสะพรึงกลัวออกมาจริงๆ

มัน...คือนายพลศพ จะต้องเป็นนายพลศพอย่างแน่นอน!

เมื่อเห็นเช่นนั้น ผู้บ่มเพาะรอบๆตัวก็รีบก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว

"อาจารย์อา“เฉินเกอรู้สึกซาบซึ้งใจมาก”ไม่ต้องกังวล ข้าจะทำงานให้สำเร็จอย่างแน่นอนขอรับ!”

“ไปเถอะ ข้าเชื่อเจ้า” ฉู่เสวียนตบไหล่เขาแล้วยิ้ม

เขามองดูเฉินเกอจากไป...ก่อนจะมุ่งหน้าเดินไปยังอาคารที่สูงที่สุดในเมืองแห่งนี้ อาคารหลังนี้ก็ไม่มีชื่อเหมือนกัน ลักษณะหลักของมันก็ไม่ต่างไปจากอาคารธรรมดา

ถ้าไม่ใช่เพราะเฉินเกอบอกว่านี่คือโรงน้ำชาที่สร้างโดยผู้บำเพ็ญสามคนที่อยู่ในช่วงสร้างรากฐาน  ฉู่เสวียนก็คงไม่ได้สนใจ

“หยุด เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าออกจากโรงน้ำชาแห่งนี้ตามใจชอบ”  ที่ประตูมีผู้บำเพ็ญช่วงกลั่นลมปราณที่แข็งแกร่งมาหยุดฉู่เสวียนเอาไว้และพูดด้วยน้ำเสียงที่สุภาพ

ฉู่เสวียนไม่ได้ตอบอะไรออกมา แต่พ้นลมหายใจของผู้บำเพ็ญช่วงสร้างรากฐานโดยตรง

ส่งผลทำให้ผู้บ่มเพาะคนนั้นตัวแข็งทื่อและคุกเข่าลงทันที พร้อมกับมีเหงือเย็นออกท่วมตัว

เขาพูดอย่างรวดเร็วว่า "ข้าน้อยไม่รู้ว่าท่านอยู่ในช่วงสร้างรากฐาน ผู้อาวุโส โปรดอย่าตำหนิข้าเลย!"

ฉู่เสวียนพูดอย่างสบายๆ " ไม่มีปัญหา ไปเรียกสหายลัทธิเต๋าทั้งสามคนนั้นที่อยู่ในช่วงสร้างรากฐานมาพบข้าที ข้ามีเรื่องใหญ่ต้องหารือกับพวกเขา”

ผู้บ่มเพาะคนนั้นรีบตอบกลับอย่างรวดเร็ว "ขอรับ ข้าจะส่งข้อความถึงอาจารย์ทั้งสามตอนนี้เลย "

หลังจากส่งข้อความเสร็จ เขาก็เชิญฉู่เสวียนให้เข้าไปในห้องส่วนตัวบนชั้นสามของโรงน้ำชาทันที

"ผู้อาวุโส ท่านอยากดื่มชาแบบไหน ข้าขอแนะนำ  นี่คือชาชิวฉือเจี้ยน ชาพิเศษของภูเขาหยูหลิง  ซึ่งจะทิ้งกลิ่นหอมตลบอบอวลอยู่ในปากหลังจากที่ดื่มมันเข้าไป และ…”

ฉู่เสวียนพูดอย่างสบายๆ “แล้วเจ้ามีชาคูเหมาเฟิงหรือเปล่า?”

ผู้บ่มเพาะกล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าว่า "ขอรับ ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสจะรู้จักชานี้ดี! แม้ว่ารสชาติเริ่มต้นของชาคูเหมาเฟิงจะขม แต่รสชาติที่ค้างอยู่ในคอก็ไม่มีที่สิ้นสุด ... "

เขารีบชงชาให้ฉู่เสวียนและถามว่า "ผู้อาวุโสเจ้าต้องการขนมอบหรือไม่? "

ฉู่เสวียนโบกมือ " ไม่ล่ะ เจ้าลงไปก่อนเถอะ "

ผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งกล่าวด้วยความเคารพว่า "ขอรับ ผู้อาวุโสสามารถเรียกข้าได้ตลอดเวลาถ้าท่านต้องการอะไร ส่วนอาจารย์ของข้าได้มาถึงแล้วคนหนึ่ง และจะมาหาท่านในไม่ช้า "

หลังจากพูดอย่างนั้นเขาก็ถอยออกไป

ชายคนนี้ดูจะให้ความเคารพกับฉู่เสวียนเป็นอย่างมากตั้งแต่ต้นจนจบ

เพราะเขากลัวว่าฉู่เสวียนจะไม่พอใจที่เขาดูถูกฉู่เสวียนไปในตอนแรก

ฉู่เสวียนหัวเราะเบา ๆ นี่คือการปฏิบัติของผู้บำเพ็ญในช่วงสร้างฐานรากสินะ!

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด