ตอนที่แล้วตอนที่ 9 การใช้ชีวิตในบ้านใหม่
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 11 นักเรียนอันดับหนึ่งเป็นเจ้าของบ้านมูลค่าแสนหยวน

ตอนที่ 10 ฝนรา


ในฤดูฝน  ฝนโปรยปรายลงบนแม่น้ำไม่มีใครมีเวลาได้ชื่นชมความงามที่ยังหลงเหลืออยู่ ฝนตกติดต่อกันหลายวันหลายคืน  เผชิญหน้ากับเสียงฝนที่ดังติ๊กๆ ทุกวัน รู้สึกเหมือนจะไม่มีวันหยุด กลิ่นอับชื้นลอยอยู่ในอากาศทุกวัน อากาศชื้นและร้อนอบอ้าว เสื้อผ้าก็สามารถขึ้นราได้ง่าย ๆ ชาวบ้านจึงเรียกมันว่า "ฝนรา"

ไม่มีสาวงามถือร่มกระดาษน้ำมัน ไม่มีภาพของเธอในซอยฝนยาวที่งดงาม  ความจริงคือถนนดินเต็มไปด้วยโคลนและคุณจะต้องเลอะเทอะเมื่อออกไปข้างนอก

ครอบครัวของหลี่เหอกำลังลำบาก ถนนนี้เต็มไปด้วยหลุมโคลน ไม่ว่ารถลากหรือรถลากลาของพวกเขาก็ออกไปไม่ได้ ทำให้ไม่สามารถเก็บปลาไหลได้ เขาจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนไปเก็บปลาไหลที่หัวสะพานแม่น้ำหงสุ่ยในตัวเมือง ใกล้กับแม่น้ำ เขาเก็บปลาไหลตั้งแต่เวลา 5 โมงเย็นทุกวันเป็นเวลาสองชั่วโมง มีปลาไหลจากหมู่บ้านใกล้เคียงส่งมาเรื่อย ๆ ทุกวันก็คึกคักอยู่เสมอ

ทุกวันนี้ หลี่หลงพกเงินสดอยู่เสมอและสะพายกระเป๋าหนังลูกวัวที่เขาซื้อพิเศษจากเมืองหลวงประจำจังหวัด ทำให้เขาดูภูมิใจขึ้น จากประสบการณ์ในช่วงนี้ เขาก็เริ่มสลัดความไร้เดียงสาไปทีละน้อย แต่เขาก็เพิ่งตกอยู่ในสภาวะรักข้างเดียว มีเด็กสาวคนหนึ่งมาส่งปลาไหลทุกวัน จนทำให้หลี่หลงเฝ้าคิดถึงเธอ ซึ่งในยุคนี้ การพูดคุยกับเพศตรงข้ามนอกบ้านทำให้เขาหน้าแดงเขินอายได้

มันเป็นวัยที่ความรักแรกแย้มเริ่มกำลังก่อตัว เมื่อเมล็ดพันธุ์บังเอิญตกลงในใจและเริ่มหยั่งราก เขาก็เริ่มสังเกตการกระทำของใครคนนั้นทุกวัน พยายามทำเหมือนไม่ได้ตั้งใจ แต่แสร้งทำหน้าเคร่งขรึมไร้อารมณ์ไปอย่างนั้นเอง แต่ถึงกระนั้น ก็เป็นภาระหวานอมขมกลืน แต่การพูดอะไรออกไปโดยไม่แสดงออกว่ามีความสุขนั้นยากเกินไป

เมื่อเมล็ดพันธุ์แห่งความรักเริ่มเติบโตในหัวใจของคุณ มันไม่สามารถถูกถอนออกได้  ในฐานะที่เคยผ่านเหตุการณ์นี้มาแล้ว หลี่เหอจะไม่เห็นได้อย่างไร?

ครั้งหนึ่ง เขาได้มองดูสาวน้อยคนนี้อย่างพิเศษ เธอสวมรองเท้าผ้าใบสีดำซีดที่ไม่สามารถเก่ากว่านี้ได้และเสื้อเชิ้ตตารางสีเทาที่ใส่ไม่พอดี เธอมีรูปร่างโค้งและใบหน้าที่สวยงาม การปรากฏตัวของเธอถือว่าผ่านมาตรฐาน

ผิวของเธอไม่ขาว แต่ประเด็นสำคัญคือ ในชนบทยุคนี้ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือเด็กสาวก็ไม่มีใครมีผิวขาว เวลาฤดูทำไร่มาถึง ผู้บัญชาการกองพันอาสาสมัครก็จะรวบรวมหนุ่มสาวไปฝึก ส่วนเลขาธิการสาขาของหมู่บ้านก็จะจัดประชุมให้สมาชิกศึกษาการเกษตร ดังนั้นผู้หญิงจึงกลายเป็นแรงหลักในการทำการเกษตร

เด็กสาวผู้น่าสงสารที่เกิดมาในยุคนี้ พวกเธอต้องลงเกี่ยวข้าวกลางแดดร้อนในเวลากลางวัน และถอนกล้าในนาข้าวใต้แสงดาวในตอนกลางคืน โดนยุงและแมลงกัดต่อยในอากาศร้อนอบอ้าว

ในเวลานี้ ไม่มีผลกระทบที่เป็นอันตรายจากสารเคมีและปุ๋ย ไม่เพียงแต่มีปลามากมายในท้องนา แต่ยังมีปลิงและงูอยู่จำนวนมากด้วย  ปลิงที่อยู่บนเสาตัวโตจนจับได้เป็นและคนที่ถอนกล้าก็มักจะจับงูได้โดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งมันทำให้รู้สึกเจ็บปวดอย่างไม่สามารถจะบรรยายได้  หากไม่มีอาหาร เสื้อผ้า หรือฟืน สาวๆ หลายคนไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวดได้และรู้สึกว่าชีวิตนี้แย่กว่าตาย

ดังนั้นจึงมักได้ยินข่าวลือว่ามีคนโดดน้ำตายในอ่างเก็บน้ำแห่งหนึ่งและมีหญิงสาวจากหมู่บ้านหนึ่งฆ่าตัวตาย

ผู้หญิงค้ำฟ้าครึ่งหนึ่ง อันที่จริง พวกเธอค้ำฟ้าครึ่งหนึ่ง เมื่อสามีภรรยาในชนบททะเลาะกัน ผู้หญิงจะตะโกนใส่ผู้ชายว่า "ฉันติดตามคุณและอดทนกับความยากลำบากมาตลอดชีวิต" ผู้ชายจะทำได้แค่พึมพัมและเงียบไป

ด้วยเหตุนี้ หลี่เหอซึ่งผ่านชีวิตมาสองครั้งจึงได้เห็นความทุกข์ของหวังยู่หลานและหลี่เหม่ย ทำให้เขารู้สึกเคารพและเศร้าใจอย่างแท้จริง เด็กชายที่กำลังอยู่ในวัยเริ่มต้นของความรัก มักจะดูเหมือนเข้มแข็ง แต่พอเขาตกอยู่ในห้วงรักข้างเดียวก็กลับยิ่งรู้สึกทนไม่ไหว

ต้าจวงเคยพูดเอาไว้ว่า  ผู้ชายตัวโตจะทำอะไรได้กับหนังหน้าหนา ๆ ยกเว้นไล่จีบหญิง?

ดังนั้นหลี่หลงจึงเชื่อฟังและลดท่าทีลงต่อหน้าผู้หญิงโดยไม่รู้ตัว หลี่เหอไม่สนใจเรื่องนี้เท่าไหร่ ขอเพียงไม่ใช่จางหนี่จากชาติก่อน เขาก็ไม่สนว่าน้องชายจะมีภรรยาเป็นใคร ขอเพียงมีคุณธรรม เขาไม่ใส่ใจในสิ่งอื่น ๆ มากนัก

ในทุกวัน เขา ต้าจวง และหลี่หลงก็จะไปนั่งยอง ๆ ที่สะพานเพื่อรวบรวมปลาไหล หลังจากเก็บปลาไหลเสร็จแล้ว พวกเขาจะยังไม่กลับบ้านแต่ไปนั่งร้านข้างทางกินขนมแป้งทอดหัวหอมใหญ่หรือบะหมี่เย็น ส่วนร้านอาหารหรอ  มีตั๋วอาหารไหมละ?  ถ้าไม่มี ก็ต้องทำใจไป

สำหรับพ่อและลุงสองคนของเขา บางครั้งพวกเขาก็มาช่วยนำอาหารมาให้ถ้าพวกเขามาถึงเร็ว หากฝนตก การเดินบนถนนจะยากยิ่งขึ้น และหากกลางคืนไม่มีแสงจันทร์ก็ต้องรีบออกก่อนฟ้ามืด

บางครั้งเขามาถึงเร็วและไม่พบใครที่บริษัทผลิตภัณฑ์สัตว์ทางน้ำ ดังนั้นเขาจึงต้องรออยู่ที่นั่นจนถึงตีสอง บางครั้งคนจากสำนักงานการเงินมาถึงช้ากว่าอีก  ทำให้เขาต้องรอจนถึงตีสี่ ซึ่งมันน่าสงสารสุด ๆ

หลี่เหอก้มดูรองเท้าเจี่ยฟางที่เต็มไปด้วยโคลน มองเสื้อผ้าสีเขียวหม่นอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเป็นเหงื่อหรือน้ำฝน มันสกปรกจนเหมือนถุงกระสอบขาดวิ่น มีรอยยับที่ไม่มีทางจะเรียบได้ไม่ว่าเขาจะพยายามลูบเท่าไร

ในที่สุดเมื่อฝนหยุดตกและอากาศกลับมาร้อนอีกครั้ง หลี่เหอไม่กล้านั่งยอง ๆ บนสะพานอีกแล้ว จึงต้องย้ายมาวางแผงขายใต้เงาสะพาน แม้ว่าเวลาจะผ่านไปหลังหกโมงเย็นแล้ว แต่อากาศยังคงร้อนจนทะลุถึงหัวใจ

ในช่วงเวลาที่ไม่ค่อยมีลูกค้า ต้าจ้วงกับหลี่หลงก็แอบลงไปซ่อนตัวในแม่น้ำและไม่ยอมขึ้นมา มันเป็นช่วงปิดเทอมฤดูร้อน เด็กแก้ผ้าลงเล่นน้ำในแม่น้ำกันหลายคน เสื้อผ้าวางเรียงรายอยู่ริมฝั่งน้ำ

แม่น้ำหงสุ่ยเป็นสาขาของแม่น้ำหวยเหอ เป็นแม่น้ำที่สะอาดมาก ชาวบ้านในละแวกนี้ใช้แม่น้ำล้างผักและซักผ้า หลี่เหอจำได้ว่าในยุคต่อมา คนแถวนี้จะมาเปิดฟาร์มเลี้ยงหมู และสิ่งสกปรกก็จะไหลลงสู่แม่น้ำนี้ อีกไม่กี่ปีข้างหน้า แม่น้ำนี้จะกลายเป็นแม่น้ำที่สกปรก

ต่อมาเมื่อเศรษฐกิจพัฒนา ทั้งสองฝั่งของแม่น้ำหวายเหอก็เต็มไปด้วยบ่อทราย แม่น้ำเต็มไปด้วยเรือดูดทราย รถบรรทุกทรายวิ่งขวักไขว่ ฝุ่นละอองและไอเสียหนาตา แม้กระทั่งสะพานข้างหน้านี้ก็ไม่รอดเพราะรับน้ำหนักเกิน

หลี่หลงนอนหงายอยู่ในน้ำ เมื่อจู่ ๆ ก็ถูกต้าจวงดึงให้ลุกขึ้น เขาหันไปดูตามทิศที่ต้าจวงชี้และรีบวิ่งขึ้นฝั่งไปใส่เสื้อผ้า ต้วนเหม่ยคนที่หลี่หลงแอบชอบกำลังค่อย ๆ เข็นรถเข็นเข้ามาใกล้ กระสอบบนรถเข็นนั้นไม่ต้องดูก็รู้ว่าเป็นปลาไหล

หลี่หลงไม่ต้องการเปลือยกายอยู่ต่อหน้าคนที่เขาแอบชอบ

หลี่เหอยิ้มและยอมสละที่ให้หลี่หลง จากนั้นก็ถอดเสื้อผ้า ใส่กางเกงชั้นในแล้วกระโดดลงไปในน้ำ เขาดำดิ่งไปกว่า 10 เมตรก่อนจะโผล่หัวขึ้นมา

ก่อนที่เขาจะได้ทำอย่างอื่น เขาก็ได้ยินเสียงหลี่หลงและกลุ่มคนด่าทอกัน

"เฮ้ ไอ้หนุ่ม อย่าพูดจาหยาบคาย ถ้ายังไม่เลิกฉันจะไม่ไว้หน้าแล้วนะ" หลี่หลงพูดกับหนุ่มๆ หลายคนด้วยน้ำเสียงดุดัน ปรากฏว่าหนุ่มๆ หลายคนในแม่น้ำพยายามผลักเด็กชายวัยรุ่นคนหนึ่งเข้ามาใกล้พวกเขา แล้วยังผิวปากเสียงดังใส่ต้วนเหมยเมื่อเธอเข็นรถผ่านมา ทำให้หลี่หลงไม่พอใจ

หนุ่มๆ ในยุคนั้นยังใสซื่อ ไม่ได้มีพฤติกรรมแบบนักเลงจริงๆ แค่มีความคึกคะนองเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังเป็นวัยรุ่นที่ต้องการหน้าตาที่สุด ไม่มีใครอยากเสียหน้าแบบนี้หลังจากถูกปฏิบัติอย่างด่าต่อหน้าคนเยอะๆ?

พวกเขาด่ากันไปมา เหล่าบรรพบุรุษเจ็ดชั่วโคตรถูกอัญเชิญซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลี่หลงจึงพูดกับหนุ่มๆ เหล่านั้นว่า "ถ้ามีปัญหาก็ขึ้นมาได้เลย" ซึ่งทำให้พวกนั้นเกิดความโกรธ  พวกหนุ่มสี่คนที่สวมกางเกงในอยู่ในแม่น้ำขึ้นมาหาหลี่หลงและเตรียมตัวจะสู้  แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าพี่น้องที่เก็บปลาไหลทั้งสามคนนี้ไม่ใช่คนที่จะยุ่งด้วยได้ง่ายๆ แต่พวกเขาก็ไม่กลัวปัญหา  พวกเขาเริ่มคบหากันหลังมัธยมต้นและก็ไม่ค่อยได้ทำงาน พวกเขามักจะดูถูกคนอื่นและใช้จ่ายในเมือง จึงรู้สึกว่าเหนือกว่าชาวชนบท

ต้วนเหม่ยซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ จับแขนหลี่หลงด้วยความตื่นตระหนกและพูดว่า "หยุดด่าเถอะ ฉันไม่เป็นไร"

หลี่เหอที่ตั้งใจจะให้โอกาสน้องชายช่วยเหลือนางในฝันก็ต้องขยับตัวขึ้นฝั่งเพราะเห็นท่าไม่ดี กลัวว่าน้องชายจะเสียท่า

"แม่มึงเถอะ" หนุ่มสูงคนหนึ่งที่ขึ้นฝั่งมากำหมัดพร้อมจะพุ่งใส่หลี่หลง

หลี่เหอเพิ่งขึ้นมาถึงริมฝั่งและไม่ลังเล เขาวิ่งเข้าไปแล้วเตะหนุ่มสูงคนนั้นที่หลังทำให้เขาล้มลง จากนั้นก็หันไปเตะเอวหนุ่มอีกคนหนึ่ง และเมื่อหนุ่มคนนั้นเซ หลี่เหอก็ล็อคคอหนุ่มคนนั้นแล้วกดลงกับพื้น หลี่เหอยังคิดว่าเด็กพวกนี้ยังเป็นเด็กจึงไม่กล้าลงมือหนักที่หัว

เขายังมีทักษะที่เคยฝึกฝนในชาติที่แล้วและตอนนี้เป็นคนหนุ่มที่ร่างกายแข็งแรง มีทักษะและพละกำลังในการต่อสู้ หากเขาลงมือหนักก็จะกลายเป็นคนไม่รู้จักหนักเบาเกินไป

แน่นอนว่าหากเด็กเหล่านี้ที่ไม่ได้คิดหน้าคิดหลังถืออิฐ มีด หรือไม้ในมือ หลี่เหอก็พร้อมจะสู้ให้ถึงตาย แต่เพราะพวกเขาอายุสิบห้าถึงสิบหกปี และไม่ค่อยสนใจผลที่ตามมา ตราบใดที่มีโอกาสพวกเขาก็กล้าจะแทงคนเมื่อหัวร้อน

สถานการณ์กลายเป็นโกลาหลทันที เด็กๆ ในแม่น้ำต่างส่งเสียงเชียร์กันเสียงดังไปทั่ว ส่วนหลิวต้าจวงและหลี่หลงซึ่งเป็นคนที่สู้เก่งมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เริ่มการต่อสู้กันในชนบทถือเป็นเรื่องปกติเมื่อไม่พอใจกัน

อย่างไรก็ตามหลังจากการต่อสู้รอบหนึ่ง ต้าจ้วงโจมตีได้หนักพอสมควร เขาทำให้คู่ต่อสู้ล้มลงและเตะเขาจนหยุดนิ่ง ส่วนหลี่หลงนั่งทับเด็กหนุ่มผมยาวและต่อยเขาที่ศีรษะ

หลี่เหอรีบจับหลี่หลงขึ้นและด่า "อะไร อยากจะตีคนให้ถึงตายหรือไง?"

เมื่อเห็นคอของหลี่หลงที่ถูกเล็บของคู่ต่อสู้ข่วนจนเป็นรอยเลือด หลี่เหอก็รู้สึกสงสารเล็กน้อย เขาเตะขาคู่ต่อสู้ที่นอนอยู่บนพื้นแล้วพูด "อย่าแกล้งตายลุกขึ้นมาเสียที เลือดกำเดาไหลแค่นั้นเอง ลุกขึ้นมา"

ชายผมยาวไม่มีทางเลือก นอกจากเอามือปิดจมูก มองเพื่อนร่วมทีมอีกสามคนก่อนพูดอย่างดุดัน "เรื่องนี้ยังไม่จบแน่!"

หลี่เหอยิ้มเยาะแล้วพูดกับพวกเขาทั้งสี่คน "ทำไม ยังไม่จบอีกหรือ? พวกนายจะเลียนแบบเด็กๆ แล้วกลับบ้านไปฟ้องพ่อแม่งั้นเหรอ? ยิ่งกว่านั้น พวกนายเป็นคนลวนลามผู้หญิงก่อนและเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ถ้าฟ้องที่สถานีตำรวจ พวกนายอาจโดนข้อหาพฤติกรรมชั่วร้ายอันธพาล  ถ้าอยากโดนยิง ฉันจะไปเป็นเพื่อนที่สถานีตำรวจดีไหม?"

ต้วนเหมยที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ด้วยความตื่นตระหนกเมื่อได้ยินที่หลี่เหอพูด เธอไม่ใช่ผู้หญิงขี้ขลาด แต่เป็นคนที่มีความรับผิดชอบ เธอพูดว่า “ใช่ ฉันจะไปที่สถานีตำรวจและแจ้งว่าคุณเป็นอันธพาล”

ถึงแม้ว่าหนุ่มพวกนั้นจะไม่ได้เด็กมากนัก แต่พวกเขาไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้ เมื่อถูกพูดใส่ไม่กี่คำก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจ  เด็กตัวสูงคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด "จมูกพี่ชายของฉันเลือดออกเพราะนาย!"

หลี่เหอไม่อยากเถียงกับเด็กพวกนี้ ฝ่ายนั้นก็แค่มีพลังหนุ่มที่อยากโชว์ไม่ใช่พวกเลวร้ายมากนัก เขาจึงให้ทางออกว่า "ดูที่คอของน้องชายฉันสิ คิดว่ารอยเลือดนี่มันเบาหรือยังไง? เราก็ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน มาทำความรู้จักกันดีกว่าไหม? เรามาเก็บปลาไหลบนสะพานนี้บ่อยๆ แล้วพวกนายก็มักจะมาเล่นที่นี่ด้วย มองหน้ากันบ้างบางครั้งคงไม่มีใครอยากเห็นสีหน้าโกรธเป็นประจำหรอก เอานี่ไปห้าหยวน แล้วพาเขาไปหาหมอให้หยุดเลือดกันเถอะ เรื่องนี้ก็จบกันแค่นี้ดีไหม?"

หลี่หลงเสียดายเงินห้าหยวน แต่เขาไม่พอใจและตะโกนว่า "พี่ชาย!"

หลี่เหอตาขวางใส่เขาแล้วก็ไม่สนใจอีก

ถึงแม้ว่าหนุ่มเหล่านี้จะมาจากในเมืองแต่พวกเขาก็ไม่มีงานทำจริงจัง โดยปกติก็ทำแค่เรื่องไร้สาระไปทั่ว  เช่นไปสร้างปัญหาที่บ้านพักคนชราในหนานซานและแกล้งเด็กในโรงเรียนอนุบาลเป่ยไห่  หารายได้เพียงไม่กี่เหมาเพื่อไปซื้อบุหรี่สูบ แน่นอนว่าไม่เคยเจอเงินจำนวนมากขนาดนี้มาก่อน

พวกเขามองหน้ากันโดยไม่ได้พูดอะไร คิดว่าฝ่ายตรงข้ามยอมแล้วเพราะเห็นว่ายื่นเงินให้  ชางเหมาเลยรับเงินและพูดว่า "ก็ได้  ฉันว่าพวกนายคงรู้แล้วว่าอะไรถูกอะไรควร"

เมื่อหลี่หลงได้ยินก็อยากจะพุ่งเข้าไปอีกครั้ง  แต่หลี่เหอก็จับเขาไว้ทัน

ถึงแม้พี่น้องคู่นี้จะไม่ใช่คนตัวใหญ่หรือแข็งแรงนัก แต่พวกเขาก็สู้เก่ง ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้แบบตัวต่อตัวหรือการตะลุมบอน พวกเขาไม่ยอมใครง่ายๆ ในชุมชนนี้

อย่างไรก็ตามพวกเขามีครอบครัวและผู้หญิงอยู่ด้วย ส่วนพวกที่อันธพาลในชุมชนก็อายุน้อย ไม่คิดอะไรมาก เรียกได้ว่าเป็นวัยเลือดร้อนขาดความยับยั้งชั่งใจ

แบบนี้เอาไม่อยู่แน่!

ตีด้วยไม้ก่อนแล้วค่อยให้กินของหวาน นี่คือวิธีที่ดีที่สุด!

ทั้งสี่คนเดินลงแม่น้ำไปล้างตัว แล้วใส่เสื้อผ้าอีกครั้ง จากนั้นก็ยกเท้าเดินจากไป

มีจีนมุงมารวมตัวกันรอบๆ ทั้งมองทั้งชี้  หลี่เหอเงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วถอนหายใจ  นี่มันเป็นเรื่องปกติธรรมดาสินะ

ในขณะที่ต้วนเหมย ซึ่งเป็นเพียงสาวน้อยคนหนึ่ง เพิ่งมารู้ภายหลังว่าเพราะตัวเองพี่น้องหลี่จึงต้องจ่ายเงิน 5 หยวนออกไป  เธอต้องรับผิดชอบครึ่งหนึ่งในเรื่องชีวิตและความตาย หลี่หลงไม่มีทางให้คนที่เขาชอบต้องรับผิดชอบเรื่องนี้  เขาชั่งน้ำหนักปลาไหลและจ่ายเงินให้ตามปกติ

ต้วนเหมยมีความจริงใจ แม้ว่าอาจจะอธิบายเรื่องนี้กับพ่อแม่ที่บ้านได้ยาก

ทันทีที่สาวน้อยจากไป หลี่เหอกล่าวว่า "ถ้าเจ้าสนใจจริงๆ สถานการณ์ครอบครัวเราไม่ได้แย่แล้วตอนนี้ พี่จะขอให้ย่าไปหาว่าเธอเป็นลูกเต้าเหล่าใคร แล้วหาใครไปดูตัวให้ดีไหม?"

หลี่หลงหน้าแดงจัดเหมือนก้นลิง เพราะเขายังเด็กมาก

ต่อมาหลี่ฟู่เฉิงเดินเข้ามาภายหลังพร้อมกับลูกชายสองคน เมื่อได้ยินเรื่องนี้ เขาก็บอกหลี่หลงว่า “พี่ชายของหลานทำถูกต้องในเรื่องนี้ พวกหลานก็ได้ประโยชน์จากมันเหมือนกันนะ  นี่ก็เหมือนกับพ่อของต้าจวงที่ขับเกวียนลา ใช้ทั้งแส้กับแครอทพร้อมกัน”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด